วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๒. พระมหาชนก (หน้า ๗)


ครั้นกาลล่วงมา  พระนางสีวลีมเหสีประสูติพระราชโอรสองค์หนึ่ง  พระชนกชนนีขนานพระนามว่า  "ฑีฆาวุราชกุมาร"   เมื่อฑีฆาวุราชกุมารเจริญวัย พระราชบิดาทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งอุปราช

วันหนึ่ง  พระราชามหาชนกเสด็จประพาสพระราชอุทยาน  ทอดพระเนตรเห็นมะม่วง  ๒  ต้น  ต้นหนึ่งกิ่งหักใบร่วงโกร๋น  อีกต้นหนึ่งมีใบแน่นหนาเขียวชอุ่มร่มเย็นราบรื่น  จึงตรัสถามอำมาตย์ที่ตามเสด็จว่า  "ทำไมมะม่วง  ๒  ต้นนี้จึงเป็นไปอย่างนั้น ?"

อำมาตย์กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ต้นหนึ่งมีผลดก  และมีรสหวานน่ารับประทาน  คนทั้งหลายต่างก็สอยบ้าง  ขว้างบ้าง  หักบ้าง  เพื่อเอาผลมารับประทาน  จึงเป็นเช่นนั้น  อีกต้นหนึ่งไม่มีผล  ไม่มีใครไปทำลาย  จึงมีใบหนาทึบอยู่เช่นนั้น  พระเจ้าข้า"

พระราชามหาชนกได้สดับดังนั้น  ก็สลดพระทัย  ได้ความคิดขึ้นว่า  "ต้นไม้ที่มีผลมีรสอร่อย  มักถูกหักทำลาย  เช่นมะม่วงต้นนั้น  ส่วนต้นที่ไม่มีผลก็มีใบหน้าทึบสะพรั่งอยู่  ราชสมบัติเปรียบเหมือนต้นไม้มีผล  อาจถูกทำลายเข้าวันใดวันหนึ่งก็ได้  แม้ยังไม่ถูกทำลายก็ทำให้เกิดกังวล  เฝ้าแหนรักษา  ภัยเกิดแก่ผู้มีความกังวัล  บรรพชาเปรียบเหมือนต้นไม้ที่ไม่มีผล  ไม่ทำให้เกิดกังวล  เพราะภัยไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีกังวล  เราจะไม่ยอมทำตนเหมือนต้นไม้มีผล  เราจะทำตนเหมือนต้นไม้ไม่มีผล  เราจะสละราชสมบัติออกบรรพชาแน่นอน"

เมื่อทรงมั่นพระทัยเช่นนั้น  จึงเสด็จกลับเข้าพระราชวัง  รับสั่งประชุมเสนาบดีว่า  "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  เราขอมอบราชการทุกอย่างให้แก่อุปราชโอรสของเราดูแลแทน  เราจะขออยู่อย่างสงบ  ห้ามผู้คนเข้าไปรบกวนเรา  นอกจากพนักงานเชิญเครื่องกับพนักงานถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์เท่านั้น"  ตรัสสั่งเสร็จแล้วพระองค์ก็เสด็จเข้าพระมหาปราสาท  ทรงเจริญสมณธรรมอยู่องค์เดียว

เมื่อเวลาผ่านไปหลาย ๆ  วันเข้า  มหาชนไม่เห็นพระราชาของตนเสด็จออกตรวจราชกิจ  จึงมาประชุมกันที่หน้าพระลานหลวง  พูดกันว่า  พระราชาของพวกเราไม่เหมือนก่อนเสียแล้ว  ไม่เห็นออกทรงตรวจตราราชการ  ไม่เห็นเสด็จทอดพระเนตรการฟ้อนรำขับร้อง  ไม่เห็นเสด็จประพาสพระราชอุทยาน  พระองค์ทรงทำเป็นเหมือนคนไข้  ประทับนิ่งเฉยอยู่ในพระมหาปราสาท"

พระราชามหาชนกทรงมั่นพระทัยแน่วในวิเวก  ทรงสละกามกิเลส  ทรงระลึกถึงแต่เหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้า  ทรงคอยหาโอกาสจะเสด็จไปยังที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงศีล  ทรงเห็นพระราชนเวศน์ประดุจขุมนรกทรงดำริแต่ว่า

