มหาชนกกุมารโอรส เมื่อได้ทรัพย์จากพระมารดาแล้ว ก็นำไปซื้อสินค้าขนลงบรรทุกเรือร่วมกับพ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ เมื่อขนเสร็จเรียบร้อย ก็กลับมาเฝ้าพระมารดา ถวายบังคมแล้วทูลว่า "ข้าแต่พระมารดา หม่อมฉันขอทูลลาไปสุวรรณภูมิ" แม้พระมารดาจะทรงทักท้วงห้ามปรามสักเท่าไร มหาชนกกุมารก็ตัดสินพระทัยไปจนได้
มหาชนกกุมารขึ้นเรือร่วมไปกับพ่อค้าประมาณ ๗๐๐ คน เมื่อแล่นเรือไปได้ ๗ วัน เรือถูกคลื่นใหญ่ตีจนแผ่นกระดานเรือแตก น้ำไหลเข้าตามช่องที่แตก เรือได้อัปปางลงในท่ามกลางทะเลหลวง บรรดาพ่อค้าและลูกเรือต่างอกสั่นขวัญหายส่งเสียงเอ็ดอึงด้วยกลัวตาย ต่างร้องไห้รำพันเพ้อ บวงสรวงเทพเจ้าเพื่อขอให้ปลอดภัย
พระมหาชนกกุมาร ประทับนั่งด้วยอาการอันสงบ มิได้แสดงอาการตกใจหวาดกลัว เมื่อทรงทราบว่าเรือจะจมแน่แล้ว จึงเอาขัณฑสกรกับเนยใสคลุกให้เข้ากัน แล้วเสวยจนอิ่ม เอาผ้าเนื้อเกลี้ยงชุบน้ำมันจนชุ่ม แล้วเอามานุ่งอย่างแน่นหนา ยืนพิงเสากระโดง เมื่อเรือจมไปทีละน้อย จวนถึงเสากระโดงก็ปีนขึ้นปลายเสากระโดง บรรดาผู้คนในเรือต่างจมน้ำเป็นภักษาหารของปลาและสัตว์ร้าย น้ำรอบ ๆ เป็นสีเลือด พระมหาชนกกุมารประทับยืนอยู่ปลายเสากระโดง ทรงสังเกตทิศที่ตั้งเมืองมิถิลา แล้วกระโดดจากปลายเสากระโดงลงพื้นน้ำ และพระองค์ก็แหวกว่ายฝ่าคลื่นในมหาสมุทรอยู่ตลอด ๗ วัน ซึ่งปรากฏแก่พระองค์เหมือนวันเดียว ขณะที่ทรงแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรอยู่นั้น เมื่อถึงวันเพ็ญพระองค์ก็บ้วนพระโอษฐ์และสมาทานอุโบสถศีล
นางมณีเมขลา เทพธิดามีหน้าที่ดูแลรักษามหาสมุทร เมื่อเห็นพระมหาชนกแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรเช่นนั้น จึงเหาะเข้าไปใกล้พระมหาชนก แล้วกล่าวเพื่อจะทดลองน้ำพระทัยของพระมหาชนกว่า "ใครหนอเมื่อมองไม่เห็นฝั่ง ก็ยังอุตส่าห์พยายามว่ายอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ท่านเห็นประโยชน์อะไรหรือ จึงพยายามว่ายอยู่อย่างนี้"
พระมหาชนกเมื่อได้ยินเสียงถามมา ทรงดำริว่า "เราว่ายอยู่ในมหาสมุทร ๗ วัน เช้าวันนี้แล้ว ไม่เคยได้ยินเสียงใครเลย ใครหนอมาพูดกับเราวันนี้" แล้วก็แหงนดูบนอากาศ ทอดพระเนตรเห็นนางมณีเมขลา จึงตรัสว่า "อานิสงส์แห่งความเพียรนั้นมีอยู่ ถึงแม้จะไม่เห็นฝั่ง เราก็ต้องพยายามว่ายจนกระทั่งถึงเข้าวันหนึ่ง"
นางมณีเมขลาปรารถนาจะฟังคติธรรมของพระมหาชนกต่อไป จึงกล่าวว่า "ฝั่งมหาสมุทรกว้างขวางใหญ่หลวงไม่ปรากฏแก่ท่าน แม้ท่านจะพยายามสักเท่าไร ไม่ทันถึงฝั่งก็จะตายเสียก่อน"
พระมหาชนกกุมารตรัสกะนางมณีเมขลาว่า
"บุคคลทำความเพียรอยู่ แม้ถึงจะตายขณะทำความเพียรนั้น ก็ชื่อว่าไม่ต้องเป็นหนี้ ไม่ต้องถูกญาติเทวดา มารดา บิดา ติเตียน
อนึ่ง เมื่อได้ทำกิจอย่างลูกผูชายแล้ว ก็ไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง"
นางมณีเมขลากล่าวต่อไปว่า
"การพยายามทำการงานที่ไม่เห็นจุดหมาย มีแต่ความยากลำบาก และอาจถึงตายในที่สุดได้ จะทำความพยายามอันไม่ใช่ฐานะนั้นไปทำไม"
พระมหาชนกเมื่อจะทรงทำให้นางมณีเมขลาจำนนต่อถ้อยคำ จึงตรัสว่า
"ดูก่อนแม่เทพธิดา ผู้ที่รู้ว่า การงานที่ทำไม่ลุล่วงไปได้ ไม่คิดป้องกันอันตรายไว้ก่อน ก็ชื่อว่า ไม่รักษาชีวิตของตน ถ้าเขาเลิกละความเพียรนั้นเสีย ก็จะได้รับผลของความเกียจคร้านเป็นแน่
ดูก่อนแม่เทพธิดา บุคคลเมื่อได้เห็นผลตามที่ประสงค์แล้ว ควรเร่งประกอบการงาน แม้การงานนั้นจะสำเร็จหรือไม่ก็ตามที
ดูก่อนแม่เทพธิดา ท่านได้เห็นผลของความพยายามประจักษ์แก่ตาท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า คนที่มากับเรือได้จมตายหายไปในมหาสมุทรหมด เหลือเราเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่พยายามว่ายอยู่ จึงรอดตายได้เห็นหน้าแม่เทพธิดาอยู่ในบัดนี้
ดูก่อนแม่เทพธิดา เราจักต้องพยายามทำความเพียรอย่างที่ลูกผู้ชาย ควรทำไปจนสุดกำลัง เพื่อข้ามให้ถึงฝั่งจนได้"
นางมณีเมขลาได้ฟังสุนทรกถาของพระมหาชนก ก็เกิดความเลื่อมใสกล่าวสรรเสริญว่า
"ท้องมหาสมุทรทั้งลึกทั้งกว้างใหญ่ไพศาล แต่ท่านก็พยายามจะว่ายข้ามไปให้ถึงฝั่ง สมเป็นลูกผู้ชาย ขอให้ท่านจงไปถึงสถานที่สมความปรารถนาเถิด"
ครั้นแล้วนางมณีเมขลาก็ตรงลงช้อนอุ้มพระมหาชนกประคองแนบไว้กับทรวงอก พาเหาะไปในอากาศ พระมหาชนกเมื่อถูกกายอันเป็นทิพย์สัมผัสเช่นนั้น ก็บรรทมหลับไป นางมณีเมขลาพาไปยังกรุงมิถิลา วางไว้บนแผ่นหินในสวนมะม่วง ฝากให้เทพยดาที่รักษาสวนคุ้มกันพระมหาชนกด้วยดี แล้วนางก็กลับไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น