วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต ตอน พญาครุฑ (หน้า ๖)


พญาครุฑ  (ต่อ)  

"พระพรหมมิใช่เป็นผู้สร้างโลก  มิใช่ต้นตระกูลของพราหมณ์  เป็นแต่เพียงสิ่งที่พวกพราหมณ์อ้างขึ้น  สมมติว่า  พระพรหมเป็นผู้สร้างโลกจริง  ทำไมไม่จัดโลกทั้งหมดให้ดี  ทำไมไม่ทำโลกทั้งหมดให้มีแต่ความสุข  ทำไมจึงจัดโลกโดยไม่เป็นธรรม  ทำไมจึงแบ่งคนเป็นชั้นวรรณะ  เป็นพราหมณ์  เป็นกษัตริย์  เป็นแพทย์  และเป็นศูทย์  ถ้าพระพรหมสร้างคนไว้จริง  กษัตริย์ก็คงเป็นกษัตริย์เสมอ  แต่คนที่ไม่ใช่กษัตริย์จะไม่มีโอกาสได้ราชสมบัติเลย  พราหมณ์ก็คงเป็นพวกเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสศึกษาพระเวท  คนที่ไม่ใช่พราหมณ์จะไม่มีโอกาสเลย  พวกแพศย์ก็คงเป็นพวกเดียวเท่านั้นที่จะต้องทำการค้าขายไถนา  พวกอื่นจะไม่มีโอกาสเลย  และพวกศูทย์ก็ไม่มีโอกาสเลยที่จะเป็นอย่างอื่นได้  อย่างนี้ก็นับว่าพระพรหมไม่มีความเป็นธรรม  แต่ความจริงที่ปรากฏอยู่ในโลกทุกวันนี้  คนเราจะดีหรือชั่วอยู่ที่การกระทำของตนเอง  คนเราจะบริสุทธิ์หรือเศร้าหมองก็เพราะตนเองเป็นผู้ทำขึ้น  ชีวิตคนย่อมผันแปรไปตามผลกรรมที่ตนกระทำเองทั้งสิ้น  เพราะคนไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีโอกาสจะได้ลาภ  เกียรติยศ  ความไมตรี  และความสุข  แต่คนที่มีความขยันย่อมหาทรัพย์ได้  คนที่ทำแต่ความดีก็มีเกียรติยศชื่อเสียง คนที่สร้างมิตรไมตรีก็ย่อมมีความไมตรีกับคนทั่วไป  และคนที่ทำกุศลก็ประสบแต่ความสุขสงบ  พระพรหมมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย  เพราะฉะนั้น  พระพรหมจึงไม่ใช่ผู้สร้างโลก  แต่เป็นชื่อที่พวกพราหมณ์อ้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง  ถ้าจะให้พระพรหมเป็นผู้สร้าง  ก็เป็นผู้สร้างที่ไม่มีควาเป็นธรรม  ไม่ควรแก่การ
เคารพบูชา

"อนึ่ง  การบูชาไฟ  คือ  การเอาสิ่งที่ชีวิตหรือของมีค่ามาเผาไฟ  เพื่อเป็นการบำเรอหรือปรนเปรอไฟ  มิใช่การปฏิบัติที่ชอบด้วยเหตุผล  เพราะไฟไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอะไร  ย่อมเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่รู้ว่าสิ่งใดดีหรือชั่ว  และสิ่งใดมีค่าหรือไร้ค่า ถ้าการบูชาไฟมีบุญกุศลจริง  คนเผาป่า  เผาถ่าน  เผาศพ  และเผาบ้านเมือง  ก็เป็นคนทำบุญกันทั้งนั้น  และพวกพราหมณ์ก็คงจะเผาตัวเองได้เพื่อเอาบุญ  โดยไม่ต้องชัดชวนคนอื่นเลย  แต่พราหมณ์ไม่ยอมเผาตัวเอง  พวกของตัวเอง  และบ้านเมืองของตนเอง  ได้แต่ชักชวนพวกอื่นฝ่ายเดียว  ซึ่งชักชวนได้แต่คนโง่  คนมีปัญญาหาเชื่อตามคำอ้างที่หลอกลวงของพราหมณ์ไม่  ถ้าการบูชาไฟจะให้ผลเป็นทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทองในโลกหน้าจริง  พวกพราหมณ์ก็คงจะไม่ชักชวนให้พวกอื่นมามีส่วนในทรัพย์สมบัติที่จะได้เป็นแน่  และไฟจะสร้างสรรค์ให้ได้อย่างไร  จึงจะเพียงพอแก่ความโลภของพวกพราหมณ์

เมื่อพระภูริทัตแสดงจบ  นาคบริษัททั้งปวงพากันชื่นชมโสมนัสในธรรมกถาของพระภูริทัต  ครั้นแล้วก็รับสั่งให้นำพราหมณ์เนสาทไปเสียจากนาคพิภพ  ไม่ให้ทำโทษแต่อย่างไร

ย้อนกล่าวถึงพระเจ้าพาราณสีได้นัดหมายไว้ว่า  จะไปเยี่ยมพระราชบิดา  พอถึงเวลากำหนดนัด  จึงได้เสด็จไปเฝ้าพระราชบิดาพร้อมจตุรงคเสนา  ส่วนพระภูริทัตก็ให้ตีกลองร้องประกาศว่า  "เราจะไปเยี่ยมสมเด็จพระเจ้าลุงและพระเจ้าตาของเรา"  แล้วเสด็จขึ้นจากแม่น้ำยมุนามุ่งไปยังอาศรมสถานนั้น  พี่น้องนอกนั้นกับชนกชนนีก็เสด็จตามไปเบื้องหลัง

ขณะนั้น  พระเจ้าพาราณสีทอดพระเนตรเห็นพระภูริทัตออกมา  พร้อมด้วยนาคบริษัทเป็นอันมากเช่นนั้น  ทรงจำไม่ได้  จึงทูลถามพระราชบิดาว่า  "ท่านผู้นี้เป็นใคร ?"

"ผู้ที่มาเหล่านั้นเป็นนาคผู้มีฤทธิยศ  เป็นลูกแห่งท้าวธตรฐกับนางสมุททชา  ล้วนแต่เป็นผู้มีฤทธิ์มากทั้งนั้น"  พระราชฤษีผู้บิดาตอบ
 
เมื่อขบวนนาคบริษัทมาถึง  จึงถวายความเคารพแทบบาทพระราชฤษี  ส่วนนางสมิททชาก็ถวายบังคมพระราชบิดาและพระเชษฐา  แล้วก็ปริเทวนาการกรรแสงไห้  ครั้นถึงเวลาอันสมควรก็ถวายบังคมลาพระราชบิดากลับยังนาคพิภพ
 
ฝ่ายพระเจ้าพาราณสีประทับ  ณ  ที่นั้น  ๒ - ๓ วัน  จึงถวายบังคมลากลับพระนคร  ส่วนนางสมุททชาเทวีก็สิ้นชีพอยู่ในนาคพิภพนั้น

ฝ่ายพระโพธิสัตว์รักษาศีลอยู่ตลอดชีวิต  ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว  ก็ไปในทางสวรรค์พร้อมด้วยนาคบริษัท

เรื่องนี้เก็บความจากภูริทัตชาดก  คติธรรมที่ได้จากเรื่องนี้  คือ  
ความอดทน  
การทำความเห็นผิดให้ถูก
ความรักระหว่างครอบครัว


...............................


คัดจาก....หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์
 
 
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น