วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑. พระเตมีย์ (ใบ้) (หน้า ๔)


เมื่อราตรีผ่านไป  รุ่งเช้าพระชนนีทรงสรงน้ำให้พระราชโอรส  แต่งองค์ทรงเครื่อง  อุ้มพระราชโอรสให้ประทับบนพระเพลา  สวมกอดพระราชโอรสไว้

ฝ่ายสุนันทสารถีเตรียมจัดรถแต่เช้าตรู่  แต่แทนที่จะเทียมม้าอวมงคลที่รถอวมงคล  กลับเทียมม้ามงคลที่รถมงคล  แล้วนำไปจอดที่ประตูวัง  ตนเองเดินขึ้นสู่พระมหาปราสาท  เข้าห้องบรรทมของพระเตมีย์ราชกุมาร  ถวายบังคมพระราชเทวี  พลางกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่พระแม่เจ้า  ขอพระแม่เจ้าอย่าได้กริ้วข้าพระบาทเลย  ข้าพระบาททำตามพระราชบัญชา  พระเจ้าข้า"  กราบทูลแล้ว  ก็กันพระนางออกจากพระโอรส  อุ้มพระเตมียราชกุมารเหมือนประคองกำดอกไม้เดินลงจากปราสาท

ขณะนั้น  พระนางจันทรเทวีทรงสยายพระเกศ  ประหารพระอุระทรงร่ำไห้ด้วยพระสุรเสียงดัง  สลบไสลไปที่พื้นพระมหาปราสาท  พร้อมด้วยหมู่นางสนมกำนัล

ตอนนั้น  พระเตมีย์ราชกุมารทอดพระเนตรเห็นพระราชมารดาทรงกรรแสง  แล้วพระทัยสั่นระริกประหนึ่งจะแตกทำลายไปเป็น  ๗  เสี่ยง  ทรงดำริว่า  "ถ้าเราไม่พูดกับเสด็จแม่  น่าที่เสด็จแม่ของเราจักมีพระทัยสลายวายพระชนม์เป็นแน่"  ทรงขยับจะตรัสกับพระมารดา  แต่แล้วก็ทรงหวนคิดขึ้นว่า  "ถ้าเราพูด  ความพยายามที่เรากระทำมาตลอด  ๑๖  ปี  ต้องไร้ผล  แต่เมื่อเราไม่พูดจะเป็นที่พึ่งพำนักแก่เราเอง  แก่พระชนกพระชนนีและมหาชน"  ทรงข่มความโศกเสียไม่ตรัสกับพระชนนี

สุนันทสารถีอุ้มพระองค์ใส่รถแล้ว  ทั้ง ๆ  ที่คิดว่า  จะกลับรถไปทางประตูด้านตะวันตก  แต่ก็ประหลาดกลับขับรถมุ่งหน้าไปทางประตูด้านตะวันออกโดยไม่รู้ตัว

พอล้อรถกระทบธรณีประตูเมือง  พระเตมียราชกุมารได้ยินเสียง  ทรงดำริว่า  "เออ  ความปรารถนาแห่งหัวใจของเราถึงที่สุดแล้ว"  ทรงโสมนัสยิ่งกว่าตอนที่ทรงทราบเรื่องว่าจะถูกนำไปฝังนั้นเสียอีก

สุนันทสารถีขับรถเรื่อยมาไกลจากพระนครไปถึง  ๓  โยชน์  ถึงป่าทึบแห่งหนึ่งก็สำคัญว่าเป็นป่าช้าผีดิบ  เลี้ยวรถหลบลงจากทาง  จอดไว้ข้างทาง  ตนเองโดดลงจากรถ  ปลดเครื่องทรงพระเตมียราชกุมารห่อผ้าวางไว้  แล้วคว้าจอบเดินไปขุดหลุดอยู่ไม่ห่างรถ

ทีนั้น  พระเตมีราชกุมารทรงดำริว่า  "ตอนนี้เป็นเวลาแห่งความพยายามของเรา  เราทำความพากเพียรมา  ๑๖  ปี  ไม่เคยเคลื่อนไหวมือและเท้าเลย  กำลังของเราจะมีหรือไม่  ต้องลองดู"  ทรงดำริแล้วเสด็จลุกขึ้น  ทรงลูบพระหัตถ์ขวาด้วยพระหัตถ์ซ้าย  แล้วเปลี่ยนพระหัตถ์ซ้ายลูบพระหัตถ์ขวา  เอาพระหัตถ์ทั้งสองนวดพระบาททั้งสอง  ทรงเห็นความคล่องแคล่วเป็นไปโดยปราศจากขัดข้อง  ก็เกิดพระดำริจะลงจากรถ  ก็ก้าวพระบาทลงมาโดยสะดวก  ทรงดำเนินไปมา  ๒- ๓  เที่ยว  ทรงทราบว่า  กำลังของพระองค์ยังมีพอที่จะเดินไปตลอดทางไกล  ๑๐๐  โยชน์ได้ในวันเดียว  ทรงใคร่ครวญต่อไปอีกว่า  "ถ้านายสารถีจะปลุกปล้ำเรา  เราจะมีกำลังพอจะต่อต้านกับเขาหรือไม่  ต้องลองดู"  ทรงจับท้ายรถยกขึ้น  ปรากฏว่าเบาเหมือนรถเด็กเล่น  ทรงยืนควงรถไปรอบ ๆ  ทรงกำหนดพระทัยว่า  "เราพอมีกำลังต่อต้านกับนายสารถีได้แน่"  ต่อจากนั้นก็เกิดพระดำริจะแต่งพระองค์

