วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม (หน้า ๕)

ปาริกาดาบสินีพูดพลางสะอื้นพลางว่า  "โอ  ลูกรักของแม่ลูกเลี้ยงดูพ่อแม่ไม่ให้เดือนร้อน  เมื่อมีผู้มาฆ่าลูกเช่นนี้  จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร"

ทุกูลดาบสพูดปลอบโยนว่า  "แม่ปาริกา  ขอสำรวมจิตอย่าคิดโกรธเลย  บัณฑิตย่อมสรรเสริญผู้ไม่โกรธต่อคนที่ทำผิดรับผิด  ดังเช่นพระราชาพระองค์นี้  พระองค์ฆ่าลูกของเรา  พระองค์ก็ทรงสารภาพแก่เราแล้ว"

พระราชาปิลยักขราช  ตรัสปลอบดาบสดาบสินีว่า  "ท่านทั้งสองอย่าอาวรณ์อาลัยให้มากไปเลย  ข้าพเจ้ารับจะเลี้ยงดูท่านทั้งสองให้มีความสุขเช่นเดียวกับที่สุวรรณสามบุตรท่านเลี้ยงดูท่านทุกอย่าง  ขอให้คลายความโศกเสียเถิด"

ดาบสดาบสินีกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์  ข้าพระองค์จะยอมให้พระองค์ทำเช่นนั้นไม่ได้ พระองค์ทรงเป็นเจ้าเหนือหัวของข้าพระบาท  ข้าพระบาทขออยู่ตามประสายากเช่นนี้แหละ  พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงพอพระทัย  ที่เห็นดาบสดาบสินีไม่แสดงอาการโกรธเคืองตน  กลับแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์  และยกย่องพระองค์  เพื่อให้ดาบสดาบสินีเห็นว่า  พระองค์เต็มพระทัยที่จะปฏิบัติเขาทั้งสอง จึงตรัสว่า  "ท่านทั้งสอง  ข้าพเจ้าขอรับท่านทั้งสองให้เป็นบิดามารดาของข้าพเจ้า  ท่านอย่าถือว่าข้าพเจ้าเป็นพระราชาเลย  ขอให้นึกว่าข้าพเจ้าเป็นสุวรรณสามเถิด

ดาบสดาบสินีกราบถวายบังคมทูลวิงวอนว่า  "ข้าแต่พระองค์  การงานอย่างอื่นที่พระองค์จะทรงทำแก่ข้าพระบาททั้งสองไม่มีแล้ว  นอกจากข้าพระบาททั้งสองขอพระองค์ทรงพระกรุณา  ถือไม้เท้าพาข้าพระบาททั้งสองไปที่ศพของพ่อสุวรรณสาม  พอให้ได้ลูบคลำลูกก็พอแล้ว  จากนั้นข้าพระบาททั้งสองก็จะทรมานตัวให้ตายไปตามลูกด้วย  พระเจ้าข้า"

พระราชาปิลยักขราชทรงรับที่จะพาไป  จึงจูงดาบสดาบสินีนำไปยังที่ที่สุวรรณสามนอนจมเลือดอยู่  เมื่อไปถึงแล้วพระองค์รับสั่งว่า  "นี่บุตรของท่าน"

ทุกูลดาบสคลำหาศีรษะลูก  พบแล้วก็ช้อนศีรษะสุวรรณสามวางไว้บนตัก  นางปาริกาดาบสินียกเท้าสุวรรณสามขึ้นวางบนตักเช่นกัน  และทั้งสองก็โศกเศร้ารำพันว่า


"โอ  พ่อสุวรรณสามลูกรักของพ่อแม่  พ่อหลับเอา

จริง ๆ  พ่อไม่พูดให้พ่อแม่ชื่นใจบ้างเลย  พ่อเคยเลี้ยงดู

พ่อแม่  ต่อแต่นี้ไปใครเล่าจะจัดหาผลไม้และน้ำเย็น

น้ำร้อนให้พ่อแม่อาบ  นอกจากพ่อสุวรรณสาม  พ่อและแม่ไม่เห็นใครแล้ว"


