ท้าวปิลยักขราชยกธนูอันกำซาบอาบยาพิษ จ้องเล็งหมายลำตัวของสุวรรณสาม พอได้ระยะดีก็ยิงออกไปถูกข้างขวาทะลุออกข้างซ้าย บรรดาสัตว์ทั้งหลายต่างตกใจหนีเข้าป่าไปหมด สุวรรณสามเมื่อรู้ว่าถูกยิง ก็ตั้งสติค่อย ๆ ประคองหม้อน้ำวางลงกับพื้น แล้วค่อย ๆ เอนกายหันศรีษะไปทางทิศที่บิดามารดาอยู่ แล้วกราบลง คุมสติไว้ให้แน่วกล่าวขึ้นว่า
ท้าวปิลยักขราชได้สดับถ้อยคำอ่อนหวานของสุวรรณสามกุมาร จึงดำริว่า "ชายผู้นี้ถูกเรายิงล้มลงแล้ว ไม่เห็นแสดงอาการโกรธเคืองเรา ไม่เห็นด่าว่าตัดพ้อเรา กลับเรียกหาเราด้วยถ้อยคำอ่อนหวานน่ารัก เราจะต้องไปแสดงตัวให้ปรากฏ" แล้วพระองค์ก็เสด็จไปประทับยืนอยู่ใกล้ ๆ สุวรรณสามกุมาร ตรัสว่า "พ่อหนุ่มน้อย เราเป็นพระเจ้าแผ่นดินแคว้นกาสีนี้ ชื่อว่า ปิลยักขราช เจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมจึงมาที่นี่"
"ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงธรรมิกราช ข้า
พระราชาปิลยักขราชตรัสเท็จว่า "พ่อสุวรรณสาม เราออกป่าเพื่อแสวงหาเนื้อเป็นอาหาร เมื่อได้พบเนื้อที่นี่ก็ดีใจหมายจะยิง แต่พอจะยิง เจ้าเดินมา เนื้อหนีไปหมด เราจึงโกรธท่าน"
"ในป่านี้ไม่เห็นมีใครที่จะเป็นเวรกับเราหรือกับบิดา
มารดาของเรา ใครหนอมายิงเรา จะซ่อนกายอยู่ทำไม
อนึ่ง เนื้อของเราก็มิใช่เป็นอาหาร หนังของเรา
ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ไฉนจึงมายิงเราได้
ท่านเป็นใคร ท่านเป็นบุตรใคร เราจะรู้จักกับท่าน
ได้อย่างไร ท่านยิงเราแล้ว ทำไมซ่อนตัวอยู่เล่า"
เมื่อพูดเสร็จก็ล้มฟุบแน่นิ่งไป
ท้าวปิลยักขราชได้สดับถ้อยคำอ่อนหวานของสุวรรณสามกุมาร จึงดำริว่า "ชายผู้นี้ถูกเรายิงล้มลงแล้ว ไม่เห็นแสดงอาการโกรธเคืองเรา ไม่เห็นด่าว่าตัดพ้อเรา กลับเรียกหาเราด้วยถ้อยคำอ่อนหวานน่ารัก เราจะต้องไปแสดงตัวให้ปรากฏ" แล้วพระองค์ก็เสด็จไปประทับยืนอยู่ใกล้ ๆ สุวรรณสามกุมาร ตรัสว่า "พ่อหนุ่มน้อย เราเป็นพระเจ้าแผ่นดินแคว้นกาสีนี้ ชื่อว่า ปิลยักขราช เจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมจึงมาที่นี่"
สุวรรณสามกุมารคิดว่า "ถ้าเราจะทูลว่า เราเป็นเทวดา นาค ยักษ์ กินนรหรือกษัตริย์อย่างใดอย่างหนึ่ง พระราชาก็คงเชื่อเรา แต่เราควรพูดความจริง" คิดดังนั้นแล้วจึงกราบทูลว่า
"ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงธรรมิกราช ข้า
