วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๒ พระมหาชนก (หน้า ๘)


พระราชามหาชนกตรัสว่า  "ดูก่อน  พระเทวี  เราได้สละราชสมบัติแล้ว  ขอให้ประชาชนชาวเมืองยก
ทีฆาวุราชกุมารขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติแทนเราเถิด

พระนางสีวลีบรมราชเทวีกราบทูลว่า  "ก็เมื่อพระทูลกระหม่อมทรงผนวชเสียก่อนฉะนี้  หม่อมฉันและประชาชนจะปฏิบัติอย่างไร"

พระราชามหาชนกตรัสว่า  "เอาเถอะ  เราจะบอกให้  เมื่อประชาชนให้พระโอรสครองราชสมบัติแล้ว   ขอให้พระนางคอยตักเตือนพระราชโอรส  ให้ได้ศึกษาสำเหนียกราชประเพณีของกษัตริย์  และวิธีการปกครองราษฎร์ให้อยู่เย็นเป็นสุข  คอยตักเตือนห้ามปรามพระโอรสให้งดเว้นในทางทุจริตทางกาย  วาจา  ใจ  ให้ตั้งอยู่ในทิศพิธราชธรรมเถิด"

เมื่อทั้งสองพระองค์ตรัสโต้ตอบกันอยู่ก็ถึงเวลาพลบ  พระนางสีวลีจึงไปตั้งค่ายประทับอยู่  ณ  ที่แห่งหนึ่ง พระราชามหาชนกประทับที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง  ประทับอยู่จนตลอดคืน

รุ่งเช้า  พระราชามหาชนกเสด็จดำเนินไปตามหนทาง  พระนางสีวลีพร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพารก็เสด็จตามไปภายหลัง  กษัตริย์ทั้งสองเสด็จไปถึงถูนนคร  พอดีได้เวลาภิกขาจาร

ขณะนั้น  ได้มีชายผู้หนึ่งซี้อก้อนเนื้อชิ้นใหญ่มาจากโรงฆ่าสัตว์  แล้วเอาไม้เสียบย่างให้สุก  วางบนพื้นกระดานเพื่อจะให้เย็น  ขณะที่ชายผู้นั้นเผลอ  สุนัขตัวหนึ่งก็มาคาบเอาก้อนเนื้อนั้นไป  ชายเจ้าของเนื้อไล่สุนัข  เมื่อเห็นว่าไม่ทันแน่ก็กลับ  ฝ่ายสุนัขวิ่งมาพอดีพบพระราชามหาชนกกับพระนางสีวลีข้างหน้า  จึงตกใจทิ้งก้อนเนื้อหนีไป  พระราชามหาชนกทอดพระเนตรเห็นก้อนเนื้อที่สุนัขทิ้งไว้  ทรงดำริว่า  "ก้อนเนื้อชิ้นนี้สุนัขนำมาทิ้งไว้  ทั้งไม่มีเจ้าของติดตามมา  เราจักพิจารณาก้อนเนื้อชิ้นนี้นำไปเป็นอาหาร"  เมื่อดำริเช่นนั้นแล้ว  จึงเสด็จไปหยิบเอาก้อนเนื้อนั้นมาปัดฝุ่น  ใส่ก้อนเนื้อลงในบาตร  แล้วประทับนั่งเสวยก้อนเนื้อนั้นตามแบบสมณะ

พระนางสีวลีทอดพระเนตรเห็นพระราชสามีเสวยก้อนเนื้อที่สุนัขคาบมาทิ้งไว้นั้น  จึงทรงดำริว่า  "ถ้าพระสวามีของเรายังคงปรารถนาจะครองราชสมบัติอยู่  คงจะไม่เสวยก้อนเนื้อเช่นนี้  ซึ่งแสนที่จะสกปรกและน่าเกลียด  ทั้งเป็นเดนของสุนัข  แต่พระองค์กลับเสวยได้  น่าที่พระองค์จะไม่ทรงคิดกลับไปครองราชสมบัติและเป็นพระราชสามีของเราเป็นแน่แล้ว"  เมื่อดำริดังนั้น  จึงกราบทูลว่า  "โอ  พระทูลกระหม่อม  ช่างเสวยเนื้อที่สกปรกอย่างนั้นได้"

