วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต ตอน พญาครุฑ (หน้า ๓)


พญาครุฑ  (ต่อ)

พระภูริทัตคิดว่า  "เอาละ  วันนี้เราเล่นให้ชาวบ้านมีความรื่นเริงสนุกสนาน  เมื่ออาลัมพายน์ได้ทรัพย์มากก็คงจะปล่อยเราไป  ตาแกจะให้เราทำอะไรอย่างไร  ก็จะทำตามทุกอย่าง"  พระภูริทัตคิดดังนั้นแล้วจึงออกจากกระโปรง  เมื่ออาลัมพายน์บอกว่าใหญ่  ก็ทำตัวให้ใหญ่  บอกให้เล็ก  ให้ขด ให้คลาย  ให้แผ่พังพาน  ให้สูง  ให้ต่ำ   ให้ทำสีเขียว  สีเหลืองหรือแดง  ขาว  ให้พ่นเปลวไฟ  พ่นน้ำ  พ่นควัน  แล้วแต่
อาลัมพายน์จะบอกอย่างไร  ก็ทำอย่างนั้นทุกอย่าง  ชาวบ้านที่มาดูเห็นแล้วก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้  จึงให้เงินทอง  เครื่องประดับ  แพรพรรณต่าง ๆ  รวมราคาได้มากมาย  แต่แทนที่อาลัมพายน์จะปล่อยกลับคิดด้วยความโลภต่อไปอีก  "เพียงในหมู่บ้านเล็ก ๆ  นี้  เรายังได้ทรัพย์มากมายถึงเพียงนี้  ถ้าไปในนครใหญ่ ๆ  เราก็จะได้ยิ่งกว่านี้"  อาลัมพายน์มีความโลภจึงมิได้ปล่อยพระภูริทัต  เที่ยวนำออกแสดงในที่ต่าง ๆ  จนได้ก่อร่างสร้างตัวมีเงินทองขึ้น  ยังไม่พอ  อาลัมพายน์คิดการใหญ่ต่อไป  ให้ช่างทำกระโปรงแก้วใส่พระภูริทัต  ตนเองก็ขี่ยานเล็ก ๆ  อย่างสบาย  พาบริวารออกจากบ้าน  ให้พระภูริทัตเล่นไปตามบ้านและนิคมต่าง ๆ  จนบรรลุถึงนครพาราณสี  อาลัมพายนไม่จัดข้าวตอกกับน้ำผึ้งให้พญานาคกิน  ฆ่าแต่กบให้กิน  พระภูริทัตก็มิได้กิน  อาลัมพายน์ให้พระภูริทัตแสดงอยู่ตามหมู่บ้านใกล้ประตูเมืองทั้งสี่ด้านจนสิ้นเวลาไปเดือนหนึ่ง  ครั้นถึงวันอุโบสถ  ๑๕  ค่ำ  อาลัมพายน์จึงกราบทูลพระเจ้าพาราณสีว่า  จะให้นาคราชเล่นถวาย  พระเจ้าพาราณสีจึงประกาศให้มหาชนดู  มหาชนพากันจัดม้านั่งลดหลั่นกันเป็นชั้น ๆ  ขึ้นที่หน้าพระลาน

ย้อนกล่าวถึงวันที่อาลัมพายน์จับพระภูริทัตไปนั้น  นางสมุททชาพระมารดาพระภูริทัตฝันไปว่า  "ชายผิวดำ  ตาแดง  เอาดาบตัดแขนขวาของนางขาด  แล้วนำไป   มีเลือดหยดตลอดทาง"  นางสะดุ้งตกใจกลัว  ลุกขึ้นคลำแขนขวาของนาง  จึงรู้ว่าเป็นความฝัน  นางเฝ้าแต่ตรึกตรองอยู่ว่า  ความฝันนี้ร้ายมาก  อาจเป็นอันตรายแก่ลูกทั้ง  ๔  ก็เป็นได้  นางคิดถึงพระภูริทัตยิงกว่าผู้อื่น  เพราะว่าผู้อื่นยังอยู่ในนาคพิภพทั้งนั้น  แต่พระภูริทัตไปทำอุโบสถอยู่ในโลกมนุษย์  หมองูหรือครุฑอาจจับเอาไปเสียกระมัง  พอล่วงไปประมาณหนึ่งเดือน  นางก็ยิ่งเศร้าใจยิ่งหนักขึ้น  คิดว่า  บุตรของเราไม่เคยหายหน้าไปเกินหนึ่งเดือนเลย  บุตรของเราอาจได้รับอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งแน่  นางเฝ้าแต่เรำพึงอยู่อยางนี้จนแทบหัวใจจะวาย  เพราะความเหือดแห้ง  ตาทั้งสองก็ฟกบวมเบ่งขึ้นมา  นางเฝ้ามองดูทางที่พระภูริทัตเคยมา  นึกคำนึงอยู่แต่ว่าบุตรกำลังมาแล้ว

