บุษยราชรถออกจากพระราชมนเฑียรแล่นเข้าทางหลวง ออกจากพระนครแล่นตรงไปพระราชอุทยาน แล้วหยุดอยู่ตรงแผ่นศิลามงคล
ปุโรหิตตามไปดูตรงที่ราชรถหยุดนั้น ได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งนอนหลับอยู่ จึงเรียกพวกอำมาตย์มา แล้วชี้ให้ดูบุรุษที่กำลังนอนอยู่บนแผ่นหิน พูดว่า "บุรุษผู้นี้เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย และเราก็ยังรู้ไม่ได้ว่า เขาจะสมควรเป็นราชาของพวกเราหรือไม่ เอาอย่างนี้ เราจะทดลองบุรุษผู้นี้ดูก่อน ให้วงดนตรีประโคมดนตรีขึ้นพร้อมกัน ถ้าบุรุษผู้นี้มีปัญญาก็คงสงบอยู่ ไม่ลุก ไม่แลดู ถ้าเป็นคนโง่กาลกิณีก็จะตกใจรีบลนลานลุกหนีไป พวกท่านจะเห็นอย่างไร" อำมาตย์ทั้งหลายเห็นด้วยกับปุโรหิต ปุโรหิตจึงให้วงดนตรีบรรเลงขึ้นพร้อม ๆ กัน เสียงดนตรีดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว
พระมหาชนกได้ยินเสียงดนตรีก็ตื่นจากบรรทม เปิดผ้าคลุมทอดพระเนตรเห็นบุษยราชรถก็ทรงดำริว่า "เราคงได้เป็นราชาครองราชสมบัติในเมืองนี้แน่แท้" แล้วก็คลุมพระเศียรอย่างเดิม พลิกพระวรกายบรรทมต่อไป มิได้ทรงแสดงอาการตื่นเต้นตกใจแต่อย่างไร
ปุโรหิตตรงไปเปิดผ้าคลุมพระบาทตรวจดูลักษณะ เห็นลักษณะต้องตามพยากรณศาสตร์ว่า บรุษที่มีลักษณะเช่นนี้ อย่าว่าแต่จะครองราชสมบัติเพียงทวีปเดียวเลย ต่อให้ทั้งสี่ทวีปก็สามารถครองได้ จึงประกาศพระลักษณะให้มหาชนที่รอฟังความอยู่ ณ ที่นั้นให้ทราบ แล้วให้ดนตรีประโคมอีกครั้งหนึ่ง
พระมหาชนกทรงเปิดผ้าคลุมทอดพระเนตรดูหน่อยหนึ่งแล้วพลิกพระกายบรรทมต่อไป
ปุโรหิตเห็นว่า บุรุษผู้นี้มีบุญญาธิการสมควรได้ราชสมบัติ จึงนั่งลงกราบถวายบังคมว่า "ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์เสด็จลุกขึ้นเถิด บัดนี้ราชสมบัติแห่งมิถิลานครได้มาถึงพระองค์แล้ว พระเจ้าข้า"
พระมหาชนกตรัสถามปุโรหิตว่า "พระเจ้าอยู่หัวของท่านไปไหนเสียเล่า ?"
ปุโรหิตกราบทูลว่า " ได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว พระเจ้าข้า"
พระมหาชนกตรัสถามว่า "พระราชโอรสหรือพระบรมวงศานุวงศ์ของพระเจ้าอยู่หัวไม่มีดอกหรือ ?"
