พระเจ้ากาสิกราชทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามว่า "ถ้าเช่นนั้น ควรจะทำอย่างไรกันจึงจะดี ?"
พวกพราหมณ์กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ ถ้าพระราชกุมารนี้ยังอยู่ในพระราชมณเฑียร จะเกิดอันตราย
๓ ประการ คือ อันตรายต่อชีวิตของพระองค์ ๑ อันตรายต่อเศวตรฉัตร ๑ อันตรายต่อพระมเหสี ๑
เพราะฉะนั้น ขอพระองค์อย่าได้รีรอ โปรดสั่งให้เตรียมรถอวมงคลเทียมม้าอวมงคล แล้วให้พระราชโอรสบรรทมบนรถนั้น ให้สารถีขับรถออกทางประตูด้านตะวันตก นำไปฝังเสียที่ป่าช้าผีดิบ ถ้าทำดังนี้ จะเป็นสวัสดิมงคลแด่พระองค์ แด่เศวตรฉัตร และแด่พระมเหสี
พระเจ้ากาสิกราชได้สดับคำของพราหมณ์เหล่านั้น ทรงสะดุ้งพระทัยเกรงว่า จะเกิดอันตรายดังที่พวกพราหมณ์ทูล จึงรับสั่งให้จัดการตามที่พราหมณ์แนะนำ
พระนางจันทรเทวีเมื่อได้ทรงทราบถึงพระกระแสรับสั่งเช่นนั้น พระนางก็รีบเสด็จไปเฝ้าพระสวามี ถวายบังคม แล้วกราบทูลว่า "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม พระองค์ได้พระราชทานพรแก่หม่อมฉันไว้ หม่อมฉันได้รับและถวายคืนทูลกระหม่อมไว้ก่อน แต่ยังมิได้ทูลขอ บัดนี้ขอทูลกระหม่อมได้โปรดพระราชทานพรแก่หม่อมฉันเถิด"
พระเจ้ากาสิกราชมีพระราชดำรัสว่า "พระนางจะปรารถนาอะไร ขอให้เลือกขอได้ตามชอบใจเถิด"
พระนางกราบทูลว่า "ขอได้โปรดประทานราชสมบัติให้ราชโอรสของหม่อมฉันเถิด"
พระเจ้ากาสิกราชตรัสว่า "อนุญาตไม่ได้ดอกพระนาง เพราะราชโอรสของเราเป็นกาลกิณี"
พระนางกราบทูลวิงวอนว่า "เมื่อไม่พระราชทานให้ราชโอรสได้ครองราชสมบัติตลอดชีพ ก็ขอได้โปรดพระราชทานเพียง ๗ วันเถิด พระเจ้าข้า"
พระเจ้ากาสิกราชทรงยินยอม พระนางตรัสสั่งให้ตกแต่งพระเตมียราชกุมารด้วยเครื่องทรงของกษัตริย์ จัดพิธีราชาภิเษก และพระนางให้ป่าวร้องไปทั่วพระนครว่า "บัดนี้ ราชสมบัติแห่งกรุงมิถิลาเป็นของพระเตมียราชกุมารแล้ว" และให้พระเตมียราชกุมารขึ้นประทับบนคอช้างข้างต้น ยกพระเศวตรฉัตรขึ้นเบื้องพระเศียร เสด็จเลียบพระนครตามขัตติยราชประเพณี
เมื่อเลียบพระนครแล้ว พระนางจันทรเทวีทรงให้อุ้มพระเตมียราชกุมารเข้าสู่ที่บรรทม ทรงอ้อนวอนราชโอรสตลอดคืนว่า "พ่อเตมียราชกุมารลูกรักของแม่ ตลอดเวลา ๑๖ ปี แม่ไม่เป็นอันหลับอันนอน แม่ร้องไห้จนตาทั้งสองของแม่ฟกช้ำ หัวใจของแม่จะแตกออกด้วยความโศก ลูกรักของแม่เอ๋ย แม่รู้อยู่เต็มอกว่า ลูกของแม่ไม่ใช่คนง่อย ไม่ใช่คนใบ้ ไม่ใช่คนหูหนวก ลูกอย่าทำให้แม่ไร้ที่พึ่งเลย" พระนางพร่ำรำพันวิงวอนอยู่ตลอด ๕ วัน เตมียราชกุมารทรงสำนึกในพระคุณของพระมารดา ทรงเห็นพระทัยพระมารดาที่มีความรักลูกสงสารลูก แต่เพราะกลัวตกนรก ต้องการจะพ้นไปจากเรือนฆ่าโจร จึงต้องอดทนตลอดมาไม่ทรงเจรจา ไม่ทรงเคลื่อนไหวพระหัตถ์พระบาท