ขณะที่ทั้งสองดาบสพร่ำเพ้ออยู่นั้น  เผอิญปาริกาดาบสินีลูบคลำไปที่อกของสุวรรณสามยังมีอาการอบอุ่นอยู่  นางคิดว่า  พ่อสุวรรณสามคงเพียงสลบไปเท่านั้น  คงยังไม่ตาย  จึงสัตยาธิษฐานว่า


"พ่อสุวรรณสามนี้ตั้งแต่เกิดมาก็ตั้งอยู่ในสัมมาจารีต

ตลอดมา  ทั้งเปี่ยมด้วยกตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดา

บังเกิดเกล้า เรารักพ่อสุวรรณสามยิ่งกว่าชีวิตของเรา

ด้วยสัจวาจานี้  ขอให้พิษหายไปเถิด"

ทุกูลดาบสเห็นดังนั้นก็ดีใจ  คิดว่า  ลูกยังมีชีวิตอยู่  จึงตั้งสัตยาธิษฐานบ้าง  อย่างเดียวกับที่นางปาริกาอธิษฐาน  เมื่อจบคำอธิษฐานของบิดา  สุวรรณสามก็พลิกตัวอีกข้างหนึ่งแล้วนอนต่อไป

ส่วนนางเทพธิดาสุธรี  ก็ตั้งสัตยาธิษฐานว่า

"เราอยู่  ณ  เขาคันธมาทน์มาเป็นเวลานาน  เราไม่

รักใครมากเท่ากับสุวรรณสามเลย  ด้วยคำสัตย์นี้  

ขอให้พิษจงหายไป"


ทันใดนั้นก็เกิดอัศจรรย์  ๔  อย่างขึ้น  ในขณะเดียวกัน  คือ
  1. สุวรรณสามหายจากบาดเจ็บ  ลุกขึ้นได้เหมือนคนปรกติ
  2. ตาทั้งสองข้างของสองดาบสดาบสินีเป็นปรกติ  เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง
  3. แสงอุณขึ้น
  4. คนทั้ง 4  คือ  พระเจ้าปิลยักขราช  ทุกูลดาบส  นางปาริกาดาบสินีและสุวรรณสาม  ปรากฏอยู่  ณ  อาศรม
มารดาบิดา  เมื่อตาแจ่มใสเห็นลูกหายเป็นปรกติก็ดีใจ  ตรงเข้าจูบกอดลูกด้วยความปลาบปลื้มเสน่หา

สุวรรณสามบัณฑิตกล่าวขึ้นว่า  "ขอความสุขความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด  บัดนี้ข้าพเจ้าหายเป็นปรกติแล้ว  ขอให้ได้มีการสนทนาสัมโมทนียกถากันเถิด"  สุวรรณสามมองไปเห็นพระราชา  จึงถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า  "ข้าแต่มหาราช  พระองค์เสด็มาดีแล้ว  ขอพระองค์เสวยผลไม้เท่าที่มีอยู่  เช่น  มะพลับ  มะหาด  มะซาง  ขอทรงเลือกตามพระประสงค์เถิด ข้าพระองค์ดีใจมากที่พระองค์เสด็จมา  ณ  ที่นี้"

พระราชาปิลยักขราชทอดพระเนตรเห็นความมหัศจรรย์เช่นนั้น  จึงตรัสว่า  "ข้าพเจ้ามึนงงไปหมดทั้งแปดด้าน  ไม่รู้อะไรเป็นอะไร  ข้าพเจ้าเห็นสุวรรณสามสิ้นชีวิตแล้ว  ไฉนจึงฟื้นขึ้นมาได้  น่าอัศจรรย์จริง"

สุวรรณสามบัณฑิตดำริว่า  "พระราชาสำคัญว่า  เราตายแล้ว  แต่เราก็ยังไม่ตาย  เราจะประกาศให้พระราชาทรงทราบว่า  เราไม่ตายเพราะอะไร"


