วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๔ พระเนมิราช (หน้า ๒)

นักพรตได้ไปที่บ้านของปุโรหิต  ปุโรหิตจัดอาหารถวายเสร็จแล้ว  เรียนให้ทราบว่า  "บัดนี้ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ข้าพเจ้าบวชได้แล้ว  ข้าพเจ้าควรจะปฏิบัติอย่างไร ?"

นักพรตจึงพูดว่า  "มาเถิด  ไปกับอาตมา"  แล้วพาปุโรหิตไปถึงสำนักของท่าน  จัดการบวชให้  เมื่อปุโรหิตบวชแล้วไม่นานก็ได้สำเร็จอภิญญาสมาบัติ

นักพรตปุโรหิตนึกถึงเมื่อวันที่ตนไปกราบทูลลาพระราชาเพื่อขอบวช  พระราชาทรงอนุญาตและมีพระดำรัสว่า   เมื่อบวชแล้วให้ไปเฝ้าพระองค์บ้าง  นักพรตปุโรหิตตกลงจะไปเฝ้าพระราชา  จึงเข้าไปลานักพรตอื่น ๆ  แล้วเหาะไปเมืองพาราณสี  ออกเที่ยวบิณฑบาต  จนถึงประตูพระราชวัง

พระเจ้าพาราณสีทอดพระเนตรเห็นนักพรตปุโรหิต  ก็ทรงจำได้  นิมนต์ให้เข้าไปภายในพระราชวัง  ทรงถวายอาหารแก่นักพรตปุโรหิต  มีพระดำรัสถามว่า  "พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่ไหน ?"

นักพรตปุโรหิตทูลว่า  "อาตมาอยู่บนฝั่งแม่น้ำสีทา  ระหว่างภูเขาทองทั้งคู่"

พระราชา  "พระผู้เป็นเจ้าอยู่รูปเดียวหรือหลายรูป ?"

นักพรตปุโรหิต  "อาตมาอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนหมื่นรูป  ท่านเหล่านั้นล้วนสำเร็จอภิญญาสมาบัติ"

พระราชาได้สดับดังนั้นก็นึกเลื่อมใส  ใคร่จะได้ถวายอาหารบิณฑบาตแก่นักพรตทั้งหมื่นรูป  จึงตรัสกะนักพรตปุโรหิตว่า  "ข้าพเจ้าใคร่จะถวายอาหารแก่นักพรตเหล่านั้น  ขอให้พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้นำนักพรตเหล่านั้นมาฉันในพระราชวังนี้"

นักพรตปุโรหิตทูลว่า  "นักพรตเหล่านั้นท่านไม่ยินดีในรสอาหาร  อาตมาไม่อาจนำท่านมาที่นี้ได้"

พระราชา  "ข้าพเจ้ามีความปรารถนาแรงกล้าที่จะถวายอาหารแก่นักพรตเหล่านั้น  ขอมอบให้พระผู้เป็นเจ้าคิดหาอุบายที่จะจัดอาหารถวายนักพรตเหล่านั้นให้ได้ด้วย"

นักพรตปุโรหิตทูลว่า  "ถ้าทรงพระประสงค์จะบริจาคไทยธรรม  แก่นักพรตเหล่านั้นให้ได้แล้ว  ขอเชิญพระองค์เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระนคร  ไปค้างแรมที่บนฝั่งแม่น้ำสีทา  แล้วก็จะทรงได้โอกาสถวายไทยธรรมแก่นักพรตเหล่านั้น

พระราชาทรงรับคำ  โปรดให้เตรียมเครื่องไทยธรรมให้เพียงพอที่จะถวายนักพรตหมื่นรูป  เสร็จแล้วเสด็จออกจากพระนครพาราณสีพร้อมด้วยจาตุรงคเสนา  เสด็จถึงชายแดน  นักพรตปุโรหิตจึงกราบทูลให้พระราชาเสด็จเลียบไปตามฝั่งแม่น้ำสีทา  แล้วให้ตั้งค่ายริมฝั่งแม่น้ำสีทา  ทูลเตือนพระราชาว่า  "อย่าได้ทรงประมาท"  แล้วก็เหาะไปสำนักของตน