ปุโรหิต "ขอเดชะ พระราชโอรสไม่มี มีแต่พระราชธิดาองค์เดียว พระเจ้าข้า"
พระมหาชนกตรัสว่า "ถ้าเช่นนั้นดีแล้ว เราจักครองราชสมบัติ" แล้วเสด็จลุกขึ้นประทับนั่งบนแผ่นหินอันเป็นมงคล
ขณะนั้น มหาชนพร้อมด้วยเสนามาตย์ราชปุโรหิตาจารย์ต่างก็ถวายราชาภิเษกพระมหาชนก ณ ที่นั้น แล้วทูลขอพระนามพระองค์ พระมหาชนกรับสั่งว่า "เราชื่อมหาชนก บัดนี้ท่านทั้งหลายได้จัดพิธีราชาภิเษกแก่เราแล้ว เราจึงมีชื่อว่า มหาชนกราชา"
พระมหาชนกราชได้เสด็จเข้าพระนคร ตรงเข้าพระราชมนเฑียรเสด็จเลยเข้าถึงฝ่ายใน
พระนางสีวลีราชธิดาทรงทราบว่า "เสนามาตย์ราชปุโรหิตได้จัดการอภิเษกบุรุษผู้หนึ่ง ขึ้นเป็นพระราชา ทรงพระนามว่า พระมหาชนกราช บัดนี้ พระมหาชนกราชได้เสด็จเข้ามาอยู่ในพระราชวังฝ่ายในแล้ว" จึงทรงดำริที่จะทดลอง จึงรับสั่งเรียกราชบุรุษคนหนึ่งมาเฝ้าแล้วตรัสว่า "นี่แน่ เจ้าจงไปทูลพระมหาชนกราชว่า พระนางสีวลีราชธิดามีพระประสงค์จะทรงพบ ขอได้โปรดรีบเสด็จไปเฝ้าโดยไวเถิด" ราชบุรุษรับกระแสรับสั่งของพระนางแล้ว ก็ไปเฝ้าพระมหาชนกราช กราบทูลตามที่พระนางสั่ง
พระราชามหาชนกทรงสดับคำกราบทูลของราชบุรุษดังนั้น ก็ทรงทำเป็นไม่ได้ยิน ทรงเสแสร้งทำเป็นชมปราสาทว่า "แหม ปราสาทนี้งามตระการยิ่งนัก เป็นบุญของเราแล้วที่ได้มาอยู่ปราสาทนี้" แม้ราชบุรุษจะกราบทูล ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ก็ทรงทำเป็นไม่ได้ยิน
ราชบุรุษเมื่อเห็นว่า พระราชามิได้ทรงสนพระทัยในคำกราบทูลของตน จึงกลับไปเฝ้าพระราชธิดา กราบทูลว่า "ข้าแต่พระนาง หม่อมฉันได้กราบทูลแด่พระราชาตามกระแสรับสั่งของพระนาง แต่พระราชามิได้ทรงสนพระทัยกับคำกราบทูลนั้นเลย กลับทรงชมมหาปราสาทอยู่ตลอดเวลา พระเจ้าข้า"
พระราชธิดาทรงดำริว่า "พระราชาองค์นี้ฉลาดมาก" ได้ทรงสั่งราชบุรุษไปกราบทูลอีก ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ก็ไม่สำเร็จ เป็นอันจนพระทัย คอเเฝ้าดูเหตุการณ์ต่อไป
พระราชามหาชนกได้เสด็ไปตามพระราชอัธยาศัยโดยที่พระนางไม่ทรงทราบล่วงหน้า เสด็จขึ้นมหาปราสาทแล้ว เลยเข้าไปข้างใน พระนางสีวลีตกพระทัย รีบเสด็จลุกจากพระแท่น ตรงเข้าถวายให้เกี่ยวพระกร พระราชาทรงเกี่ยวพระกรพระราชธิดา เสด็จประทับนั่งภายใต้มหาเศวตฉัตร ตรัสเรียกมหาอำมาตย์มาตรัสถามว่า "เมื่อพระราชาของพวกท่านจะเสด็จสวรรคต ได้ตรัสสั่งอะไรไว้บ้าง ?" มหาอำมาตย์กราบทูลให้ทรงทราบว่า ได้ตรัสสั่งไว้บ้าง จึงโปรดให้มหาอำมาตย์เล่าถวาย
มหาอำมาตย์กราบทูลว่า "ขอเดชะ พระราชาของข้าพระบาทได้ตรัสสั่งไว้ว่า ให้มอบราชสมบัติแก่ผู้มีความสามารถดังต่อไปนี้
๑. สามารถทำให้พระนางสีวลีราชธิดาทรงโปรดปรานได้
๒. สามารถทราบหัวนอนบังลังก์ ๔ เหลี่ยม
๓. สามารถยกธนูที่มีน้ำหนัก ๑,๐๐๐ แรงคนขึ้นได้
๔. สามารถนำขุมทรัพย์ ๑๓ แห่งออกมาได้
พระราชารับสั่งไว้ดังนี้ พระเจ้าข้า"
พระมหาชนกตรัสว่า "ข้อ ๑ ที่ว่า สามารถให้พระนางสีวลีราชธิดาโปรดปรานได้นั้น บัดนี้เราก็ได้ให้พระนางโปรดปรานเราได้แล้ว คือ ทรงถวายพระกรให้เราเกี่ยว ท่านทั้งหลายเห็นแล้วมิใช่หรือ ?"
อำมาตย์กราบทูลว่า "เห็นแล้ว พระเจ้าข้า"
พระมหาชนกตรัสว่า "ข้อ ๒ ที่ว่า สามารถทราบหัวนอนบัลลังก์ ๔ เหลี่ยมนั้น เราขอคิดดูก่อน " เมื่อทรงตรึกตรองอยู่สักครู่หนึ่ง จึงถอดเข็มทองคำบนพระเศียร ประทานที่พระหัตถ์ของพระนางสีวลี รับสั่งว่า "เธอจงวางเข็มทองคำนี้ไว้" พระนางสีวลีรับเข็มทองคำไปวางไว้ที่หัวนอนบัลลังก์ พระราชามหาชนกจึงทรงชี้ว่า "ด้านนั้นเป็นหัวนอน" เพราะทรงสังเกตด้านที่พระนางสีวลีวางเข็มทองคำไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น