พระราชาตรัสว่า  "พระเทวีเอ๋ย  ไม่รู้จักบิณฑบาตพิเศษเพราะความโง่เขลาของเธอ"  แล้วพระองค์ก็เสวยก้อนเนื้อ  ปรากฏมีรสโอชา  เมื่อเสวยเสร็จแล้วก็เสด็จดำเนินต่อไป  พระนางสีวลีพร้อมด้วยข้าราชบริพารก็เสด็จตามไปด้วย  เมื่อเสด็จถึงประตูถูนนคร  ทอดพระเนตรเห็นเด็กหญิงคนหนึ่ง  เอากระด้งน้อย ๆ  ฝัดทรายเล่นอยู่  กำไลที่สวมอยู่ที่ข้อมือข้างหนึ่งมีเสียงดัง  ส่วนที่สวมอยู่อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงดัง  พระราชามหาชนกทรงทราบเหตุที่เป็นดังนั้น  จึงทรงดำริว่า  "เราจะเข้าไปถามเด็กหญิงเพื่อให้เธอตอบเรื่องกำไลมือข้างหนึ่งมีเสียง  อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียง  อาจเกิดประโยชน์ในทางคติธรรมแก่พระนางสีวลีและผู้ติดตามบ้าง"  เมื่อทรงดำริดังนี้  จึงเสด็จเข้าไปตรัสถามเด็กหญิงนั้นว่า  "นี่แน่ะหนู  เราอยากจะถามว่า  เพราะเหตุใดกำไลของหนูข้างหนึ่งจึงมีเสียงดัง  อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงดัง"

เด็กหญิงนั้นทูลว่า  "ข้าแต่ท่านนักบวช  กำไลมือที่ท่านได้ยินเสียงนั้น  เพราะมันกระทบกัน  คือ  มี  ๒  อัน  ส่วนอีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงนั้น  เพราะมีอันเดียว  ก็เหมือนคนนั้นแหละเจ้าค่ะ  ถ้าอยู่กันตั้งแต่ ๒  คนขึ้นไป  ก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกัน  ถ้าอยู่คนเดียวก็สงบ  เพราะไม่รู้ว่าจะไปกระทบกับใคร  เป็นดังนี้แหละเจ้าค่ะ"

พระมหาชนกได้สดับธรรมของเด็กหญิงนั้น  เพื่อจะให้เกิดคติแก่พระนางสีวลี  จึงตรัสว่า  "ดูก่อน  พระนาง  เธอได้ยินถ้อยคำที่เด็กนั้นกล่าวหรือไม่  เด็กหญิงเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดา  ยังพูดให้เราได้คิด  คล้ายกับเธอจะติเตียนเรา  ที่เห็นเราเป็นนักบวช  แต่ก็มีผู้คนมากมายติดตามเรามา  ซึ่งผิดวิสัยของนักบวชที่ดี  ตามธรรมดาจะต้องอยู่ผู้เดียวอย่างสงบ  แต่นี่กลับมีเธอเป็นต้นติดตามมา  ซึ่งไม่น่าดูเสียเลย  ต่อไปนี้เธออย่าเรียกเราว่า  เป็นพระสวามีและเราก็จะไม่ถือว่า  เธอเป็นมเหสีอีกต่อไป

พระนางสีวลีบรมราชเทวีได้สดับพระดำรัสดังนั้น  จึงกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม  ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ขอให้แยกทางกันได้  เชิญพระองค์เสด็จไปทางขวา  หม่อมแันเป็นสตรีไม่คู่ควรกับพระองค์จะไปทางซ้าย"  พระนางกราบทูลด้วยความน้อยพระทัย  อันเป็นลักษณะของสตรีทั่ว ๆ ไป  แต่ครั้นพระราชาเสด็จไป  พระนางก็ไม่สามารถจะกลั้นความเศร้าโศกอาลัยอยู่ได้  จึงเสด็จตามพระราชสามีไปอีก  เมื่อพระราชาเสด็จไปถึงประตูบ้านนายช่างศร  ทอดพระเนตรเห็นนายช่างศรเอาลูกศรลนที่ถ่านเพลิงแล้วเอาน้ำข้าวทาลูกศรเล็งดัดลูกศรอยู่  จึงตรัสถามว่า  "ดูก่อน  นายช่างศร  เพราะเหตุไรท่านจึงหลับตาข้างหนึ่งเล็งดูลูกศร"

