จะกล่าวถึงพระเจ้าวิเทหราชกษัตริย์แห่งมิถิลานคร ทรงมีบัณฑิตประจำราชสำนักอยู่ ๔ คน คือ
เสนกะ๑ ปุกกุสะ๑ กามินทะ๑ เทวินทะ๑ บัณฑิตทั้ง ๔ นี้เคยกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชเมื่อ ๗ ปีมาแล้วว่า จะมีบัณฑิตคนที่ ๕ เกิดขึ้น และจะมีสติปัญญาเหนือเขาทั้ง ๔ พระเจ้าวิเทหราชทรงนึกถึงคำกราบทูลของบัณฑิตทั้ง ๔ ได้ จึงให้อำมาตย์ ๔ คน แยกทางกันไปสืบหาดู อำมาตย์ที่ไปทางด้านปราจีนทิศได้เห็นสถานที่คล้ายเทวสถานตรงนั้น ก็ให้ประหลาดใจยิ่งนัก จึงเข้าไปถามผู้ที่มาประชุมกัน ณ ที่นั้นว่า "สถานที่นี้เป็นฝีมือช่างคนไหน ?" เมื่อได้รับบอกว่า "เป็นฝีมือของช่างคนหนึ่ง ซึ่งทำตามแบบของมโหสธบัณฑิต ซึ่งเป็นบุตรของสิริวัฒกเศรษฐี มีอายุได้ ๗ ปี" อำมาตย์ผู้นั้นจึงนับปีตั้งแต่ปีที่บัณฑิตทั้ง ๔ เคยกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชมาครบ ๗ ปีพอดี จึงไม่ต้องสงสัยว่า บัณฑิตคนที่ ๕ นั้นจะเป็นคนอื่นไปได้ ต้องเป็นมโหสธบัณฑิตบุตรสิริวัฒกเศรษฐีนี้แน่นออน เขาจึงส่งคนไปกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชว่า "บัดนี้ได้พบบัณฑิตคนที่ ๕ แล้ว ชื่อมโหสธ บุตรสิริวัฒกเศรษฐีในบ้านปราจีนยวมัชฌคาม อายุได้ ๗ ปี มีความฉลาดเกินอายุ ได้ให้ช่างหาสถานที่อันเป็นรัมณียสถานคล้ายเทวสภา ด้วยความคิดของตนเอง จะนำมโหสธเข้าเฝ้าได้หรือยัง ?"
พระเจ้าวิเทหราชได้สดับดังนั้น ก็พอพระทัย ตรัสเรียกเสนกบัณฑิตมาปรึกษาว่า "บัดนี้มีผู้ส่งข่าวมาว่า บุตรสิริวัฒกเศรษฐี ชื่อ มโหสธ อายุ ๗ ปี มีปัญญาล้นเหลือ สามารถออกความคิดให้ช่างสร้างสถานอันรื่นรมย์ ประดุจเทวสถาน ท่านเห็นเป็นอย่างไร เราควรจะให้นำมาเฝ้าได้หรือยัง ?"