"เมื่อไรหนอ  เราจะได้ออกจากมิถิลานคร  ซึ่งมีสมบัติมหาศาล  มีความเจริญรุ่งเรือง  มีปราสาท
ราชมนเฑียรงดงามพรั่งพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์  และล้วนแต่มีความเจริญในด้านต่าง ๆ  อีกมากมาย  เมื่อไรหนอ  เราจะได้ปลงผม  ครองผ้า  อุ้มบาตรและจาริกไปตามป่า  สมความปรารถนา"

ทรงมั่นพระทัยเด็ดเดี่ยวอยู่เช่นนี้  จึงตัดสินพระทัยว่า  "เรา จักบวชเดี๋ยวนี้"  แล้วรับสั่งแก่ราชบุรุษที่เชิญเครื่องว่า  "เจ้าจงไปหาผ้าย้อมน้ำฝาดกับบาตรมาให้เรา  อยาให้ใครรู้"

ราชบุรุษรับพระราชกระแสรับสั่งมาแล้ว   ก็จัดหาเครื่องบริขารนำไปถวาย  พระราชามหาชนกตรัสให้ภูษามาลาปลงพระเกศา  พระมัสสุ  แล้วทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์  เสด็จจงกรมไปมาบนพระมหาปราสาท ทรงทำอยู่ดังนี้ประมาณ  ๔ - ๕  วัน  เห็นว่า  เป็นสุขแน่  ทรงเปล่งอุทานว่า  "โอ  บรรพชาเป็นสุขหนอ  เป็นสุขประเสริฐหนอ  เป็นสุขอย่างยิ่งหนอ"

พระราชามหาชนก  ประทับอยู่ภายในพระมหาปราสาทตลอดวัน  มิได้เสด็จออกไปภายนอก  วันหนึ่ง
เวลาย่ำรุ่ง  ทรงครองเครื่องบรรพชิตครบถ้วน  คล้องถลกบาตรที่พระอังสา  ทรงธารพระกร  เสด็จลงจากปราสาท  ขณะนั้น  พระนางสีวลีพร้อมด้วยคนสนิท  ๗๐๐  นาง  ไปเฝ้าพระราชา  สวนทางกับพระมหาชนกตรงหน้าปราสาท  พระนางสีวลีจำพระสวามีไม่ได้  เข้าใจว่า  พระปัจเจกพุทธเจ้ามาถวายโอวาทพระสวามี  จึงถวายนมัสการแล้วพากันขึ้นบนปราสาท  เมื่อขึ้นไปถึงภายในปราสาท  เห็นพระเกศาและห่อเครื่องราชภรณ์  ไม่เห็นพระราชา  ก็เข้าใจทันทีว่า  "บรรพชิตที่สวนทางมาเมื่อกี้นี้ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าแน่  ต้องเป็นพระสวามี"  ไม่รอช้า  พระนางสีวลีตรัสให้ทุกคนที่ตามเสด็จไป  รีบลงมาจากปราสาท ติดตามพระสวามี  มาทันพระราชาที่หน้าพระลาน  พระนางสีวลีตรงเข้าไปหมอบที่พระบาท  แล้วจับยึดไว้ ถูพระพักตร์เกลือกไปมา  ทรงกรรณแสงสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร  บรรดาหญิงที่ติดตามไปต่างกลิ้งเกลือกโศกาอาดูรรำพันว่า  "โอ  พระทูลกระหม่อมแก้ว  ไฉนพระองค์จึงได้ทรงทิ้งพวกกระหม่อมฉันเสียเล่า  พระเจ้าข้า"

ขณะนั้น  ข่าวการสละราชสมบัติออกบรรพชาของพระราชามหาชนกก็แพร่สะพัดไป  มหาชนได้ทราบก็พากันร่ำไห้อาลัย  ติดตามพระราชาไป

พระราชามหาชนก  แม้ทอดพระเนตรเห็นผู้จงรักภักดี  ทั้งบุรุษสตรี  เสนามาตย์ราชบริพาร  มาทูลวิงวอนร่ำไห้รำพันอยู่เช่นนั้น  พระองค์มิได้มีพระทัยวอกแวก  กลับทรงมั่นพระทัยที่จะเสด็จออกไปเสียโดยเร็ว จึงมิได้ทรงหยุดยั้ง  เสด็จไปด้วยอาการอันสงบ