ทันใดนั้น  ทิพยอาสน์ของท้าวสักกะก็แสดงอาการร้อน  ท้าวเธอทรงพิจารณาดู  ก็ทรงทราบว่า  "เตมียราชกุมารปรารถนาจะแต่งองค์ทรงเครื่อง  จะไปแต่งเครื่องทรงของมนุษย์ทำไมเล่า  เราจักให้แต่งองค์ด้วยเครื่องประดับอันเป็นทิพย์"  ดำริแล้วตรัสเรียกวิษณุกรรมเทพบุตรมาเฝ้า  ให้นำเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ไปแต่งองค์พระเตมียราชกุมาร

วิษณุกรรมเทพบุตรรับพระดำรัส  เหาะลงมาโลกมนุษย์  มาแต่งพระองค์พระเตมียราชกุมารด้วยเครื่องทรงอันเป็นทิพย์  งดงามปานองค์ท้าวสักกะทีเดียว  เสร็จแล้วก้กลับไปดาวดึงส์เทวโลกตามเดิม

พระราชกุมารเตมีย์เสด็จดำเนินไปที่นายสารถีขุดหลุม  ประทับยืนที่ปากหลุม  มีพระดำรัสถามว่า  "ดูรา นายสารถี  ท่านขุดหลุมอย่างรีบร้อนทำไมหนอ  พ่อเพื่อนยาก  เราขอถาม  ท่านบอกเถิดว่าจักขุดหลุมไปทำไม ?"

นายสารถีก้มหน้าก้มตาขุดหลุมเรื่อย  ไม่เหลียวขึ้นมาดู  ได้ยินเสียงถามก็ตอบไปทันที  ทั้ง ๆ  ที่ก้มหน้าอยู่ว่า  "พระโอรสของพระราชาเกิดเป็นง่อย  เป็นใบ้  ไม่มีจิตใจ  ข้าพเจ้าถูกพระราชบังคับให้ฝังพระโอรสนั้นเสียในป่า"

พระราชกุมารเตมีย์ตรัสว่า  "นายสารถี  ข้าพเจ้าไม่หนวก  ไม่ใบ้  ไม่ง่อย  ทั้งไม่พิกลพิการ  ถ้าท่านฝังข้าพเจ้าในป่าละก้อ  ท่านก็น่าจะต้องประพฤติการอันไม่เป็นธรรม  เชิญท่านดูแขนของข้าพเจ้าสิ  เชิญท่านฟังคำพูดของข้าพเจ้าสิ  ท่านจะทำกิจที่ไม่เป็นธรรมแน่นอน  ถ้าท่านฝังข้าพเจ้าเสีย"

นายสุนันทะสงสัยว่า  "นี่ใครเล่าหนอ  พอมาถึงก็พรรณาตัวเองทีเดียว"  เขาวางมือจากการขุดหลุมแหงนหน้าขึ้นมองดู  เห็นรูปสมบัติของพระเตมีย์แล้วก็ยิ่งสงสัย  "ใครกันหนอ  เป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดาหนอ งามเหลือเกิน"  เมื่อไม่รู้ก็เลยถามว่า  "ท่านเป็นเทวดา  เป็นคนธรรพ์  หรือเป็นท้าวสักกะ  ท่านเป็นใคร ทำไฉนข้าพเจ้าถึงจะรู้จักท่าน ?"

พระเตมีย์ตรัสบอกอย่างแจ่มแจ้งว่า  "ดูรา  นายสารถี  ข้าพเจ้าไม่ใช่เทวดา  ไม่ใช่คนธรรพ์  ทั้งไม่ใช่ท้าวสักกะ  ข้าพเจ้าเป็นโอรสของพระเจ้ากาสิกราช  เป็นผู้ที่ท่านกำลังจะขุดหลุมฝังเสียนั่นแหละ  ข้าพเจ้าเป็นบุตรของพระราชาที่ท่านเข้าไปรับใช้  ถ้าท่านฝังข้าพเจ้า  ท่านก็ต้องประพฤติกิจอันไม่เป็นธรรม  เพราะบัณฑิตได้กล่าวไว้ว่า  "บุคคลนั่งหรือนอนในร่มเงาของต้นไม้ใด  ไม่พึงลิดก้านรอนกิ่งของต้นไม้นั้น  ข้าพเจ้าเปรียบเหมือนกิ่งไม้  นายสารถีเอ๋ย  ท่านเปรียบเหมือนคนอาศัยร่มไม้  ถ้าท่านฝังข้าพเจ้าเสีย  ท่านก็ประพฤติกิจไม่เป็นธรรม"






























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น