เสนกะเป็นผู้ที่ไม่อยากเห็นใครดีกว่าตน จึงกราบทูลว่า "ขอเดชะ ผู้ที่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต ไม่ใช่ด้วยเหตุเพียงให้สร้างสถานที่เท่านั้น ใคร ๆ ก็ให้สร้างได้ ข้อนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน พระเจ้าข้า"
พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำของอาจารย์เสนกะกราบทูลดังนั้น ก็ทรงนิ่งเพื่อคอยดูเหตุการณ์ต่อไป จึงตรัสแก่ผู้มาทูลข่าวว่า "ให้อำมาตย์รอดูปัญญาของมโหสธไปก่อน"
เรื่องราวต่อไปนี้จะแสดงแววฉลาดของมโหสธ ที่ใช้ปัญญาวินิจฉัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้สำเร็จเป็น
เรื่อง ๆ ไป
เรื่อง ชิ้นเนื้อ
วันหนึ่งมโหสธบัณฑิตไปที่สนามเล่น มีเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบเอาชิ้นเนื้อได้แล้วบินไปทางอากาศ พวกเด็กเห็นเหยี่ยวคาบชิ้นเนื้อบินมา ก็วิ่งไล่ตามแหงนหน้าดูเหยี่ยว แล้วก็ตะโกนหวังให้เหยี่ยวทิ้งชิ้นเนื้อ ขณะวิ่งไปได้แต่แหงนดูข้างบน เท้าก็สะดุดตอบ้าง หินบ้าง ตกหลุมบ้าง ล้มลุกคลุกคลานไปตาม ๆ กัน
มโหสธเห็นเพื่อน ๆ ได้รับความลำบากดังนั้น ก็อาสาว่า "จะให้เหยี่ยวทิ้งชิ้นเนื้อให้ได้" แล้วก็วิ่งไปด้วยกำลังเร็วดุจลมพัด ไม่แหงนดูข้างบน วิ่งเหยียบเงาเหยี่ยวแล้วปรบมือ ส่งเสียงดังลั่น เหยี่ยวตกใจทิ้งชิ้นเนื้อ มโหสธเห็นเงาชิ้นเนื้อหล่นก็รับไว้ได้โดยไม่ให้ชิ้นเนื้อตกถึงพื้นดิน
มหาชนเห็นความสามารถของมโหสธดังนั้น ต่างก็ปรบมือส่งเสียงโห่ร้องอยู่เซ็งแซ่ด้วยความยินดี
อำมาตย์เห็นดังนั้น จึงส่งทูตไปกราบทูลให้พระเจ้าวิเทหราชทรงทราบ พระเจ้าวิเทหราชรับสั่งถามเสนกอาจารย์ว่า "ท่านอาจารย์ว่าอย่างไร สมควรจะนำมโหสธมาได้หรือยัง ?" เสนกะคิดแต่ในใจว่า
หากมโหสธกุมารมาอยู่ในราชสำนัก เราก็จะหมดรัศมี พระราชาก็จักทรงลืมเรา อย่าเลย เราไม่ควรให้นำมโหสธกุมารมา คิดแล้วจึงทูลว่า "ขอเดชะ คนที่จะชื่อว่า เป็นบัณฑิตไม่ใช่เหตุเพียงเท่านี้ เพราะเป็นเรื่องเล็ก"
พระเจ้าวิเทหะ รับสั่งให้ทูตกลับไปแล้วสั่งความไปถึงอำมาตย์ให้คอยทดลองดูมโหสธต่อไป
วินิจฉัย เรื่อง โค
ชายชาวปราจีนยวมัชฌคามคนหนึ่งซื้อโคมาตัวหนึ่ง ขณะที่นำโคไปเลี้ยงปล่อยให้โคกินหญ้าอยู่ ตนเองนอนเฝ้าอยู่ใต้ต้นไม้ ลมพัดเย็น ๆ เลยหลับไป มีโจรผู้หนึ่งเห็นเจ้าของโคหลับ ก็ลักโคหนีไป ชายเจ้าของโคตื่นขึ้นไม่เห็นโคก็เที่ยวค้นหา มองเห็นโจรจูงโคไป ก็วิ่งไปจนถึงตัว จึงตะคอกถาม