"ข้าแต่มหาราชเจ้า  บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดา

โดยชอบธรรมเทพยดาและมนุษย์ย่อมแก้ไขคุ้มครอง

บุคคลนั้น  นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น

ในโลกนี้  เมื่อเขาละโลกนี้ไปแล้ว  ย่อมร่าเริงบันเทิงอยู่

บนสวรรค์"


พระราชาปิลยักขราชได้สดับคำของสุวรรณสาม  ทรงดำริว่า  "น่าประหลาดอะไรเช่นนี้  คนที่เลี้ยงดูบิดามารดาด้วยดี  แม้เทพยดาก็อุปถัมภ์ค้ำชูเยียวยาให้หายจากโรคได้  พ่อสุวรรณสามนี้น่ารักเหลือเกิน"  ทรงดำริดังนี้แล้ว  ประคองอัญชลีตรัสว่า  "พ่อสุวรรณสามบัณฑิต  ข้าพเจ้าหลงงมงายมานานแล้ว  ท่านทำให้ข้าพเจ้ามีความสว่างไสวดีจริง  ข้าพเจ้าขอยึดท่านเป็นสรณะ  ขอท่านจงเป็นสรณะของข้าพเจ้าเถิด"

สุวรรณสามบัณฑิตกราบทูลพระราชาว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  หากพระองค์ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จสู่สวรรค์  เพื่อเสวยทิพยสมบัติแล้ว  ขอพระองค์ทรงประพฤติราชธรรมจรรยาดังข้าพระบาทจะทูลถวาย  ณ  บัดนี้"

พระราชาทรงแสดงความเคารพน้อมรับที่จะฟังราชธรรมจรรยา

สุวรรณสามบัณฑิตจึงถวายโอวาทราชธรรมจรรยาแด่พระราชาว่า


"ข้าแต่มหาราช  ขอพระองค์ทรงประพฤติดีประพฤติ

ชอบในพระชนกชนนี  มิตร,  อำมาตย์,  ไพร่พล,  ชาวบ้าน,  

ชาวนิคม,  ชาวเมือง,  ชาวชนบท,  สมณพราหมณ์,  เนื้อ,  

นก  เถิด  เมื่อพระองค์ประพฤติดีประพฤติชอบดังนี้แล้ว

พระองค์จักเสด็จไปสวรรค์"

ข้าแต่มหาราชเจ้า  พระอินทร์  เทวดา  พรหม  ได้

เสวยทิพยสมบัติในเทวโลก  ก็เพราะประพฤติดีประพฤติ

ชอบนี้แหละ  ขอพระองค์ทรงประพฤติราชธรรมด้วยความไม่ประมาทเถิด"


พระสุวรรณสามบัณฑิตแสดงราชธรรมถวายพระราชาจบแล้ว  เมื่อจะถวายโอวาทให้ยิ่ง ๆ  ขึ้น  จึงให้พระราชาสมาทานเพญจศีล

พระราชาสมาทานเบญจศีลแล้ว  ทรงไหว้พระสุวรรณสาม ขอขมาโทษที่ได้ทำให้เดือดร้อนแต่หนหลัง  แล้วเสด็จกลับเมืองพาราณสี  ทรงบำเพ็ญกุศลกิจ  มีให้ทาน  รักษาศีล  ครองราชสมบัติโดยชอบธรรม  จนตราบเท่าพระชนมชีพของพระองค์

ฝ่ายสุวรรณสามบัณฑิตก็เลี้ยงดูบิดามารดา  แล้วบำเพ็ญฌานสมาบัติจนสำเร็จ  เมื่อสิ้นชีพก็ไปบังเกิดเป็นพรหมอยู่  ณ  พรหมโลกร่วมกับบิดามารดา  ณ  ที่นั้น

เรื่องนี้เก็บความจากสุวรรณสามชาดก  คติธรรมที่ได้จากเรื่องนี้  คือ

ความเมตตากรุณา
ความกตัญญูกตเวที
ความสัตย์
ความรักระหว่างบิดามารดากับบุตร


.............จบบริบูรณ์..........





























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น