วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๒. พระมหาชนก (หน้า ๔)


ย้อนกล่าวถึงพระเจ้าโปลชนกกษัตริย์แห่งมิถิลา  พระองค์เสด็สวรรคตมาได้  ๗  วันแล้ว  พระองค์ไม่มีราชโอรสจะสืบราชสมบัติ  ทรงมีแต่ราชธิดาพระนามว่า  "เจ้าหญิงสิวลี"  เจ้าหญิงมีความเฉลียวฉลาดเฉียบแหลมมาก

ขณะที่พระเจ้าโปลชนกประชวรหนักใกล้จะเสด็สวรรคต  อำมาตย์ผู้ใหญ่ได้ทูลถามว่า  "ขอเดชะ  ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  พระราชโอรสที่จะสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ไม่มี  เมื่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จสวรรคตแล้ว  ข้าพระพุทธเจ้าจะถวายราชสมบัติแก่ใคร่  พระพุทธเจ้าข้า ?"

พระเจ้าโปลชนกมีพระดำรัสว่า  "ท่านทั้งหลายจงมอบราชสมบัติแก่ผู้ที่มีความสามารถดังต่อไปนี้  คือ

๑.  สามารถทำให้เจ้าหญิงสิวลีธิดาของเรายินดีได้

๒.  สามารถรู้หัวนอนบังลังก์สี่เหลี่ยม

๓.  สามารถยกธนูหนักประมาณ  ๑,๐๐๐  แรงคนขึ้นได้

๔.  สามารถนำขุทรัพย์ใหญ่  ๑๓ (ในบาลีบอกว่า ๑๖ แห่ง)  แห่งออกมาได้

หากมีผู้สามารถดังกล่าวแล้ว   ขอให้ท่านมอบราชสมบัติให้แก่เขาเถิด"

อำมาตย์กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ขอใต้ฝ่าพระบาทตรัสบอกปัญหาขุมทรัพย์  ๑๓  แห่ง  แก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด"

พระราชาโปลชนกตรัสบอกว่า  "ขุมทรัพย์ใหญ่  ๑๓  แห่งนั้น  คือ

๑.  ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น

๒.  ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ตก

๓.  ขุมทรัพย์ภายนอก

๕.  ขุมทรัพย์ไม่ใช่ทั้งภายในและภายนอก

๖.  ขุมทรัพย์ขาขึ้น

๗.  ขุมทรัพย์ขาลง

๘.  ขุมทรัพย์ที่ไม้รังทั้งสี่

๙.  ขุมทรัพย์ที่หนึ่งโยชน์โดยรอบ

๑๐.ขุมทรัพย์ที่ปลายงาทั้งสอง

๑๑.ขุมทรัพย์ที่ปลายหาง

๑๒.ขุมทรัพย์ที่น้ำ

๑๓.ขุมทรัพย์ที่ปลายไม้"

พระเจ้าโปลชนกตรัสบอกแล้วก็สวรรคต  อำมาตย์ทั้งหลายจัดการถวายพระเพลิงพระศพเสร็จเรียบร้อยสมพระเกียรติทุกประการ

หลังจากพระเจ้าโปลชนกสวรรคตครบ  ๗  วัน  เหล่าอำมาตย์ปรึกษากันถึงเรื่องที่พระราชาตรัสไว้ว่า  ให้มอบราชสมบัติแก่ผู้ที่สามารถทำให้พระราชธิดาทรงพอพระทัย  ปรึกษาตกลงกันว่า  "เห็นแต่ท่านมหาเสนาบดีเท่านั้นที่จะทำให้พระนางพอพระทัย  เพราะท่านมหาเสนาบดีเป็นราชพัลลภใกล้ชิดกันกับพระราชาตลอดมา"  จึงส่งข่าวไปให้มหาเสนาบดีทราบ

มหาเสนาบดีพอได้ทราบข่าวเช่นนั้น  ก็แสนที่จะดีใจ  นึกว่า  คงได้เป็นกษัตริย์ครองแผ่นดินคราวนี้แน่  จึงแต่งตัวอย่างโอ่อ่าเข้าไปพระราชวัง  ให้คนติตามเข้าไปกราบทูลพระนางสิวลีราชธิดาให้ทรงทราบ  ถึงเหตุที่ตนมา  พระนางสิวลีเมื่อทรงทราบว่า  เสนาบดีมาเพื่อให้ทรงเลือก  พระนางจึงทรงทดลองดูเพื่อให้รู้แน่ว่า  เสนาบดีคนนี้จะคู่ควรแก่สิริราชสมบัติหรือไม่  จึงรับสั่งให้ไปบอกเสนาบดีให้เข้ามาเร็ว ๆ  วิ่งมาได้ยิ่งดี

เสนาบดีเมื่อได้รับพระอนุญาตก็ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระนาง  เพื่อหวังจะให้ทรงโปรดปราน  ขัดเขมรโจงกระเบนให้มั่นแล้วก็วิ่งไปเฝ้าพระนาง  หอยหายใจอยู่ตรงพระพักตร์

