ท้าวสักกะแปลงขับยานไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง เป็นระยะทางไกลประมาณ ๓๐ โยชน์ จอดยานที่แม่น้ำนั้น แล้วปลุกพระเทวีให้ตื่นจากบรรทม ให้พระนางลงอาบน้ำ เตรียมของเสวยให้พระนาง เมื่อพระเทวีอาบน้ำและเสวยเสร็จแล้ว ก็ขึ้นประทับบนยานบรรทมต่อไป ท้าวสักกะแปลงขับยานไปจนกระทั่งเย็นก็ถึงกาลจัมปากนคร พอดีกับพระนางตื่นจากบรรทม ได้ทอดพระเนตรเห็นประตูป้อม คู หอรบ และกำแพงพระนคร จึงตรัสถามท้าวสักกะแปลงว่า "ท่านเจ้าขา นี่เมืองอะไรจ๊ะ"
ท้าวสักกะแปลงทูลว่า "นี่คือเมืองกาลจัมปากะละแม่"
พระนางทรงค้านว่า "อะไรกันท่านเจ้าขา เมืองกาลจัมปากะ กับเมืองที่ดิฉิันอยู่ไกลกันประมาณถึง ๓๐ โยชน์ ไฉนถึงไวเช่นนี้ เห็นจะไม่ใช่ละกระมัง"
ท้าวสักกะแปลงทูลว่า "เป็นจริงอย่างที่แม่ว่า แต่เพราะข้าพเจ้ารู้จักทางลัด จึงเดินทางถึงได้เร็ว" ท้าวสักกะแปลงได้เชิญพระนางให้เสด็จลงจากยาน แล้วชี้ไปข้างหน้า ตรัสว่า "นั่นบ้านของตา ขอให้แม่เดินทางเข้าสู่พระนครเถิด" ตรัสแล้วก็ทำเป็นเดินไปข้างหน้าหน่อยหนึ่ง และหายวับไป พระเทวีเสด็จไปประทับอยู่ ณ ศาลาแห่งหนึ่ง
ขณะนั้น มีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์คนหนึ่ง พร้อมด้วยศิษย์หลายร้อยคน พากันไปอาบน้ำ ขณะเดินผ่านก็ได้เห็นพระเทวีประทับนั่งอยู่บนศาลา ท่านทิศาปาโมกข์ก็เกิดความรักใคร่เอ็นดูเหมือนน้องสาวร่วมมารดา จึงให้พวกศิษย์รออยู่ข้างนอกก่อน ท่านทิศาปาฏมกข์เข้าไปที่ศาลาแต่ผู้เดียว ตรงเข้าไปหาพระเทวี ถามว่า "แม่เป็นชาวเมืองไหนจ๊ะ ?"
พระเทวีตรัสว่า "ท่านเจ้าขา ดิฉันเป็นชาวเมืองมิถิลา เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนก"
ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ทูลถามว่า "พระนางเสด็จมาเมืองนี้เพื่อประสงค์อันใด?"
พระเทวีตรัสว่า "พระสวามีของดิฉัน ถูกเจ้าโปลชนกมหาอุปราช ผู้เป็นพระอนุชาปลงพระชนม์ ดิฉันกลัวภัยจะมาถึงตัว จึงได้หนีมา ด้วยหวังว่าจะถนอมครรภ์ไว้ก่อน"
ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ทูลถามว่า "ในพระนครนี้มีใครเป็นพระญาติของพระนางบ้าง ?"
พระเทวีตรัสว่า "ไม่มีเลยจ้ะ"
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ทูลว่า "ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันผู้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ จะขอรับพระนางไว้ในฐานะน้องสาว และจะบำรุงพระนางให้ทรงพระสำราญ ขอพระนางทรงอย่าคิดเป็นอย่างอื่นเลย"
พระเทวีทรงพอพระทัยที่ได้ท่านอาจาย์ทิศาปาโมกข์เป็นที่พึ่งพำนัก จึงตรัสขอฝากชีวิตและโอรสในครรภ์ไว้กับท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ อาจารย์พาพระนางไปประทับที่บ้านของตน แม้ภรรยาของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ก็มีความเคารพรัก ให้ความอุปการะแก่พระนางเป็นอย่างดี
พระนางอาศัยอยู่กับท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่นาน ก็ประสูติพระโอรส ทรงพระรูปโฉมงดงาม พระนางขนานพระนามพระโอรสว่า "มหาชนกกุมาร" ซึ่งเป็นพระนามของพระอัยกา
มหาชนกกุมารเจริญวัยแล้ว ทรงเล่นกับพวกเด็ก ๆ พระองค์มีพระกำลังมาก หากเด็กคนใดทำให้พระองค์ขัดเคือง มหาชนกุมารก็จับเด็กนั้นฉุดลากไปมาจนเด็กนั้นร้องให้เสียงขรม เมื่อใครถามว่า "หนู ใครข่มเหงเอา" เด็กนั้นก็จะตอบว่า "ลูกหญิงหม้ายข่มเหง" มหาชนกกุมารเมื่อได้สดับดังนั้นจึงดำริว่า "ทำไมเด็กนั้นจึงว่า เราเป็นลูกหญิงแม่หม้าย เราจะต้องถามมารดาให้รู้แน่"
วันหนึ่ง พระกุมารทูลถามพระมารดาว่า "แม่จ๋ก ทำไมเด็ก ๆ มันจึงพูดว่า ฉันเป็นลูกหญิงแม่หม้าย พ่อฉันไม่มีหรอกหรือ ?"