ฝ่ายสุทัศนืบุตรคนใหญ่  เมื่อถึงกำหนดเดือนหนึ่งก็พาบริษัทไปเยี่ยมพระมารดา  แต่นางสมุททชาก็มิได้ปราศรัยด้วย  สุทัศน์สงสัยยิ่งพระพักตร์ของพระมารดาฟกช้ำไม่ผ่องใสก็ยิ่งแน่ใจว่า  ต้องมีใครมาทำให้มารดาโกรธเป็นแน่  หรือมิฉะนั้นก็คงเกิดอันตรายอันใดขึ้น  จึงทูลถามพระมารดา  นางสมุททชาจึงเล่าให้บุตรฟังตั้งแต่ต้นจนจบแล้วชวนว่า  "เราไปยังที่อยู่ของภูริทัตกันเดี๋ยวนี้เถอะ  จะได้ดูน้องของเจ้าว่าเป็นอย่างไรไป"

ฝ่ายนางนาคมาณวิกาที่ไปปฏิบัติพระภูริทัตทุก ๆ  เช้านั้น  เมื่อไม่เห็นพระภูริทัตที่จอมปลวก  ก็เข้าใจว่า  พระภูริทัตคงจะไปอยู่กับพระมารดา  เมื่อพระมารดาพาบริวารมาตามพระภูริทัตถึงนิเวศน์เช่นนั้น  จึงรู้ว่า  แม้พระมารดาก็ไม่ได้พบพระภูริทัตเช่นกัน  จึงออกไปต้อนรับและกราบทูลให้ทราบ  แล้วก็คร่ำครวญรำพันอยู่แทบเท้านางสมุททชา

นางสมุททชาพร้อมด้วยสะใภ้ทั้งหลาย  ต่างร้องไห้เดินรำพันพากันขึ้นไปบนปราสาทของพระภูริทัต  แลดูเห็นที่นั่ง ที่นอนว่างเปล่า  ทันใดนั้นนิเวศน์ของพระภูริทัตก็แซ่เสียงโศกศัลย์ปานคลื่นในมหาสมุทร  แม้สักตนหนึ่งก็ไม่มีใครทรงกายอยู่ได้  ทั่วทั้งนิเวศน์เป็นเหมือนป่าไม้รังถูกลมพายุล้มระเนระนาดลงฉันนั้น

ฝ่ายพี่น้องอีก  ๒  คน  คือ  อริฏฐะและสุโภคะก็พากันเฝ้าพระชนกชนนีได้ยินเสียงสนั่นไปดังนั้น  จึงเข้าไปในนิเวศน์พระภูริทัตเพื่อช่วยกันปลอบพระมารดา  แต่พระมารดากลับกล่าวว่า  ถ้าพระนางไม่ได้พบภูริทัตคืนวันนี้แล้ว  ก็ไม่แน่นักว่าจะมีชีวิตอยู่อีกได้หรือไม่  บุตรทั้ง  ๓  จึงกล่าวรับรองว่า  "พระมารดาอย่าเศร้าโศกเลย  ลูกทั้ง  ๓  จะเที่ยวสืบเสาะหาพระภูริทัตมาภายใน  ๗  วันนี้"

บุตรทั้ง  ๓  จึงได้แยกกันไปค้นหา  ตกลงกันว่า  ผู้หนึ่งไปเทวโลก  ผู้หนึงไปป่าหิมพานต์  อีกผู้หนึงไปมนุษยโลก  สำหรับอริฏฐะนั้นเป็นผู้หยาบช้ากล้าแข็ง  ถ้าจะให้ไปมนุษยโลก  หากได้พบพระภูริทัตที่บ้านหรือเมืองดเข้าก็จัดเผาบ้านหรือเมืองนั้นให้พินาศไป  จึงให้ไปยังเทวโลก  ให้สุโภคะไปยังป่าพิมพานต์  ส่วนสุทัศน์เองจะไปมนุษยดลก  จึงแปลงเพศเป็นดาบส  เพราะเพศดาบสบรรพชิตย่อมเป็นที่รักใคร่เจริญใจของมนุษย์

ยังมีนางนาคน้องสาวต่างมารดากันกับพระภูริทัตตนหนึง  ชื่อ นางจิมุชี  นางนี้รักพระภูริทัตมาก  ขออาสาติดตามสุทัศน์ไปตามหาพี่ชายในมนุษยโลกด้วย  โดยแปลงเพศเป็นเขียดนอนไปในชฏาของสุทัศน์

สุทัศน์ได้ออกติดตามตรวจตราไปจนถึงที่พระภูริทัตรักษาอุโบสถ  แลเห็นเลือดและเถาวัลย์อยู่บนจอมปลวก  ก็รู้ได้ว่า  พระภูริทัตถูกหมองูจับไปแล้ว  สงสารน้องชายจนน้ำตาไหล  แล้วก็เดินสะกดตามรอยไปจนถึงที่อาลัมพายน์ให้พระภูริทัตแสดงครั้งแรก  เที่ยวถามชาวบ้านดูว่า  เห็นหมองูเอานาคมีลักษณะอย่างนี้มาเล่นในบ้านนี้บ้างหรือไม่ ?  ชาวบ้านก็บอกให้ฟังโดยลำดับ  สุทัศน์ก็ติดตามเรื่อยไปจนถึงประตูพระราชฐานในวันที่จะมีการแสดงของนาคให้พระเจ้าพาราณสีและประชาชนชมพอดี


..............................





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น