พญาครุฑ (ต่อ)
"พระพรหมมิใช่เป็นผู้สร้างโลก มิใช่ต้นตระกูลของพราหมณ์ เป็นแต่เพียงสิ่งที่พวกพราหมณ์อ้างขึ้น สมมติว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างโลกจริง ทำไมไม่จัดโลกทั้งหมดให้ดี ทำไมไม่ทำโลกทั้งหมดให้มีแต่ความสุข ทำไมจึงจัดโลกโดยไม่เป็นธรรม ทำไมจึงแบ่งคนเป็นชั้นวรรณะ เป็นพราหมณ์ เป็นกษัตริย์ เป็นแพทย์ และเป็นศูทย์ ถ้าพระพรหมสร้างคนไว้จริง กษัตริย์ก็คงเป็นกษัตริย์เสมอ แต่คนที่ไม่ใช่กษัตริย์จะไม่มีโอกาสได้ราชสมบัติเลย พราหมณ์ก็คงเป็นพวกเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสศึกษาพระเวท คนที่ไม่ใช่พราหมณ์จะไม่มีโอกาสเลย พวกแพศย์ก็คงเป็นพวกเดียวเท่านั้นที่จะต้องทำการค้าขายไถนา พวกอื่นจะไม่มีโอกาสเลย และพวกศูทย์ก็ไม่มีโอกาสเลยที่จะเป็นอย่างอื่นได้ อย่างนี้ก็นับว่าพระพรหมไม่มีความเป็นธรรม แต่ความจริงที่ปรากฏอยู่ในโลกทุกวันนี้ คนเราจะดีหรือชั่วอยู่ที่การกระทำของตนเอง คนเราจะบริสุทธิ์หรือเศร้าหมองก็เพราะตนเองเป็นผู้ทำขึ้น ชีวิตคนย่อมผันแปรไปตามผลกรรมที่ตนกระทำเองทั้งสิ้น เพราะคนไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีโอกาสจะได้ลาภ เกียรติยศ ความไมตรี และความสุข แต่คนที่มีความขยันย่อมหาทรัพย์ได้ คนที่ทำแต่ความดีก็มีเกียรติยศชื่อเสียง คนที่สร้างมิตรไมตรีก็ย่อมมีความไมตรีกับคนทั่วไป และคนที่ทำกุศลก็ประสบแต่ความสุขสงบ พระพรหมมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย เพราะฉะนั้น พระพรหมจึงไม่ใช่ผู้สร้างโลก แต่เป็นชื่อที่พวกพราหมณ์อ้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ถ้าจะให้พระพรหมเป็นผู้สร้าง ก็เป็นผู้สร้างที่ไม่มีควาเป็นธรรม ไม่ควรแก่การ
เคารพบูชา
"อนึ่ง การบูชาไฟ คือ การเอาสิ่งที่ชีวิตหรือของมีค่ามาเผาไฟ เพื่อเป็นการบำเรอหรือปรนเปรอไฟ มิใช่การปฏิบัติที่ชอบด้วยเหตุผล เพราะไฟไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอะไร ย่อมเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่รู้ว่าสิ่งใดดีหรือชั่ว และสิ่งใดมีค่าหรือไร้ค่า ถ้าการบูชาไฟมีบุญกุศลจริง คนเผาป่า เผาถ่าน เผาศพ และเผาบ้านเมือง ก็เป็นคนทำบุญกันทั้งนั้น และพวกพราหมณ์ก็คงจะเผาตัวเองได้เพื่อเอาบุญ โดยไม่ต้องชัดชวนคนอื่นเลย แต่พราหมณ์ไม่ยอมเผาตัวเอง พวกของตัวเอง และบ้านเมืองของตนเอง ได้แต่ชักชวนพวกอื่นฝ่ายเดียว ซึ่งชักชวนได้แต่คนโง่ คนมีปัญญาหาเชื่อตามคำอ้างที่หลอกลวงของพราหมณ์ไม่ ถ้าการบูชาไฟจะให้ผลเป็นทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทองในโลกหน้าจริง พวกพราหมณ์ก็คงจะไม่ชักชวนให้พวกอื่นมามีส่วนในทรัพย์สมบัติที่จะได้เป็นแน่ และไฟจะสร้างสรรค์ให้ได้อย่างไร จึงจะเพียงพอแก่ความโลภของพวกพราหมณ์
เมื่อพระภูริทัตแสดงจบ นาคบริษัททั้งปวงพากันชื่นชมโสมนัสในธรรมกถาของพระภูริทัต ครั้นแล้วก็รับสั่งให้นำพราหมณ์เนสาทไปเสียจากนาคพิภพ ไม่ให้ทำโทษแต่อย่างไร
ย้อนกล่าวถึงพระเจ้าพาราณสีได้นัดหมายไว้ว่า จะไปเยี่ยมพระราชบิดา พอถึงเวลากำหนดนัด จึงได้เสด็จไปเฝ้าพระราชบิดาพร้อมจตุรงคเสนา ส่วนพระภูริทัตก็ให้ตีกลองร้องประกาศว่า "เราจะไปเยี่ยมสมเด็จพระเจ้าลุงและพระเจ้าตาของเรา" แล้วเสด็จขึ้นจากแม่น้ำยมุนามุ่งไปยังอาศรมสถานนั้น พี่น้องนอกนั้นกับชนกชนนีก็เสด็จตามไปเบื้องหลัง
ขณะนั้น พระเจ้าพาราณสีทอดพระเนตรเห็นพระภูริทัตออกมา พร้อมด้วยนาคบริษัทเป็นอันมากเช่นนั้น ทรงจำไม่ได้ จึงทูลถามพระราชบิดาว่า "ท่านผู้นี้เป็นใคร ?"
"ผู้ที่มาเหล่านั้นเป็นนาคผู้มีฤทธิยศ เป็นลูกแห่งท้าวธตรฐกับนางสมุททชา ล้วนแต่เป็นผู้มีฤทธิ์มากทั้งนั้น" พระราชฤษีผู้บิดาตอบ
เมื่อขบวนนาคบริษัทมาถึง จึงถวายความเคารพแทบบาทพระราชฤษี ส่วนนางสมิททชาก็ถวายบังคมพระราชบิดาและพระเชษฐา แล้วก็ปริเทวนาการกรรแสงไห้ ครั้นถึงเวลาอันสมควรก็ถวายบังคมลาพระราชบิดากลับยังนาคพิภพ
ฝ่ายพระเจ้าพาราณสีประทับ ณ ที่นั้น ๒ - ๓ วัน จึงถวายบังคมลากลับพระนคร ส่วนนางสมุททชาเทวีก็สิ้นชีพอยู่ในนาคพิภพนั้น
ฝ่ายพระโพธิสัตว์รักษาศีลอยู่ตลอดชีวิต ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็ไปในทางสวรรค์พร้อมด้วยนาคบริษัท
เรื่องนี้เก็บความจากภูริทัตชาดก คติธรรมที่ได้จากเรื่องนี้ คือ
ความอดทน
การทำความเห็นผิดให้ถูก
ความรักระหว่างครอบครัว
...............................
คัดจาก....หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก สนธิรักษ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น