วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม (หน้า ๒)


กาลต่อมานางปาริกาดาบสินีก็ตั้งครรภ์  ครั้นครบกำหนด  นางก็คลอดบุตรมีผิวพรรณดังทองคำ  เพราะเหตุที่บุตรมีผิวพรรณเช่นนั้น จึงได้ชื่อว่า  "สุวรรณสามกุมาร"  เมื่อดาบสินีไปป่าหาผลไม้  บรรดากินนรีที่อยู่บนภูเขาแถวนั้น  ต่างก็มาอุ้มสุวรรณสามกุมารไปอาบน้ำตามซอกเขา  แล้วอุ้มพาขึ้นไปยอดเขา  นำดอกไม้นานาพรรณมาประดับประดาให้กุมาร  เขาหาดาลหินอ่อนฝนกับแผ่นหินประพรมให้เสร็จ  แล้วนำมาส่งอาศรม  กินนรีทั้งหลายได้ปรนนิบัติกุมารอยูโดยนัยนี้  จนสุวรรณสามกุมมารอายุได้  ๑๖  ปี

ขณะที่บิดามารดาพากันไปป่าแสวงหาผลไม้  สุวรรณสามกุมารก็เฝ้าสังเกตทางที่บิดามารดาไป  เพื่อมีอันตรายเกิดขึ้นจะได้ไปค้นพบ  วันหนึ่งเมื่อทั้งสองแสวงหาผลไม้  ได้พอสมควรแล้วก็กลับ  ขณะเดินทางกลับจวนจะถึงอาศรมเผอิญฝนตกหนัก  ทั้งสองจึงไปหลบฝนอยู่ใต้ร่มไม้ซึ่งติดกับจอมปลวก  ที่จอมปลวกนั้นมีอสรพิษอาศัยอยู่  เมื่อน้ำฝนที่รดท่านทั้งสองไหลลงไปในรูของอสรพิษ  ทำให้อสรพิษได้กลิ่นเหงื่อไคลของมนุษย์  มันจึงโกรธพ่นพิษออกมา  พอดีถูกตาทั้งสองข้างของดาบสดาบสินี  ทำให้ท่านทั้งสองต้องเสียตาทั้งสองข้าง  มองไม่เห็นทางที่จะไป  ต่างคลำหาทางข้างโน้นที  ข้างนี้ที  วนเวียนอยู่แถวนั้นเอง

กรรมเก่าของดาบสดาบสินีที่ทำให้เสียตาไปด้วยกันครั้งนี้  มีอยู่ว่า  เมื่อชาติก่อนดาบสเป็นหมอตา  ดาบสินีก็ได้เป็นภรรยาของหมอตานั้น  วันหนึ่งหมอตาได้ไปรักษาคนไข้รายหนึ่ง  ซึ่งเป็นโรคตา  คนไข้รายนี้เป็นผู้มีทรัพย์มาก  แต่เมื่อหมอรักษาจนตาหายเป็นปรกติแล้ว  ก็ไม่จ่ายค่ารักษา  หมอตกจึงปรึกษากับภรรยาว่า  "น้องจ๋า  เราจะทำอย่างไรกับคนไข้ที่เรารักษาตาเขาจนหาย  แต่เขาไม่จ่ายค่ายาให้แก่เรา"

ภรรยาโกรธจัดตอบว่า  "เมื่อเขาไม่ให้ก็อย่าเอาเลย  แต่พี่ควรประกอบยาสักขนานหนึ่งชนิดแรง  แล้วนำไปให้ชายผู้นั้น  บอกว่าตาของท่านยังไม่หายขาด  ควรใช้ยาขนาดตัดรากนี้ป้ายตาอีกครั้งเดียวจะไม่เป็นอีก"  สามีเห็นด้วยจึงปรุงยาชนิดแรงขึ้นขนานหนึ่ง  เสร็จแล้วนำไปให้ชายผู้นั้น  บอกว่า  "ตาของท่านยังไม่หายสนิทดี  อาจเป็นขึ้นอีกได้  ควรใช้ยาาขนานนี้ตัดรากเสีย  ป้ายอีกครั้งเดียวเท่านั้นก็หายขาด"  ชายผู้นั้นเข้าใจว่ายาของเขาแน่จริง  จึงรับไว้แล้วป้ายที่ตา  อยู่ตอ่มาไม่ช้าตาทั้งสองของเขาก็เสียจนมองไม่เห็นอีก  นี่เป็นกรรมเก่าของดาบสดาบสินี