ครั้นถึงวันที่ ๖ ครบกำหนด พระเจ้ากาสิกราชรับสั่งให้นายสุนันทสารถีมาเฝ้า มีพระดำรัสว่า "สุนันท์ พรุ่งนี้เช้า เจ้าจงเทียมม้าอวมงคลคู่หนึ่ง ที่รถอวมงคล ให้เตมีย์ลูกเรานอนบนรถนั้น แล้วนำออกไปทางประตูด้านทิศตะวันตก แล้วประกาศขึ้นดัง ๆ ว่า 'ตัวกาลกิณี' เมื่อถึงป่าช้าผีดิบ จงขุดหลุมอุ้ม
เตมียกุมารโยนลงไปในหลุมนั้น เอาสันจอบทุบหัวให้ตายแล้วเอาดินกลบ เมื่อเสร็จแล้วเจ้าจงไปอาบน้ำแล้วกลับบ้าน"
สุนันทสารถีรับพระบรมราชโองการแล้วกลับจากที่เฝ้า เตรียมการตามพระกระแสรับสั่ง
ฝ่ายพระนางจันทรเทวีได้สดับพระราชดำรัสของพระสวามี ทรงเศร้าโศกปานประหนึ่งพระทัยจะแตกทำลายลงไป เสด็จไปหาราชโอรส ตรัสรำพันวิงวอนอยู่ตลอดคืนว่า "ลูกรักของแม่ พระชนกของลูกมีพระกระแสรับสั่งให้ฝังลูกที่ป่าช้าผีดิบในวันพรุ่งนี้เช้า ลูกของแม่เอ๋ย พรุ่งนี้เช้าลูกก็จะต้องตายแล้ว"
พระเตมียราชกุมารได้สดับดังนั้น มีพระทัยโสมนัสแช่มชื่น ดำริว่า "ความพยายามที่เราทำมาตลอด ๑๖ ปี จะสำเร็จสมความปรารถนาในวันพรุ่งนี้เช้า" ทรงดำริอยู่เช่นนี้ พระทัยก็เปี่ยมไปด้วยปีติโสมนัส แต่พระทัยของพระชนนีแทบจะแตกทำลายไปด้วยความทุกข์ พระเตมียราชกุมารทรงเห็นพระทัยของพระชนนี ทรงสงสารเป็นที่สุด ทรงดำริว่า "ถ้าเราพูด ความปรารถนาของเราก็จะไม่สำเร็จ" แล้วก็ทรงดุษณีภาพไม่ตรัสกับพระชนนี
พวกพราหมณ์กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ ถ้าพระราชกุมารนี้ยังอยู่ในพระราชมณเฑียร จะเกิดอันตราย
๓ ประการ คือ อันตรายต่อชีวิตของพระองค์ ๑ อันตรายต่อเศวตรฉัตร ๑ อันตรายต่อพระมเหสี ๑
เพราะฉะนั้น ขอพระองค์อย่าได้รีรอ โปรดสั่งให้เตรียมรถอวมงคลเทียมม้าอวมงคล แล้วให้พระราชโอรสบรรทมบนรถนั้น ให้สารถีขับรถออกทางประตูด้านตะวันตก นำไปฝังเสียที่ป่าช้าผีดิบ ถ้าทำดังนี้ จะเป็นสวัสดิมงคลแด่พระองค์ แด่เศวตรฉัตร และแด่พระมเหสี
พระเจ้ากาสิกราชได้สดับคำของพราหมณ์เหล่านั้น ทรงสะดุ้งพระทัยเกรงว่า จะเกิดอันตรายดังที่พวกพราหมณ์ทูล จึงรับสั่งให้จัดการตามที่พราหมณ์แนะนำ
พระนางจันทรเทวีเมื่อได้ทรงทราบถึงพระกระแสรับสั่งเช่นนั้น พระนางก็รีบเสด็จไปเฝ้าพระสวามี ถวายบังคม แล้วกราบทูลว่า "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม พระองค์ได้พระราชทานพรแก่หม่อมฉันไว้ หม่อมฉันได้รับและถวายคืนทูลกระหม่อมไว้ก่อน แต่ยังมิได้ทูลขอ บัดนี้ขอทูลกระหม่อมได้โปรดพระราชทานพรแก่หม่อมฉันเถิด"
พระเจ้ากาสิกราชมีพระราชดำรัสว่า "พระนางจะปรารถนาอะไร ขอให้เลือกขอได้ตามชอบใจเถิด"
พระนางกราบทูลว่า "ขอได้โปรดประทานราชสมบัติให้ราชโอรสของหม่อมฉันเถิด"
พระเจ้ากาสิกราชตรัสว่า "อนุญาตไม่ได้ดอกพระนาง เพราะราชโอรสของเราเป็นกาลกิณี"