รุ่งขึ้นนักพรตปุโรหิตกลับมาเฝ้าพระราชา  พระราชาจัดอาหารถวายแล้วตรัสว่า  "พรุ่งนี้  ขอพระผู้เป็นเจ้าพานักพรตหมื่นรูปมาฉัน  ณ  ที่นี้เถิด"

นักพรตปุโรหิตรับพระราชดำรัสแล้วก็กลับไป  รุ่งขึ้นได้แจ้งแก่นักพรตเหล่านั้นว่า  "พระราชาพาราณสีทรงประสงค์จะถวายไทยธรรมแก่พระคุณเจ้าทั้งหลาย  ได้เสด็จมาประทับแรมอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสีทานี้  พระองค์ขอให้ข้าพเจ้านิมนต์ท่านทั้งหลาย  ขอให้ท่านทั้งหลายจงไปรับไทยธรรมเพื่ออนุเคราะห์พระองค์เถิด"

นักพรตทั้งหมดรับคำ  เหาะมาลงใกล้ค่ายประทับ  พระราชาทรงพระปราโมทย์เป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นบรรดานักพรตมากันพร้อมเพรียง  จึงเสด็จไปต้อนรับ  แล้วอาราธนาให้เข้าค่ายหลวง  ให้นักพรตนั่งบนอาสนะที่ได้จัดไว้  ทรงถวายอาหารประณีตด้วยพระองค์เอง  ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถของนักพรตเหล่านั้น  ในวันรุ่งขึ้นก็ทรงจัดถวายอีก

ท้าวสักกเทวราช  ตรัสเล่าเรื่องถวายจบแล้ว  ก็ทูลพระเนมิราชว่า  "พระเจ้ากรุงพาราณสีในครั้งนั้นมิใช่ผู้อื่น  คือ  หม่อมฉันนี้เอง  หม่อมฉันถวายทานครั้งยิ่งใหญ่ก็เพียงเกิดในเทวโลกเท่านั้น  ส่วนนักพรตที่ได้รับบริจาคทานจากหม่อมฉันได้ไปบังเกิดในพรหมโลกสิ้น  ที่หม่อมฉันทูลพระองค์มาเพียงนี้  ก็พอเห็นได้แล้วว่า พรหมจรรย์ประเสริฐกว่าทานเป็นแน่"   แล้วเสริมท้ายว่า  "ข้าแต่เนมิราช  ถึงแม้ว่าพรหมจรรย์ประเสริฐกว่าทาน  แต่ก็อย่าได้ทรงประมาทละเลยทานเสีย  เพราะธรรมทั้งสองคู่กัน  คือ  บริจาคทาน  รักษาศีล"  เมื่อตรัสเสร็จก็เสด็จกลับเทวสถาน

บรรดาเทพเจ้าเมื่อได้ทราบว่า  ท้าวสักกเทวราชไปแก้ปัญหาให้แก่เนมิราชอาจารย์ของตน  กลับมาสู่เทวสถานแล้ว  จึงพากันไปเฝ้าท้าวสักกเทวราชทูลว่า  "ข้าแต่มหาเทวราชเจ้า  พระเจ้าเนมิบรมกษัตริย์ เป็นพระอาจารย์ของพวกข้าพระบาท  ข้าพระบาททั้งหลายมั่นอยู่ในโอวาทของพระองค์  จึงได้รับทิพยสมบัติเห็นปานนี้  ข้าพระบาททั้งหลายอยากเห็นพระองค์  ขอมหาราชเจ้าได้เชิญเสด็จพระองค์มา  ณ  เทวสถานนี้เถิด"