พระนางสีวลีอัครมเหสี  เมื่อเห็นพระราชสวามีไม่เสด็จกลับแน่  พระนางจึงคิดอุบายได้อย่างหนึ่ง  ตรัสเรียกเสนาคุตมาเฝ้า  แล้วตรัสว่า  "เสนาคุต  ท่านจงรีบไป  เอาไฟเผาเรือนเก่า ๆ  ศาลาเก่า ๆ  ขนหญ้า ใบไม้  กิ่งไม้แห้งมาสุมให้ลุกโพลง  ให้มีควันโขมงขึ้น  รีบไปเร็ว"

เสนาคุตรับพระเสาวนีย์แล้วก็รีบไปทำตามรับสั่ง  พระนางสีวลีเมื่อเห็นแสงไฟลุกโพลงข้างหน้า  จึงเข้าไปหมอบที่พระบาทพระสวามี  แล้วกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระทูลกระหม่อมแก้ว  เกิดไฟไหม้ขึ้นข้างหน้าโน้นแล้ว  พระคลังมหาสมบัติถูกไฟเผาหมดสิ้นแล้ว  ขอเชิญเสด็จกลับไปดับไฟเถิด  เพคะ"

พระราชามหาชนกตรัสว่า  "ดูก่อน  เทวี  เราหมดกังวลแล้ว  เราเป็นผู้ไม่มีสมบัติที่จะทำให้เกิดกังวลมาก่อนแล้ว  พระคลังมหาสมบัติถูกเพลิงเผา  แต่ยังมีสมบัติอันแท้จริงของเราอย่างหนึ่ง  มิได้ถูกเพลิงผลาญไปด้วย"  (อันนี้ท่านคงหมายถึงบรรพชาสมบัติ)  ตรัสแล้วก็ทรงดำเนินต่อไป  บรรดาพระสนมนารีทั้ง  ๗๐๐  นางกับมหาชนอีกมากมายก็ตามเสด็จไปด้วย

พระนางสีวลีทรงคิดอุบายได้อีกอย่างหนึ่ง  ตรัสเรียกราชบุรุษมารับสั่งว่า  "พวกท่านจงไปทำเหมือนกะว่า  มีโจรปล้นชาวบ้าน  ปล้นเมือง  ส่งเสียงให้อึกทึกสนั่นหวั่นไหว"

ราชบุรุษรับพระเสาวนีย์แล้ว  ก็พากันไปทำตามรับสั่ง

พระนางสีวลีถวายบังคมกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระทูลกระหม่อมแก้ว  พวกโจรปล้นบ้านเมืองแล้ว  ขอเชิญกลับไปปราบเถิด  เพคะ"

พระราชามหาชนกทรงดำริว่า  "ตั้งแต่เราครองราชย์มา  ไม่เคยมีโจรปล้นบ้านเมืองเลย  น่าจะเป็นอุบายของพระนางสีวลีเป็นแน่"  แล้วตรัสว่า

"ดูก่อน พระเทวี  เราหมดกังวลแล้ว  เรามีความสบายจริง ๆ  โจรปล้น  แต่เอาอะไรไปไม่ได้  ถึงเอาไปได้  แต่ก็เอาไปเฉพาะสมบัติภายนอก  แต่สมบัติภายในของเรานั้น  โจรเอาอะไรไปไม่ได้  เรามีความสุขจริง ๆ  เราดื่มด่ำอยู่ในรสของปีติ"

ตรัสแล้วก็ทรงดำเนินเรื่อยไป  เหล่าผู้ที่ติดตามก็พากันติดตามอย่างไม่ลดละ  พระนางสีวลีพร้อมด้วย
สนมนารีก็เสด็จตามไปเฝ้ากราบทูลอ้อนวอนว่า  "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม  มหาชนไม่เป็นอันทำมาหากิน พากันติดตามมา  หวังจะให้พระองค์เสด็จกลับ  เพื่อเป็นมิ่งขวัญของนครมิถิลา  นครมิถิลาจะว่างกษัตริย์ปกครองมิได้  หากพระองค์จะทรงผนวชแล้ว  ขอได้ทรงโปรดอภิเษกราชโอรสให้ครองราชสมบัติก่อน  แล้วจึงผนวชเถิด  เพคะ"


























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น