พระนางกราบทูลวิงวอนว่า "เมื่อไม่พระราชทานให้ราชโอรสได้ครองราชสมบัติตลอดชีพ ก็ขอได้โปรดพระราชทานเพียง ๗ วันเถิด พระเจ้าข้า"
พระเจ้ากาสิกราชทรงยินยอม พระนางตรัสสั่งให้ตกแต่งพระเตมียราชกุมารด้วยเครื่องทรงของกษัตริย์ จัดพิธีราชาภิเษก และพระนางให้ป่าวร้องไปทั่วพระนครว่า "บัดนี้ ราชสมบัติแห่งกรุงมิถิลาเป็นของพระเตมียราชกุมารแล้ว" และให้พระเตมียราชกุมารขึ้นประทับบนคอช้างข้างต้น ยกพระเศวตรฉัตรขึ้นเบื้องพระเศียร เสด็จเลียบพระนครตามขัตติยราชประเพณี
เมื่อเลียบพระนครแล้ว พระนางจันทรเทวีทรงให้อุ้มพระเตมียราชกุมารเข้าสู่ที่บรรทม ทรงอ้อนวอนราชโอรสตลอดคืนว่า "พ่อเตมียราชกุมารลูกรักของแม่ ตลอดเวลา ๑๖ ปี แม่ไม่เป็นอันหลับอันนอน แม่ร้องไห้จนตาทั้งสองของแม่ฟกช้ำ หัวใจของแม่จะแตกออกด้วยความโศก ลูกรักของแม่เอ๋ย แม่รู้อยู่เต็มอกว่า ลูกของแม่ไม่ใช่คนง่อย ไม่ใช่คนใบ้ ไม่ใช่คนหูหนวก ลูกอย่าทำให้แม่ไร้ที่พึ่งเลย" พระนางพร่ำรำพันวิงวอนอยู่ตลอด ๕ วัน เตมียราชกุมารทรงสำนึกในพระคุณของพระมารดา ทรงเห็นพระทัยพระมารดาที่มีความรักลูกสงสารลูก แต่เพราะกลัวตกนรก ต้องการจะพ้นไปจากเรือนฆ่าโจร จึงต้องอดทนตลอดมาไม่ทรงเจรจา ไม่ทรงเคลื่อนไหวพระหัตถ์พระบาท
ครั้นถึงวันที่ ๖ ครบกำหนด พระเจ้ากาสิกราชรับสั่งให้นายสุนันทสารถีมาเฝ้า มีพระดำรัสว่า "สุนันท์ พรุ่งนี้เช้า เจ้าจงเทียมม้าอวมงคลคู่หนึ่ง ที่รถอวมงคล ให้เตมีย์ลูกเรานอนบนรถนั้น แล้วนำออกไปทางประตูด้านทิศตะวันตก แล้วประกาศขึ้นดัง ๆ ว่า 'ตัวกาลกิณี' เมื่อถึงป่าช้าผีดิบ จงขุดหลุมอุ้ม
เตมียกุมารโยนลงไปในหลุมนั้น เอาสันจอบทุบหัวให้ตายแล้วเอาดินกลบ เมื่อเสร็จแล้วเจ้าจงไปอาบน้ำแล้วกลับบ้าน"
สุนันทสารถีรับพระบรมราชโองการแล้วกลับจากที่เฝ้า เตรียมการตามพระกระแสรับสั่ง
ฝ่ายพระนางจันทรเทวีได้สดับพระราชดำรัสของพระสวามี ทรงเศร้าโศกปานประหนึ่งพระทัยจะแตกทำลายลงไป เสด็จไปหาราชโอรส ตรัสรำพันวิงวอนอยู่ตลอดคืนว่า "ลูกรักของแม่ พระชนกของลูกมีพระกระแสรับสั่งให้ฝังลูกที่ป่าช้าผีดิบในวันพรุ่งนี้เช้า ลูกของแม่เอ๋ย พรุ่งนี้เช้าลูกก็จะต้องตายแล้ว"
พระเตมียราชกุมารได้สดับดังนั้น มีพระทัยโสมนัสแช่มชื่น ดำริว่า "ความพยายามที่เราทำมาตลอด ๑๖ ปี จะสำเร็จสมความปรารถนาในวันพรุ่งนี้เช้า" ทรงดำริอยู่เช่นนี้ พระทัยก็เปี่ยมไปด้วยปีติโสมนัส แต่พระทัยของพระชนนีแทบจะแตกทำลายไปด้วยความทุกข์ พระเตมียราชกุมารทรงเห็นพระทัยของพระชนนี ทรงสงสารเป็นที่สุด ทรงดำริว่า "ถ้าเราพูด ความปรารถนาของเราก็จะไม่สำเร็จ" แล้วก็ทรงดุษณีภาพไม่ตรัสกับพระชนนี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น