ท้าวสหัสสนัยเทวราชรับคำแล้ว  จึงมีเทวบัญชาแก่มาตลีเทพสารถีว่า  "ท่านจงเทียมเวชยันตเทพรถไป
กรุงมิถิลา  เชิญเสด็จพระราชาเนมิราขึ้นทิพยยาน  นำเสด็จมา  ณ  สถานที่นี้"

มาตลีเทพบุตรรับเทวโองการ  เทียมเทพรถขับไป  ขณะนั้นเป็นวันเพ็ญ  พระเจ้าเนมิราชทรงสมาทานอุโบสถศีล  ประทับนั่งอยู่  ณ  พระตำหนัก  มีหมู่อำมาตย์ราชบริพารแวดล้อม  เวชยันตเทพรถก็ได้ปรากฏบนท้องฟ้าพร้อมกับพระจันทร์ในวันเพ็ญ

มหาชนต่างพากันพิศวงเมื่อมองไปบนท้องฟ้า  ต่างก็โจษจรรย์กันว่า  "น่าอัศจรรย์วันนี้มีพระจันทร์ขึ้น  ๒  ดวง"  ขณะโจษจรรย์กันและมองดูอยู่อย่างพิศวงนั้น  เทพรถก็ค่อย ๆ  เคลื่อนออกมาจนเห็นได้ชัด  มหาชนก็ส่งเสียงขึ้นพร้อมกันว่า  "รถ  รถน่ะ  ไม่ใช่พระจันทร์ดอก"  แล้วต่างก็พูดกันต่อไปว่า  "เอ  รถคันนี้จะมารับใครหนอ  มีม้าเทียมเป็นจำนวนตั้งพัน  ท่าจะมารับพระราชาของเราแน่  เพราะพระองค์ทรงเป็นธรรมิกราช  พระอินทร์คงจะทรงเลื่อมใสพระราชาของเรา  จึงส่งเทพรถนี้มารับ  สมควรแล้ว  สมควรแล้ว"

เมื่อมหาชนสนทนากันอยู่  มาตลีเทพบุตรก็ขับรถแล่นมาจอดตรงพระธรณีสีหบัญชร  แล้วกราบทูลพระเจ้าเนมิราชว่า  "ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ  ขอเชิญพระองค์เสด็จประทับบนเทพรถนี้เถิด  บรรดาเทพยดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  มีความปรารถนาจะได้เห็นพระองค์  และต่างระลึกถึงพระคุณของพระองค์ที่ทำให้เขาได้ไปบังเกิดบนสวรรค์  เวลานี้ประชุมคอยเฝ้าพระองค์  ณ  สุธรรมสภา"

พระเนมิราชได้สดับดังนั้น  ทรงรำพึงว่า  "เรายังไม่เคยเห็นเทวโลก  เราจะต้องรับคำเชิญของมาตลีเทพบุตร"  มีพระดำรัสว่า  "ท่านมาตลีเทพบุตร  ข้าพเจ้ายินดีที่จะไปเทวโลกกับท่าน"  ก่อนเสด็จไปตรัสให้ประชุมบรรดาข้าราชบริพารและมหาชน  ณ  หน้าพระลาน  ตรัสว่า  "ท่านทั้งหลาย  บัดนี้เทพยดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ประสงค์จะเห็นเรา  เพราะเขาได้ระลึกถึงบุญคุณของเรา  ที่ทำให้เขาได้ขึ้นสวรรค์  จึงจัดเทพรถมารับเรา  เราจะไปและไปไม่นาน  ท่านทั้งหลายจงอย่าได้ประมาท  อุตส่าห์ทำบุญรักษาศีลเถิด"  ตรัสโอวาทเสร็จแล้ว  ก็เสด็จประทับบนเวชยันตเทพรถ

มาตลีเทพบุตรสารถีทูลถามว่า  "ข้าแต่พระองค์  สถานที่ที่จะนำเสด็จพระองค์ไปนั้นมี  ๒  ทาง  คือ  ไปสถานที่อยู่ของเหล่าชนผู้ทำบาปทางหนึ่ง  ไปสถานที่ของเหล่าชนผู้ทำบุญหนึ่ง  พระองค์จะเสด็จไปทางไหนก่อน  พระเจ้าข้า ?"

