พระราชาแห่งเมืองมิถิลา ประสูติพระโอรสองค์หนึ่งขนานพระนามว่า เนมิราช เพราะพระโอรสนี้จะได้สืบต่อวงศ์กษัตริย์มิถิลา ซึ่งจะสูญสิ้นอยู่แล้วให้ดำรงอยู่ต่อไปเช่นกงจักรรถ
เนมิกุมารยินดีในการบำเพ็ญทาน รักษาศีลอุโบสถ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เมื่อเนมิกุมารเจริญ พระราชบิดาเบื่อหน่ายในราชสมบัติ เห็นความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร ตามเรื่องว่า พระองค์เห็นเส้นพระเกศาหงอกเพียงเส้นเดียว ก็มอบราชสมบัติให้เนมิกุมารครองสืบต่อไป พระองค์เสด็จออกบรรพชา อาศัยอยู่ในพระราชอุทยานแห่งหนึ่ง จนกระทั่งเสด็จสวรรคต
พระราชาเนมิราช ตั้งแต่ครองราชสมบัติมา พระองค์ก็โปรดให้สร้างศาลาทานขึ้น ๕ แห่ง คือ ริมประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง ทรงบริจาคทรัพย์วันละ ๕๐๐,๐๐๐ กหาปณะ (๔ บาท เท่ากับ ๑ กหาปณธ) ทรงรักษาเบญจศีลเป็นนิตย์ สมาทานอุโบสถทุกปักษ์ ทรงแสดงธรรมสั่งสอนประชาชนให้มั่นอยู่ในศีลในธรรม ประชาชนที่ตั้งอยู่นศีลในธรรมนั้น ครั้นสิ้นชีพแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์ ปรากฏว่า บนสวรรค์เต็มไปด้วยเทพเจ้า ส่วนนรกนั้นว่างเปล่า เพราะไม่มีคนทำบาปหยาบช้าที่จะลงไปเกิด
หมู่เทพเจ้าบนดาวดึงส์ ประชุมกันสรรเสริญคุณงามความดีของพระเนมิราช เรียกพระเนมิราชว่า พระอาจารย์ เพราะเทพยดาเหล่านั้นได้ไปเสวยทิพยสมบัติกัน ก็เพราะตั้งอยู่ในคำสอนของพระเนมิราช แม้มหาชนในโลกมนุษย์ ต่างก็พากันแซ่ซ้องสาธุการในกุศลจริยาของท่าน เป็นอันว่าเกียรติคุณของพระเนมิราชแผ่ไพศาลไปในที่ทุกแห่ง ซึ่งท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนเอาน้ำมันเทลงไปบนมหาสมุทร ฉะนั้น
เมื่อพระเนมิราชทรงบำเพ็ญทานอยู่นั้น ทรงพระดำริว่า "ทานกับพรหมจรรย์ อย่างไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากัน"
พระดำริของพระองค์ทำให้ทรงเกิดความสงสัย ไม่สามารถจะตัดสินพระทัยอย่างได้ ทรงปริวิตกอยู่ตลอดเวลา
ท้าวสักกเทวราช เมื่อทรงทราบถึงข้อปริวิตกของพระเนมิราชเช่นนั้น จึงดำริที่จะแก้ข้อสงสัยให้หายปริวิตก จึงเสด็จจากดาวดึงส์ ประทับอยู่ ณ พื้นนภากาศ เปล่งพระรัศมีพวยพุ่งเข้าสู่ห้องพระบรรทมของพระเนมิราช
พระเนมิราชทอดพระเนตรเห็นรัศมีพุ่งมาเช่นนั้น ก็ทรงทราบว่า เป็นรัศมีของท้าวสักกเทวราช จึงมีพระดำรัสว่า "ข้าแต่ท้าวสักกรินทรเทพ พระองค์ทรงแสดงรัศมีโชติช่วงมา ณ ที่นี้เพื่อประสงค์อันใด"
ท้าวสักกะ "หม่อมฉันมา ณ ที่นี้ก็เพื่อจะแก้ความขัดข้องสงสัยในปัญหาต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่แก่พระองค์ หากพระองค์มีพระประสงค์จะถามอะไรกับหม่อมฉัน ก็ขอให้ถามมาเถิด"
พระเนมิราชทรงพอพระทัยที่จะมีผู้แก้ข้อสงสัยในเรื่องที่กำลังทรงดำริอยู่ จึงตรัสว่า "ข้าแต่ท่านท้าวสักกรินทรเทวราช ข้าพระบาทสงสัยว่า ระหว่างทานกับพรหมจรรย์นี้อย่างไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันนะ พระเจ้าข้า"
ท้าวสักกะเทวราชตรัสว่า
"ข้าแต่ท่านผู้เป็นสมมติเทพ บุคคลที่มาเกิดใน
ตระกูลกษัตริย์ ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ต่ำ บุคคลได้
เป็นเทพเจ้า ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ปานกลาง
บุคคลที่ถึงความบริสุทธิ์ ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์สูงสุด