ว่า "นี่แกจะนำโคของข้าไปไหน ?" โจรตอบว่า "นี่แกพูดอะไร นั่นมันโคของข้าต่างหาก ข้าจะนำมันไปเลี้ยง" ชายเจ้าของโคก็ไม่ยอม จะเอาโคของตนคืนให้ได้ ฝ่ายโจรก็ไม่ยอม อ้างว่าเป็นของตน เดินเถียงกันไป มหาชนเห็นคนทั้งสองเถียงกันอยู่ ก็มายืนมุงดูกันจนแน่น มโหสธบัณฑิตได้ยินเสียงเอ็ดอึง จึงไปดู เห็นคนทั้งสองเถียงกันเคร่งเครียด จึงให้คนไปเรียกมา มโหสธพอเห็นหน้าก็รู้ว่า ใครเป็นเจ้าของโค ใครเป็นโจร แต่ก็ทำเป็นถามว่า "ท่านทั้งสองวิวาทกันด้วยเรื่องอะไร ?" เจ้าของโคตอบว่า "ข้าพเจ้าซื้อโคตัวนี้มา ขณะนำไปเลี้ยง ข้าพเจ้าเผลอหลับไป ชายคนนี้ได้ลักโคของข้าพเจ้าหนีไป ข้าพเจ้าตื่นขึ้นจึงไล่ตาม เห็นชายคนนี้จูงโคไป ข้าพเจ้าจึงขอคืน เขาไม่ยอม แล้วบอกว่า เป็นโคของเขา ข้าพเจ้าขออ้างเจ้าของโคคนที่ข้าพเจ้าซื้อมาเป็นพยาน" มโหสธหันไปถามอีกคนหนึ่งว่า "เขาหาว่าท่านลักโคเขาไป ท่านจะว่าอย่างไร ?" ชายที่เป็นโจรตอบว่า "โคตัวนี้เป็นของข้าพเจ้า เจ้านั่นพูดปด อย่าไปเชื่อมันเลย"
มโหสธบัณฑิตจึงถามว่า "เราจักวินิจฉัยความของท่านทั้งสองฝ่ายโดยยุติธรรม ท่านทั้งสองจะยอมฟังข้อวินิจฉัยของเราหรือไม่ ?" ชายทั้งสองรับคำ มโหสธคิดว่า การวินิจฉัยครั้งนี้จะต้องให้เป็นไปตามมติมหาชน จึงถามโจรว่า "ท่านให้โคของท่านกินและดื่มอะไร ?" โจรตอบว่า "ข้าพเจ้าให้ดื่มยาคุให้กินงา แป้งและถั่ว" หันไปถามเจ้าของโค ชายเจ้าของโคตอบว่า "ข้าพเจ้าให้กินแต่หญ้าอย่างเดียว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนจน ไม่สามารถหายาคู งา แป้งให้กินได้" มโหสธบัณฑิตได้ฟังคำให้การของคนทั้งสอง เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง จึงให้คนใช้ไปเอาใบประยงค์มาตำในครก ขยำด้วยน้ำให้โคดื่ม โคดื่มเข้าไปหน่อยหนึ่งก็อาเจียนออกมาเป็นใบหญ้า มโหสธบัณฑิตจึงประกาศให้มหาชนได้รู้เห็น แล้วหันมาทางโจร ถามว่า "เจ้าเป็นโจรลักโคเขาไป จริงไหม ?" โจรก็ได้รับสารภาพว่า ตนเป็นโจรจริง มหาชนต่างก็กลุ้มรุมกันเข้าไปจับตัวโจรดึงออกมา แล้วต่างก็ทุกบตีเตะจนโจรบอบช้ำไปทั้งตัว มโหสธบัณฑิตจึงขอร้องให้มหาชนหยุดลงทัณฑ์โจร แล้วให้โอวาทแก่โจรว่า "อย่าทำอย่างนี้อีก เจ้าได้รับโทษในคราวนี้เพียงนี้ ต่อไปภ่ยหน้าจะได้รับโทษยิ่งกว่านี้"
อำมาตย์ได้นำความขึ้นทูลพระวิเทหราชกษัตริย์ให้ทรงทราบ พระเจ้าวิเทหราชรับสั่งถามอาจารย์เสนกะว่า "ท่านอาจารย์ ถึงคราวที่จะนำมโหสธมาได้หรือยัง ?" เสนกะบัณฑิตกราบทูลว่า "ขอเดชะ เรื่องความโค ใคร ๆ ก็วินิจฉัยได้ คนไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต เพราะเหตุเพียงนี้เท่านั้น ขอให้ทรงรอไปก่อน" พระเจ้าเทหราชก็รับสั่งให้อำมาตย์รอดูไปก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น