พระเจ้าเนมิราชทรงดำริว่า  "เราาควรจะไปสถานที่อยู่ของสัตว์ผู้ทำบาปก่อน  แล้วจึงไปเทวโลก"  ตรัสบอกมาตลีเทพบุตรสารถีว่า  "ท่านจงพาเราไปสถานที่สัตว์ทำบาปก่อน  แล้วจึงไปเทวโลกภายหลัง"

มาตลีเทพบุตรสารถีจึงขับเวชยันตเทพรถออกจากมิถิลานคร  มุ่งตรงไปเมืองนรก  เมื่อผ่านแม่น้ำเวตรณี มาตลีเทพบุตรจึงกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์  นั่นแม่น้ำเวตรณี  เป็นแม่น้ำที่สัตว์นรกมาได้รับทุกข์ทรมานอยู่  ที่แม่น้ำนี้เต็มไปด้วยเถาวัลย์หนามโตเท่าหอก  ปลายหนามมีเพลิงลุกโชติช่วง  มีหลาวเหล็กโตเท่าลำตาล  พวยพุ่งด้วยแสงเพลิง  สัตว์นรกถูกหลาวเหล็กเสียบเหมือนย่างปลา  บนพื้นน้ำมีใบบัวเหล็กแหลมดุจมีดโกน  เมื่อสัตว์นรกพลาดจากหลาวเหล็กตกลงไปบนใบบัวเหล็ก  เมื่อพลัดจากใบบัว
เหล็กลงไปในแม่น้ำ  ซึ่งมีแสงไฟลุกโพลง  ทั้งแสบ  ทั้งร้อน ทั้งปวด  เมื่อสัตว์นรกจมลงไป  ก็ถูกเครื่องสังหารใต้น้ำสับเป็นท่อน ๆ  สัตว์นรกในแม่น้ำนี้ถูกน้ำซัดเข้าฝั่ง  ก็ถูกนิรยบาลเอาหอกแทง  เอาเบ็ดเหล็กขนาดโตเกี่ยวที่ท้องบ้าง  ที่ลำคอบ้าง  ที่ปากบ้าง  แล้วแกว่งไปมา  แล้วลากขึ้นฝั่งให้นอนหงายบนเปลวไฟ  งัดปากออก  เอาก้อนเหล็กแดงมีไฟอุดยัดเข้าไปในปาก  สัตว์นรกที่ตกอยู่ในแม่น้ำนี้อยู่นานเป็นพัน ๆ  ปี

พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกที่ตกอยู่ในเวตรณี  ทรงใคร่ทราบถึงกรรมที่สัตว์เหล่านั้นทำ จึงตรัสถามมาตลีว่า  "สัตว์เหล่านั้นทำบาปอะไรไว้  จึงได้มาตกอยู่ในเวตรณีนี้ ?"

มาตลีเทพสารถีทูลว่า  "สัตว์เหล่านั้น  เมื่อเป็นมนุษย์  ได้ทำบาปหยาบช้า  เบียดเบียนผู้ที่มีกำลังน้อยกว่า ประพฤติตนเป็นอันธพาล  ทำทารุณกรรม  ทั้งจี้  ทั้งปล้น  ทั้งทำร้าย  ให้เขาได้รับบาดเจ็บหรือทุพพลภาพ  หรือตาย  จึงต้องมาทรมานอยู่ในเวตรณีนี้  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าเนมิราชได้สดับถึงการกระทำของสัตว์นรกเหล่านั้น  ทรงดำริว่า  "ไม่น่าเลยที่สัตว์เหล่านั้นจะก่อกรรมทำเข็ญ  จนตัวต้องมากตกอยู่ในภาวะอันแสนทุกข์ทรมานเช่นนี้"





















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น