การเป็นพรหม ไม่ใช่เป็นได้ง่าย ๆ เพียงวิงวอน
ขอให้เป็น ผู้ที่จะเป็นพรหมได้นั้นต้องไม่มีเหย้าเรือน
ต้องบำเพ็ญตบะธรรมสม่ำเสมอ"
องค์อมรินทร์เทวราชได้พรรณนาต่อไปว่า "การประพฤติพรหมจรรย์เป็นคุณมากมายกว่าการบริจาค ซึ่งจะเปรียบกันมิได้เลย กษัตริย์ทั้งหลายที่แล้ว ๆ มา ได้บริจาคทานเป็นการใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถที่จะล่วงพ้นจากท่องเที่ยวอยู่ในกามกิเลสไปได้เลย จริงอยู่
บุคคลไม่มีเพื่อน อยู่คนเดียวก็หมดสนุก หมด
ความรื่นรมย์ ถ้ามีเพื่อนก็มีความสนุก มีความรื่นรมย์
แต่ไม่ได้ปิติอันเกิดจากวิเวก บุคคลเช่นนั้นถึงจะมี
โภคสมบัติมหาศาลเสมอด้วยองค์อินทร์ ก็ชื่อว่า เป็น
คนเข็ญใจ เพราะได้ความสุขด้วยอาศัยคนอื่น"
ท่าวสักกะได้อ้างถึงอาบสหลายท่านที่ประพฤติพรหมจรรย์ชั้นสูงแล้ว ล่วงพ้นจากกามกิเลส บังเกิดในพรหมโลก ได้รับความสงบอันเป็นสุขที่แท้จริง แล้วพระองค์ก็ทรงเล่าเรื่องที่ปรากฏแก่พระองค์เองมา
เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งก่อนโน้นมีแม่น้ำชื่อว่า สีทา อยู่ในระหว่างภูเขาทอง ๒ ลูก เป็นแม่น้ำลึกและใส อะไร ๆ ตกลงไปก็ไม่ลอย จมทันที แม้แต่แววหางนกยูง ภูเขาทอง ๒ ลูกนั้นมีสีเหมือนไฟไหม้ไม้อ้อสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา บนพื้นฝั่งแม่น้ำมีต้นกฤษณาส่งกลิ่นหอมอบอวล มีทั้งพฤกษชาติที่เป็นดอกและเป็นผล นักพรตจำนวนหมื่นอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น ล้วนสำเร็จอภิญญา สมาบัติ ท่านเหล่านั้นไม่ติดในรส มีความสุขอยู่กับฌานสมาบัติ
มีนักพรตรูปหนึ่งเหาะไปยังเมืองพาราณสี ออกเที่ยวบิณฑบาตไปถึงประตูบ้านปุโรหิต ปุโรหิตเลื่อมใสในความสงยและเรียบร้อยของท่าน นิมนต์ท่านเข้าไปในบ้าน แล้วจัดอาหารถวาย ปุโรหิตถามว่า "พระคุณเจ้าอยู่ที่ไหน ? "
นักพรตตอบว่า "อาตมาอยู่บนฝั่งแม่น้ำสีทา ระหว่างภูเขาทองในป่าหิมพานต์โน้น"
ปุโรหิตถามว่า "พระคุณเจ้าอยู่รูปเดียวหรือ ?"
นักพรต "อาตมาอยู่ด้วยกันจำนวนหมื่น และท่านเหล่านั้นล้วนสำเร็จอภิญญาสมาบัติทั้งนั้น"
ปุโรหิตได้ฟังก็รู้สึกเลื่อมใสในคุณสมบัติของนักพรตเหล่านั้น คิดอยากจะเป็นนักพรตบ้าง จึงถามว่า "พระคุณเจ้าจะพาข้าพเจ้าไปที่นั้นแล้วบวชให้จะได้หรือไม่ ?"
นักพรต "ท่านเป็นราชบุรุษ อาตมาไม่อาจจะบวชให้ได้"
ปุโรหิต "ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะทูลลาพระมหากษัตริย์วันนี้ พรุ่งนี้นิมนต์พระคุณเจ้ามาที่นี้อีก"
เมื่อนักพรตรับคำแล้ว ปุโรหิตก็ไปเฝ้าพระราชาในเช้าวันนั้น กราบทูลว่า "ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้า ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมลาเพื่อออกบวช พระเจ้าข้า"
พระราชาตรัสถามว่า "ท่านอาจารย์ ทำไมจะบวชเสียเล่า ?"
ปุโรหิตกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าเห็นโทษในกาม เห็นอานิสงส์ในการออกบวช พระเจ้าข้า"
พระราชา "ดีแล้วท่านอาจารย์ไปบวชเถิด เมื่อบวชแล้วมาหาเราบ้าง"
ปุโรหิตดีใจที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้บวช ถวายบังคมลากลับมาบ้าน เรียกบุตรภรรยามาพร้อมหน้ากัน แล้วสั่งสอนให้ประพฤติดีประพฤติชอบ เสร็จแล้วมอบสมบัติให้ เตรียมบริขาบรรพชาไว้คอยท่านักพรต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น