พระนางตรัสลวงว่า "ก็อาจารย์ทิิศาปาโมกข์นั่นอย่างไรล่ะ บิดาของลูก"
อยู่มาวันหนึ่ง มหาชนกกุมารถูกพวกเด็ก ๆ พูดอีกว่า "เป็นลูกหญิงหม้าย" มหาชนกกุมารจึงบอกว่า อาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นบิดาของตน เด็ก ๆ พากันหัวเราะลั่น ที่เห็นว่า มหาชนกกุมารตู่ว่าอาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นบิดา ต่างพากันตะโกนว่า "ไม่จริง ๆ อาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่ใช่บิดาเจ้า"
มหาชนกกุมารสงสัยว่า "ทำไม เด็กพวกนี้จึงว่าอาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่ใช่บิดาของเรา ทั้ง ๆ ที่มารดาก็ได้บอกแก่เราเช่นนั้น หรือมารดาไม่บอกความจริงแก่เรา" พระกุมารดำริต่อไปว่า "เราจะต้องให้มารดาบอกความจริงให้จนได้" ครั้นได้เวลาดื่มนม พระมารดาจึงให้นม พระกุมารได้กัดพระถันพระมารดาไว้แน่นแล้ว ถามว่า "แม่จ๋า แม่ต้องบอกความจริง ใครเป็นบิดาของฉัน ถ้าไม่บอกความจริง ลูกจะกัดนมแม่ให้ขาดไปทันที"
พระเทวีไม่อาจจะลวงพระโอรสต่อไปได้ จึงตรัสบอกความจริงให้โอรสฟังตั้งแต่ต้น จนกระทั่งพระนางได้มาอาศัยอยู่กับท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ตั้งแต่นั้นมา พระกุมารก็หายกริ้วต่อผู้ที่ว่าตนเป็นลูกหญิงหม้าย เพราะได้ทราบความจริงหมดแล้ว
มหาชนกกุมารได้ศึกษาศิลปศาสตร์ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์สำเร็จ เมื่อพระชนม์ ๑๖ พรรษา
พระราชกุมารทรงดำริจะเอาราชสมบัติซึ่งเป็นมรดกของพระชนกคืนให้ได้ จึงทูลถามพระชนนีว่า "ข้าแต่พระมารดา เมื่อพระมารดาเสด็จหนีลี้ภัยมา มีทรัพย์สมบัติอะไรติดมือมาบ้าง หากมี หม่อมแันจะนำไปขาย เมื่อได้ทรัพย์มาก็จะได้ประกอบการค้าต่อไป เมื่อได้ทรัพย์มากพอแล้ว หม่อมฉันคิดจะเอาราชสมบัติของพระชนกคืนให้ได้"
พระมารดาตรัสว่า "ลูกรัก แม่ไม่ได้มามือเปล่า แม่เอาของสำคัญมา ๓ อย่าง คือ แก้วมณี แก้วมุกดา แก้ววิเชียร แก้วทั้ง ๓ ชนิดนี้ แต่ละอย่างมีราคามาก
พระโพธิสัตว์ทูลว่า "ข้าแต่พระมารดา หม่อมฉันขอเพียงกึ่งหนึ่ง หม่อมฉันจะไม่ทำการค้าที่เมืองสุวรรณภูมิ เมื่อรวบรวมทรัพย์ได้มากพอ หม่อมฉันก็จะเอาราชสมบัติของพระชนกคืน" พระมารดาได้ประทานทรัพย์กึ่งหนึ่งให้แก่โอรส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น