พญาครุฑ
ครั้งนั้น มีครุฑตนหนึ่งอยู่ที่ต้นงิ้วทางมหาสมุทรภาคใต้ ใช้ปีกกระพือลมแหวกน้ำในมหาสมุทรลงไปจับนาคราชได้ตัวหนึ่ง แต่จับทางศีรษะ (เพราะสมัยนั้นครุฑยังไม่รู้จักวิธีจับนาค) ปล่อยหางห้อยลงมา พาบินไปเหนือป่าหิมพานต์ ครั้งนั้น มีพราหมณ์ชาวกาสิกรัฐผู้หนึ่ง บวชเป็นฤษีสร้างบรรณศาลาอยู่ในป่าหิมพานต์ ด้านหนึ่งของที่จงกรมของฤษีนั้นมีต้นไทรใหญ่ ซึ่งเป็นที่พักสบายของฤษีตอนกลางวัน พอครุฑหิ้วนาคผ่านมาถึงยอดไทรใหญ่ต้นนั้น นาคก็เอาหางพ้นกิงไทรไว้เพื่อจะให้หลุดพ้นจากครุฑ แต่กำลังบินของครุฑมีมาก ต้นไทรนั้นก็ถอนรากติดหางนาคไปด้วย พอไปถึงต้นงิ้วใหญ่ที่อาศัยก็ฉีกท้องนาคกินแต่มันเหลว แล้วทิ้งร่างลงไปในท้องมหาสมุทร ต้นไทรที่ติดหางนาคก็ตกลงเสียงดังสนั่น พญาครุฑสงสัยว่า เสียงอะไร พอมองเห็นต้นไทรก็นึกได้โดยถ่องแท้ว่า เป็นต้นไทรที่ท้ายจงกรมของพระดาบส เกิดสงสัยว่า ตนจะเป็นผู้ทำอกุศลหรือไม่หนอ คิดแล้วจึงแปลงเพศเป็นมาณพน้อยไปยังสำนักพระดาบส ขณะนั้น พระดาบสกำลังปราบที่ให้ราบอยู่ มาณพน้อยจึงถามว่า "ที่เดิมตรงนี้เป็นอะไร ?" ดาบสจึงเล่าให้ฟังตามความจริง มาณพจึงถามว่า "อกุศลกรรมจะมีแก่แก่พญาครุฑหรือไม่ ?"
"อกุศลกรรมไม่มี เพราะไม่มีเจตนา" ดาบสตอบ
"อกุศลกรรมก็คงมีแก่พญานาคตัว้น ?" พญาครุฑถาม
"นาคตัวนั้นจับต้นไทรมิใช่เพื่อจะทำลาย แต่เพื่อจะให้พ้นภัย ฉะนั้น อกุศลกรรมก็ไม่มีแก่นาคเหมือนกัน" ดาบสตอบ
มาณพน้อยได้ฟังพระดาบสกล่าาวดังนั้นก็ยินดี จึงกล่าวว่า "ข้าพเจ้านี้แหละคือพญาครุฑนั้น ข้าพเจ้ายินดีในการแก้ปัญหาของท่าน ข้าพเจ้าจะถวายมนต์บทหนึ่ง ชื่อ "อาลัมพายน์" เป็นมนต์หาค่ามิได้" พระดาบสกล่าวว่า "ช่างเถอะ เราไม่ต้องการมนต์เลย ท่านจงไปเถอะ" แต่พญาครุฑก็วิงวอนถวายมนต์ให้พระดาบสรับไว้จนได้
ยังมีพราหมณ์คนหนึ่งอยู่ในเมืองพาราณสี หยิบยืมหนี้สินเขาไว้มากมาย ครั้นเจ้าหนี้ทวงถามมากเข้าก็คิดไปว่า "เราจะอยู่เมืองนี้อีกทำไม เข้าไปตายเสียในป่าจะดีกว่า" คิดแล้วก็ออกจากบ้านไป เข้าไปในป่าจนบรรลุถึงอาศรมพระดาบส จึงเลยอยู่ปฏิบัติพระดาบส จนพระดาบสพอใจคิดว่าพราหมณ์ผู้ี้มีอุปการะแก่เรามาก เราจะให้มนต์ที่พญาครุฑให้ไว้แก่พราหมณ์นี้ แล้วก็ให้พราหมณ์เรียนมนต์ ชื่อ "อาลัมพายน์" นั้น ทำให้พราหมณ์มองเห็นอุบายที่จะเลี้ยงชีพต่อไป และคิดที่จะลาพระดาบสไปเสีย ต่อมาอีกสักเล็กน้อยก็อ้างเหตุผลลาพระดาบสไป เมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็เดินออกจากป่าไปจนถึงฝั่งแม่น้ำยมุนา เดินสาธยายมนต์นั้นไปตามทาง