นายช่างศรกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระสมณะ  ถ้าเล็งด้วยตาทั้งสองก็จะดูพร่าไป  มองไม่เห็นว่าตรงไหนคด  ตรงไหนตรง  ถ้าหลับตาข้างหนึ่งก็จะรู้ได้ถึงตอนที่คด  แล้วก็ดัดให้ตรงตามประสงค์  ข้าแต่สมณะ  ก็เหมือนคนสองคนอยู่ด้วยกัน  ก็มีแต่ความขัดแย้งกัน  ถ้าอยู่คนเดียวก็จะไม่ต้องขัดแย้งกับใคร  ท่านสมณะ  ถ้าท่านประสงค์จะไปในทางที่ชอบ  ก็ควรอยู่แต่ผู้เดียวเถิด"

พระราชามหาชนกตรัสถามพระนางสีวลีว่า  "เธอได้ยินถ้อยคำหรือเปล่า  ช่างศรเป็นเพียงบุคคลธรรมดา  ยังพูดจามีคติ  ถ้ากระไรเราทั้งสองควรแแยกทางกันเถิด"

พระนางสีวลีกราบทูลด้วยความน้อยพระทัยเป็นอย่างยิ่งว่า  "ตั้งแต่นี้ไป  เป็นอันหมดวาสนาที่จะได้อยู่ร่วมกับพระองค์แล้ว"  ตรัสได้เท่านั้นก็ถึงวิสัญญีภาพล้มลง

พระราชามหาชนกทรงทราบว่า  พระนางสีวลีถึงวิสัญญี  ก็รีบสาวพระบาทเข้าป่าใหญ่  พวกอำมาตย์ราชเสวกต่างพยาบาลพระนางจนพระนางได้สติฟื้นพระองค์ขึ้น  ตรัสถามว่า  "พระราชสามีของเราเสด็จไปทางไหน  พวกท่านจงเที่ยวตามดูที"  อำมาตย์ราชเสวกต่างก็พากันวิ่งข้างโน้นบ้างข้างนี้บ้าง  ไม่พบพระราชา  ก็กลับมากราทูลพระนางสีวลีให้ทรงทราบ  พระนางปริเทวนาการร่ำไห้  โปรดให้สร้างเจดีย์พระราชาประทับยืน  แล้วบูชาด้วยของหอมและดอกไม้  เสร็จแล้วก็เสด็จกลับกรุงมิถิลาพร้อมด้วยหมู่อำมาตย์ราชเสวก

ฝ่ายพระราชามหาชนกเสด็จเข้าไปประทับ  ณ  ป่าหิมพานต์  เจริญอภิญญาสมาบัติให้เกิดภายใน  ๗  วัน  มิได้เสด็จกลับมาสู่แดนมนุษย์อีก  พระนางสีวลีเมื่อเสด็จกลับนครแล้ว  พระนางยังทรงอาลัยในพระสวามีอยูมิรู้หาย  ได้โปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นอีกหลายองค์  เช่น  ที่ที่พระราชาเสวยก้อนเนื้อ  ที่ตรัสกับเด็กหญิง  ที่ตรัสกับนายช่างศร  เป็นต้น  แล้วบูชาด้วยดอกไม้ของหอมเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระราชสวามี  ครั้นต่อมา  ก็ได้อภิเษกฑีฆาวุราชกุมารเป็นพระราชาครองมิถิลานคร  ส่วนพระนางเป็นดาบสินีเสด็จประทับอยู่  ณ  พระราชอุทยาน  ทรงทำกสิณบริกรรมจนได้บรรลุฌาน  ทั้งพระราชามหาชนกและพระนางสีวลีได้ปฏิบัติสมณกิจไม่มีเสื่อมคลาย  ไม่มีด่าง  ไม่ม่พร้อย  เมื่อสิ้นอายุก็เสด็จสู่พรหมโลก

เรื่องนี้เก็บความจากมหาชนกชาดก  คติธรรมที่ได้จากเรื่อนี้  คือ

ผลแห่งความเพียร

การไม่ทอดทิ้งที่จะทำความดี  แม้ในขณะที่ได้รับทุกข์

ความไม่เมาในยศศักดิ์สมบัติ  ซึ่งล้วนแต่จะทำให้มีความกังวล



จบบริบูรณ์













ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น