ขณะนั้น เทพธิดาซึ่งสิงสถิตอยู่ ณ พระมหาเศวตฉัตร ซึ่งเคยเป็นมารดาของพระราชกุมารมาก่อน ได้กล่าวปลอบพระราชกุมารว่า "พ่อเตมีย์กุมาร พ่ออย่าเศร้าโศกไปเลย พ่ออย่าคิดกลัวไปเลย ถ้าพ่อปรารถนาจะพ้นไปจากเรือนนี้ละก้อ พ่อไม่เป็นง่อยเป็นเปลี้ย ก็จงทำเป็นง่อยเป็นเปลี้ย พ่อไม่เป็นคนหูหนวก ก็จงทำเป็นคนหูหนวก พ่อไม่เป็นคนใบ้ ก็จงทำให้เป็นคนใบ้ ขอให้พ่อจงตั้งใจปฏิบัติ ๓ อย่างนี้ให้ได้ อย่าประกาศความฉลาดขึ้นมา จงทำตนให้คนทั้งหลายรู้ว่า พ่อเป็นคนเขลา แล้วเขาจะได้ดูหมิ่นพ่อว่า เป็นกาลกิณี หากพ่อทำตามอุบายนี้ ความปรารถนาของพ่อจะสำเร็จเป็นแน่"
พระเตมีย์ราชกุมาร ได้สดับคำปลอบก็อุ่นพระทัย ตรัสตอบว่า "ข้าแต่แม่ ฉันจะทำตามที่ท่านบอก แม่เป็นคนหวังดีต่อฉัน หวังประโยชน์เกื้อกูลแก่ฉัน" แล้วเตมียราชกุมาก็อธิษฐานองค์ ๓ ประการ คือ
๑. ทำเป็นง่อย คนเปลี้ย
๒. ทำเป็นคนหูหนวก
๓. ทำเป็นคนใบ้
พระเจ้ากาสิกราชทรงดำริว่า "พระโอรสของเราควรจะได้เพื่อนกุมารด้วยกันมาอยู่ในที่เดียวกัน จะได้ไม่หงอยเหงา" จึงรับสั่งให้พากุมาร ๕๐๐ คน มาอยู่ในที่เดียวกัน พวกกุมารถึงเวลาดื่มนมก็ร้องไห้เพื่อจะดื่มนม แต่พระเตมียราชกุมารกลัวภัยในนรก ทรงดำริว่า "ตั้งแต่วันนี้ไป เรายอมให้ร่างกายของเราซูบผอมตายไปเสียเลยดีกว่า" ไม่ทรงกรรแสงเลย พวกนางนมนำความไปกราบทูลให้พระนางจันทรเทวี์ทราบ พระนางจันทรเทวีก็ไปกราบทูลพระเจ้ากาสิกราชให้ทรงทราบด้วย พระองค์รับสั่งให้พรหมณ์มาเฝ้า แล้วตรัสถามว่า "นี่แน่ะพราหมณ์ ทำไมโอรสของเราจึงไม่ร้องไห้เสวยนมเหมือนกับกุมารอื่น ๆ " พวกพราหมณ์กราบทูลว่า "ขอเดชะ ขอให้พวกนางนมถวายนมให้ล่วงเวลา อย่าถวายตามเวลา เมื่อเป็นดังนั้น พระราชกุมารก็จะทรงกรรแสงเสวยนมเอง พระเจ้าข้า" พระเจ้ากาสิกราชรับสั่งให้พวกนางนมทำตามนั้น พระเตมียราชกุมารก็มิได้ทรงกรรแสงเพื่อเสวยนม
พระนางจันทรเทวีเห็นพระราชโอรสไม่ทรงกรรแสง ทรงดำริว่า "ลูกเราจะหิวแล้ว" จึงให้พระราชโอรสดื่มนมที่พระถันของนางเอง บางคราวนางนมทั้งหลายก็ถวายให้ดื่ม พวกกุมารพากันร้องไห้ไม่นอนในเวลาที่ไม่ได้ดื่มนม พระเตมียราชกุมารไม่ทรงกรรแสง ไม่คร่ำครวญ ไม่บรรทม ไม่งอพระหัตถ์และพระบาท บรรทมแซ่วอยู่ตลอดเวลา
พวกนางนมปรึกษากันว่า "คนที่เป็นง่อยมือเท้าไม่เป็นอย่างนี้ การที่พระกุมารต้องเป็นไปอย่างนี้ คงมีเหตุอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นแน่ พวกเราต้องทดลองดูให้รู้ ขั้นแรกจะต้องทดลองด้วยปล่อยให้อดนมตลอดวัน" เมื่อพวกนางนมไม่ถวายนมตลอดวัน พระราชกุมารก็มิได้ทรงกรรแสง ทดลองอยู่อย่างนี้มาจนตลอดครบขวบปี ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระกุมารแต่ประการใดพวกอำมาตย์กราบทูลว่า "ขอเดชะข้าแต่พระองค์ ธรรมเด็กอายุหนึ่งขวบชอบกินขนมและของเคี้ยว โปรดทดลองด้วยขนมเถิด พระเจ้าข้า"