ฝ่ายสุวรรณสามนั่งคอยบิดามารดาอยู่ที่อาศรม  ไม่เห็นบิดามารดากลับตามกำหนดที่เคย  ทั้งเวลาก็ล่วงเลยไปมาก  เห็นผิดสังเกต  จึงลุกเดินไปตามทางที่ตนกำหนดไว้  กู่เรียกหาบดามารดา  บิดามารดาจำเสียงบุตรได้  ก็กู่รับ  สุวรรณสามเดินไปตามที่เสียงกู่รับก็พบบิดามารดากำลังคลำทางอยู่  ก็รู้ว่าตาของท่านทั้งสองบอดเสียแล้ว  จึงถามว่า  "พ่อจ๋า  แม่จ๋า  ทำไมตาของพ่อแม่จึงบอดเล่า ?"  บิดามารดาก็เล่าเรื่องให้ฟังจนตลอด

สุวรรณสามได้ฟังก็ร้องไห้แล้วหัวเราะ  บิดามารดาจึงถามว่า  "ทำไมลูกจึงร้องไห้แล้วหัวเราะ"

สุวรรณสามตอบว่า  "ลูกร้องไห้ก็เพราะเสียใจที่ตาของพ่อและแม่ต้องเสียไปขณะที่ลูกยังเป็นเด็กอยู่เช่นนี้  และที่หัวเราก็เพราะดีใจที่ลูกที่ได้ปรนนิบัติพ่อแม่ทดแทนบุญคุณของพ่อแม่ในบัดนี้  ขอพ่อแม่อย่าต้องเป็นทุกข์ร้อนแต่อย่างไรเลย" สุวรรณสามพูดจบก็จับมือของบิดามารดานำเข้าสู่อาศรม  แล้วจัดหาเชือกมาผูกทำเป็นราวไ้รอบอาศรม  สะดวกทั้งในเวลากลางคืน  กลางวัน  เวลาจงกรม  เวลาถ่ายอุจจาระปัสสาวะ  ให้บิดามารดาอยู่แต่ที่อาศรม  ตนเองก็ออกไปป่าหาผลไม้มาให้บิดามารดา  ปรนนิบัติอยู่โดยนัยนี้  ทั้งบิดามารดามิได้มีอนาทรเดือดร้อนอย่างไร

ขณะที่สุวรรณสามออกป่าไปหาผลไม้นั้น  บรรดามฤคและหมู่กินนรกินนรีต่างก็พากันแวดล้อมสุวรรณสาม  จนกระทั่งได้เวลาสุวรรณสามกลับอาศรม  เมื่อถึงอาศรมสุวรรณสามก็เตรียมต้มน้ำ  แล้วอาบน้ำให้บิดามารดา  พอถึงเวลาก็จัดผลไม้ให้บริโภค  ตนเองบริโภคเมื่อเหลือจากบิดามารดาแล้ว

จะกล่าวถึงพระราชาพาราณสีพระนามว่า  ปิลยักขราช  ทรงมีพระประสงค์จะออกป่าล่าสัตว์  เอาเนื้อมาเสวยให้เป็นที่สำราญพระทัย  วันหนึ่งพระองค์มอบหมายการดูแลพระนครให้พระชนนี  แล้วเสด็จออกล่าสัตว์  พระองค์เสด็จมาถึงท่าน้ำที่สุวรรณสามเคยมาตักน้ำไปให้บิดามารดา  ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าเนื้อระเกะระกะไปหมด  จึงแอบอยู่ที่ซุ้มไม้เพื่อคอยยิงสัตว์ที่ผ่านไปมา

สุวรรณสามออกมาหาผลไม้ตามปรกติ  ครั้นตกเย็นก็นำผลไม้ไปให้บิดามารดา  แล้วถือหม้อน้ำไปตักน้ำอย่างที่เคยทำมาเป็นกิจวัตร  ขณะเดินทางไปที่ท่าน้ำ  บรรดามฤคก็ติดตามแวดล้อมไปเป็นฝูงใหญ่ สุวรรณสามเอาหม้อน้ำวางบนหลังเนื้อแล้วเอามือประคองไปจนถึงท่าน้ำ

ท้าวปิลยักขราชแอบอยู่ที่ซุ้มไม้  ทอดพระเนตรเห็นสุวรรณสามเดินมา  และมีฝูงเนื้อแวดล้อมมาเช่นนั้น  ก็ทรงสงสัยว่า  จะเป็นเทวดาหรือพญานาค  ครั้นจะร้องถามไปก็เกรงไปว่า  ถ้าเป็นเทวดาจะเหาะหนีไปเสีย  ถ้าเป็นพญานาคจะดำดินไปเสีย  อย่ากระนั้นเลย  เราควรจะยิงสัตว์ประหลาดนี้ให้หมดกำลังก่อน  แล้วจึงไต่ถามเอาความในภายหลัง  ขณะนั้น  สุวรรณสามเดินไปถึงท่าน้ำ  ลงอาบน้ำเสร็จแล้ว  เอาหม้อตักตักน้ำแบกบ่าซ้ายหมายจะกลับอาศรม














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น