ขณะนั้น นางนาคมาณวิกาบริวารของพระภูรทัตพากันถือเอาดวงแก้ววิเศษออกจากนาคพิภพมา แล้ววางแก้วไว้บนกองทรายริมฝั่งแม่น้ำ พากันลงเล่นน้ำตลอดคืน ครั้นรุ่งอรุณก็ขึ้นจากน้ำมานั่งล้อมแก้วมณีนั้น เพื่อให้แสงแก้วเข้าสู่กาย พอพราหมณ์เดินสาธยายมนต์มาถึง นางนาคมาณวิกาได้ยินเสียงมนต์ก็นึกว่า พราหมณ์นั้นเป็นพญาครุฑ ตกใจกลัวความตาย รีบแทรกแผ่นดินหนีไปยังนาคพิภพ ลืมหยิบแก้วมณีนั้นไปด้วย พราหมณ์เห็นแก้วมณีก็ดีใจหยิบเอาไป
ฝ่ายพราหมณ์เนสาทกับโสมทัตซึ่งกำลังออกล่าเนื้ออยู่ในป่า เห็นพราหมณ์ผู้นั้นถือแก้วมณีเดินมา จึงพูดกับบุตรว่า "แก้วดวงนี้เป็นดวงที่พระภูริทัตให้เรามิใช่หรือ ?" บุตรว่า "ใช่แล้วพ่อ" "ถ้าอย่างนั้นเราจะหลอกเอาเสีย" บุตรจึงพูดว่า "เวลาพระภูริทัตให้ก็ไมรับ เดี๋ยวนี้กลับจะหลอกพราหมณ์เอาเสียอีกเล่า อย่าเลยพ่อ" พราหมณ์จึงว่า "ช่างเถอะ คอยดูพ่อจะหลอกพราหมณ์คนนี้เอาแก้วมณีเสีย" แล้วก็เข้าไปพูดกับพราหมณ์นั้นว่า "แก้วมณีมีสิริมงคล ทำให้เกิดความรื่นรมย์ใจ ที่ท่านถืออยู่นี่ เดิมเป็นของใคร ?"
"เดิมเป็นของพวกผู้หญิงตาแดงนั่งล้อมกันอยู่ เราเดินมาก็พอดีได้ในวันนี้เอง" พราหมณ์ตอบ
พราหมณ์เนสาท "แก้วนี้ ถ้าเคารพ บูชา ประดับและเก็บรักษาดีก็จะให้คุณ ถ้ารักษาไม่ดีก็จะมีแต่ความพินาศ ผู้ไม่ฉลาดไม่ควรมีไว้ เราจะให้ทองแก่ท่านร้อยแท่ง ท่านจงให้แก้วนี้แก่เราเถิด"
พราหมณ์ "ของดีมีค่าอย่างนี้ ไม่ควรแลกเปลี่ยนกันด้วยทรัพย์สินใด ๆ ทั้งนั้น เราไม่ขายให้"
พราหมณ์เนสาท "ถ้าเช่นนั้น ท่านต้องการอะไรเล่า ?"
พราหมณ์ "เราต้องการจะรู้ที่อยู่ของพญานาคผู้มีฤทธิ์มากกว่านาคใด ๆ ใครบอกแก่เราได้ เราจะให้แก่ผู้นั้น"
พราหมณ์เนสาท "อ้อ นี่ท่านเป็นพญาครุฑเที่ยวแสวงหานาคเป็นภักษาหารของตนหรือ ?"
"เปล่าเลย เรามิได้เป็นครุฑ และไม่เคยเป็นครุฑ แต่เราเป็นหมองูสนใจพิษงู" พราหมณ์ตอบ
"เราขอถามท่านหน่อยเถอะ ท่านมีกำลังเพียงไร มีศิลปศาสตร์อะไรหรือมีคุณวิเศษอันใด จึงไม่กลัวเกรงนาค ?" พราหมณ์เนสาทถาม
"เรามีคุณวิเศษจากมนต์ชื่อ 'อาลัมพายน์' ซึ่งได้เรียนมาจากพระดาบส ชื่อ โกสียโคตร เราเป็นอาจารย์ที่สามารถฆ่าสัตว์มีพิษร้ายไดด้วยมนต์นี้" พราหมณ์ตอบ
พราหมณ์เนสาทเห็นทางจะได้แก้ว จึงปรึกษากับบุตรว่า "เราเอาแก้วนี้สิโสมทัต เมื่อมีโอกาสแล้วไม่ควรจะปล่อยให้หลุดมือไป" แต่ลูกคัดค้านว่า "พ่อจ๋า เราไปถึงที่อยู่ของพระภูริทัต และเราก็บูชาท่าน ทำไมพ่อจึงคิดประทุษร้ายต่อผู้มีความดีแก่เราด้วยความหลงอย่างนี้ ถ้าพ่ออยากได้ทรัพย์สมบัติอันใด ก็ไปหาท่านสิ ท่านคงจะให้และจะให้มาก ๆ ด้วย"
"เจ้าโสมทัต เจ้าอย่ามารู้ดีไปกว่าพ่อ เราควรกินของสุกซึ่งมีอยู่ในภาชนะที่ถึงมือเรา อยาปล่อยให้ประโยชน์ที่เห็นประจักษ์ตาล่วงพ้นผ่านไปเสียเลย" พราหมณ์เนสาทบอกลูก
.........................................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น