พระราชธิดาทรงทดลองต่อไปรับสั่งว่า  "เสนาบดีท่านจงรีบเดินไปตามพื้นตำหนักให้ถึงท้องพระโรงโดยไว"

เมื่อเสนาบดีรีบเดินไป  ก็รับสั่งให้คนไปบอกว่าให้รีบเดินกลับมา  เสนาบดีก็รีบเดินกลับตามรับสั่ง  พระราชธิดาเหยียดพระบาทออกแล้วตรัสว่า  "ท่านเสนาบดีนวดเท้าให้เราหน่อย"  เสนาบดีก็นั่งนวดเท้าพระราชธิดา  มีความกระหยิ่มยิ้มย่องนึกว่า  พระราชธิดาคงโปรดแน่  ทันใดนั้น  พระราชธิดาถีบเข้าที่อกจนเสนาบดีล้ม  แล้วรับสั่งกับพวกข้าหลวงว่า  "พวกเจ้าจงจับคอคนโง่  หาปัญญามิได้นี้ออกไป  แล้วทุบตีเสียให้สาสม  ค่าที่มันไม่เจียมตัว"  พวกข้าหลวงต่างตรงเข้าจับคอบ้าง  มือบ้าง  เท้าบ้าง  ลากออกจากพระราชวัง  แล้วพากันทุบตีเสนาบดีบอบช้ำ"

เสนาบดีเมื่อถูกเข้าเช่นนั้น  ก็แสนที่จะละอาย  เดินโซเซหน้าซีดออกมา  เมื่อมีใครถามว่า  "ท่านครับ  เป็นอย่างไรบ้าง  สำเร็จไหม ?"  เสนาบดีบอกว่า  "สำเร็จอะไรกัน  พระราชธิดาองค์นี้คงไม่ใช่มนุษย์แน่  น่ากลัวคงเป็นนางยักษิณีผีป่า  เราถูกทั้งเท้า  ทั้งเข่า  ทั้งศอก  ทั้งหมัด  บอกช้ำไปหมดแล้ว"

บุคคลที่ถูกคัดเลือกเข้าไปให้พระราชธิดาทรงทดลองความฉลาด  เช่น  ขุนคลัง  เศรษฐี  เจ้าพนักงานเชิญเครื่องสูง  เจ้าพนักงานพระแสง  แต่ละคนก็ถูกพระราชธิดาทดลองปัญญา  บอกให้วิ่งก็วิ่ง  บอกให้เต้นก็เต้น  บอกให้ร้องก็ร้อง  ทำเป็นเหมือนคนบ้าจี้  ในที่สุดก็ถูกพระราชธิดาขับไล่ให้ออกจากพระราชวังหมด

อำมาตย์ผู้ใหญ่เมื่อเห็นว่า  ไม่มีใครจะทำให้พระราชธิดาทรงโปรดปรานได้  ก็ปรึกษากันว่า  "เราควรมอบราชสมบัติให้แก่ผู้ที่สามารถยกสหัสถามธนูได้"

เมื่อประกาศหาผู้สามารถยกธนูได้  ก็ไม่มีใครยกได้  ให้หาผู้ที่รู้จักหัวนอนบัลลังก์  ๔  เหลี่ยม  ผู้ที่สามารถนำขุมทรัพย์  ๑๓  แห่งออกได้  ก็ไม่มีผู้สามารถ  เมื่อหาผู้สามารถไม่ได้สักอย่างเดียว  อำมาตย์จึงปรึกษากันว่า  "จะทำอย่างไรดี  แว่นแคว้นที่ไม่มีพระราชาปกครองจะลำบาก"

ขณะนั้น  ปุโรหิตผู้เป็นที่นับถือของราชสำนักได้กล่าวกะมหาอำมาตย์ว่า  "ท่านทั้งหลายอย่าวิตกไปเลย  เราควรเสี่ยงบุษยราชรถออกไป  เพราะผู้ที่เชิญเสด็จมาด้วยบุษยราชรถนั้น  สมควรเป็นพระราชาครองราชสมบัติในสกลชมพูทวีปได้"  เมื่อทุกคนเห็นชอบตามที่ท่านปุโรหิตพูด  ก็เตรียมบุษยราชรถเทียมม้าขาว  ๔  ม้า  จัดพระที่นั่งบนราชรถและมีเครื่องราชกุธภันฑ์ทั้ง  ๕  ประดิษฐานบนรถ  มีเหล่าจตุรงคเสนาล้อมบุษยราชรถ  มีประโคมดนตรีอยู่เบื้องหลัง  ตามธรรมดาถ้ามีพระราชาประทับบนบุษยราชรถ  ต้องประโคมดนตรีข้างหน้า  ถ้าไม่มีพระราชาประทับก็ประโคมข้างหลัง  แล้วเอาพระเต้าทองรินน้ำประพรมลายหนัง  เชือก  แอก  ปฏัก  ตั้งอธิษฐานว่า  "หากผู้ใดมีบุญญาธิการสมควรครองราชสมบัติ  ขอให้ราชรถจงไปยังที่อยู่ของผู้นั้นเถิด"  อธิษฐานเสร็จแล้วก็ปล่อยราชรถนั้นไป




















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น