พระพุทธเจ้าเป็นบุตรของดาบส มีชื่อว่า สุวรรณสาม
ข้าพระพุทธเจ้าถูกพระองค์ยิง เช่นเดียวกับมฤค
ถูกพรานยิง ขอพระองค์จงทอดพระเนตรลูกศรที่แล่น
ทะลุขวาซ้ายในกายของข้าพระพุทธเจ้า โลหิตอาบ
ไปทั่วตัว แม้ในปากของข้าพระพุทธเจ้าก็มีโลหิต ข้า
พระพุทธเจ้าต้องบ้วนออก ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบ
ทูลถามว่า พระองค์ทรงยิงข้าพระพุทธเจ้าด้วยเหตุไร
ธรรมดาผู้ที่ฆ่าเสือเหลืองก็เพราะต้องการหนัง ฆ่าช้าง
ก็เพราะต้องการงา ข้าพระพุทธเจ้าขอทราบ พระองค์
ต้องการอะไรในตัวข้าพระพุทธเจ้านี้หรือ"
พระราชาปิลยักขราชตรัสเท็จว่า "พ่อสุวรรณสาม เราออกป่าเพื่อแสวงหาเนื้อเป็นอาหาร เมื่อได้พบเนื้อที่นี่ก็ดีใจหมายจะยิง แต่พอจะยิง เจ้าเดินมา เนื้อหนีไปหมด เราจึงโกรธท่าน"
สุวรรณสามกุมารกราบทูลว่า "ขอเดชะ พระองค์ตรัสอะไรเช่นนั้น บรรดาเนื้อในป่านี้ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์เลย ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เสมอ"
พระราชาปิลยักขราชได้สดับคำกราบทูลของสุวรรณสามเช่นนั้น จึงทรงดำริว่า "เรายิงสุวรรณสามผู้ไม่มีความผิดและยังได้กล่าวเท็จออกไป ซึ่งไม่สมควรแก่เราผู้เป็นกษัตริย์เลย เราจะบอกความจริงแก่สุวรรณสาม" แล้วตรัสว่า "พ่อสุวรรณสาม เป็นความจริงอย่างที่เจ้าพูด เนื้อในป่านี้มิได้ตกใจกลัวเจ้า เราพูดเท็จแก่เจ้า ที่เราต้องยิงเจ้าครั้งนี้ก็เพราะความโกรธความโลภของเราเอง อ้อ พ่อสุวรรณสาม เจ้าอาศัยอยู่ที่ใด อยู่กับใคร และใครใช้ให้เจ้ามาตักน้ำ"
สุวรรณสามกุมารกลั้นทุขเวทนา บ้วนโลหิตออก กราบทูลว่า"ข้าแต่พระองค์ บิดามารดาของข้าพระองค์ตาบอดทั้งสองคน ข้าพระองค์ทำหน้าที่เลี้ยงดูท่านทั้งสอง ขณะนี้อาศัยอู่ในป่าใหญ่โน้น" ครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว ก็บ่นรำพันถึงบิดามารดาว่า
"โอ อาหารยังมีพอสำหรับบิดามารดาหรือไม่หนอ
อาหารที่เก็บไว้นั้นจะมีพอได้เพียง ๖ วัน เมื่อท่าน
ทั้งสองกระหายน้ำก็จะไม่มีใครตักให้ท่าน อาจตาย
เพราะไม่ได้ดื่มน้ำ ความทุกข์ของเราที่ถูกยิงครั้งนี้
ยังไม่หนักเท่ากับความทุกข์ที่เราไม่เห็นบิดามารดา
และยิ่งนึกถึงว่า บิดามารดาจะร้องหาเราว่า
พ่อสาม พ่อสาม เมื่อไม่ได้ยินเสียงขานรับก็จะเศร้าโศก
อาดูร ใจแทบขาด โอ้บิดามารดาของลูก คงไม่เห็น
หน้าลูกเป็นแน่แล้ว"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น