พระราชาทรงให้ทดลองตามนั้น พระเตมียราชกุมารมิได้ทรงมองขนมและของเคี้ยวนั้นเลย แม้พวกเด็ก ๆ จะยื้อแย่งกันเกรียวกราว พระเตมียราชกุมารกลับสอนตนว่า "พ่อเตมียราชกุมาร ถ้าเจ้าต้องการจะตกนรก ก็จงกินขนมและของเคี้ยวนั้นเถิด" เมื่อถูกภัยนรกคุคาม เตมียราชกุมารก็มิได้แลดูขนมและของเคี้ยวนั้นเลย
การทดลองด้วยขนมทำมาปีหนึ่ง ก็มิได้ทำให้พระเตมียราชกุมารแสดงอาการอะไรขึ้นมา อำมาตย์จึงกราบทูลว่า "ขอเดชะ ธรรดาทารกอายุ ๒ ขวบ ชอบผลไม้ ขอให้ทดลองด้วยผลไม้เถิด" พระราชาโปรดให้ทดลองด้วยผลไม้อีกปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นแก่เตมียราชกุมาร
อำมาตย์กราบทูลว่า "ทารก ๓ ขวบชอบของเล่น" โปรดให้ทดลองด้วยของเล่นอีกปีหนึ่ง ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
การทดลองได้ทำเป็นขั้น ๆ ดังนี้
เมื่อพระชนม์ ๕ พรรษา ทดลองด้วยของกิน เพราะเด็ก ๕ ขวบ ชอบของกิน
เมื่อพระชนม์ ๖ พรรษา ทดลองด้วยช้าง เพราะเด็ก ๖ ขวบ กลัวช้าง
เมื่อพระชนม์ ๗ พรรษา ทดลองด้วยงู เพราะเด็ก ๗ ขวบ กลัวงู
เมื่อพระชนม์ ๘ พรรษา ทดลองด้วยการฟ้อนรำ เพราะเด็ก ๘ ขวบ ชอบการฟ้อนรำ
เมื่อพระชนม์ ๙ พรรษา ทดลองด้วยศัสตรา เพราะเด็ก ๙ ขวบ กลัวศัสตรา
เมื่อพระชนม์ ๑๐ พรรษา ทดลองด้วยเสียง เพราะเด็ก ๑๐ ขวบ กลัวเสียง
เมื่อพระชนม์ ๑๑ พรรษา ทดลองด้วยกลอง เพราะเด็ก ๑๑ ขวบ กลัวเสียงกลอง
เมื่อพระชนม์ ๑๒ พรรษา ทดลองด้วยแสง เพราะเด็ก ๑๒ ขวบ กลัวแสง
เมื่อพระชนม์ ๑๓ พรรษา ทดลองด้วยแมลงวัน เพราะเด็ก ๑๓ ขวบ กลัวแมลงวัน
เมื่อพระชนม์ ๑๔ พรรษา ทดลองด้วยของสกปรก เพราะเด็ก ๑๔ ขวบ รักสวยรักงาม
เมื่อพระชนม์ ๑๕ พรรษา ทดลองด้วยความร้อน เพราะเด็ก ๑๕ ขวบ กลัวความร้อน
เมื่อพระชนม์ ๑๖ พรรษา ทดลองด้วยหญิงรุ่น เพราะเด็ก ๑๖ ขวบ ชอบมีความกำหนัดยินดี
การทดลองได้กระทำมาตลอดเวลา ๑๖ ปี ไม่ได้ผลอะไรเลย พระเตมียราชกุมารมิได้ทรงแสดงอาการเคลื่อนไหว ทำเป็นง่อย ทำเป็นคนหูหนวกและทำเป็นคนใบ้จริงจัง
พระเจ้ากาสิกราชทรงโทมนัสเป็นอย่างยิ่ง ตรัสเรียกพวกพราหมณ์ที่รู้หลักในการทำนายลักษณะมาพร้อมกัน แล้วตรัสถามว่า "ท่านพราหมณ์ในวันที่ลูกของเราเกิด พวกท่านได้ทำนายว่า พระกุมารโอรสของเราสมบูรณ์ด้วยลักษณะอันดีเลิศ ไม่มีอันตรายอันใดจะเกิดแก่พระกุมาร บัดนี้ ไฉนโอรสของเราจึงได้เป็นง่อยเปลี้ย เป็นหูหนวกเป็นใบ้ไป ถ้อยคำของท่านทั้งหลายไม่ทำให้เราบังเกิดความยินดีเสียเลย"
พวกพราหมณ์กราบทูลว่า "ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ขึ้นชื่อว่านิมิตทั้งปวงอันข้าพระองค์จะไม่เห็นเป็นไม่มีดอกพระเจ้าข้า ข้าพระองค์ย่อมเห็นย่อมรู้ทุกประการ พระราชกุมารนี้เป็นพระราชโอรสที่ราชสกุลทรงปรารถนา และได้สมความปรารถนาแล้ว ครั้นพวกข้าพระองค์จะทำนายไปตามจริงว่า พวกพระกุมารนี้เป็นกาลกิณี ความโทมนัสก็จะพึงมีแด่พระองค์ ด้วยเหตุนี้ พวกข้าพระองค์จึงไม่กราบทูลข้อเสียหายให้ทราบในตอนแรก จะควรมิควรประการใด ขอได้ทรงโปรดพิจารณาเถิด พระเจ้าข้า"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น