วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม (หน้า ๔)

พอรำพันจบก็แน่นิ่งไป  ฝ่ายพระราชาปิลยักขราชได้สดับคำรำพันของสุวรรณสามเช่นนั้น  ทรงดำริว่า  "ชายผู้มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาเยี่ยมยอด  เมื่อได้รับทุกข์ก็ร่ำรำพันถึงบิดามารดา  เราเป็นผู้ผิด  ทำร้ายผู้มีคุณธรรม  เราจะรับบำรุงบิดามารดาของชายผู้นี้ให้ดีเท่ากับที่เขาบำรุงมา"  แล้วตรัสปลอบสุวรรณสามว่า

"พ่อสุวรรณสาม  ท่านอย่าร่ำไรร้องไห้ไปเลย  เราจะรับเลี้ยงดูบิดามารดาของเจ้าให้เหมือนกับที่เจ้าปฏิบัติมา  เราทราบว่า  บิดามารดาของเจ้าอยู่ที่ป่าไหน  เราจะไปรับใช้ท่านเดี๋ยวนี้"

สุวรรณสามกุมารดีใจกราบทูลว่า  "ดีแล้วพระเจ้าข้า ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณา  โปรดเลี้ยงดูบิดามารดาของข้าพเจ้าด้วยเถิด  บิดามารดาของข้าพระองค์อยู่ต่อจากนี้ไปไม่ไกลนัก  ประมาณกึ่งเสียงกู่ ขอเชิญเสด็จไปเถิด  พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงรับว่า  "เอาเถอะพ่อสุวรรณสาม  เราจะไปหาบิดามารดาเจ้าเดี๋ยวนี้  เจ้าจะสั่งอะไรถึงบิดามารดาบ้าง"

สุวรรณสามกุมารกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระองค์ขอสั่งฝากการกราบไหว้บิดามารดาไปด้วยเถิด  พระเจ้าข้า"

พอสุวรรณสามยกมือทั้งสองประนมแล้วกราบลง  ก็ล้มฟุบสลบไปด้วยแรงยาพิษที่อาบลูกศร  ปากปิด ตาหลับ  มือและเท้าแข็ง  ร่างกายโซมด้วยโลหิต

พระราชาปิลยักขราช  ทอดพระเนตรเห็นอาหารของสุวรรณสามเช่นนั้น  ทรงตกพระทัยและสงสารสุดกำลัง  ทรงลูบคลำพิจารณาลมอัสสาสะปัสสาสะของสุวรรณสาม  เห็นหมดลมทั้งร่างกายก็แข็ง  ทรงแน่พระทัยว่า  สุวรรสามกุมารสิ้นใจแล้ว  ไม่อาจที่จะทรงกลั้นความเศร้าโศกเสียพระทัยไว้ได้  พระหัตถ์ทั้งสองกุมพระเศียรแล้วก็ทรงปริเทวนาการคร่ำครวญว่า

"โอหนอ  เราผู้เป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่  สำคัญตนว่าจะ

ไม่แก่  ไม่ตาย  บัดนี้เราได้เห็นจริงแล้ว  เพราะได้เห็น

พ่อสุวรรณสามถึงแก่กรรม  อันความตายที่จะไม่มา

ถึงนั้นเป็นไม่มีแล้ว  แต่เราผู้ทำกรรมหนัก  เมื่อตาย

จะต้องไปนรกแน่นอน  เมื่อยังไม่ตายก็จะได้คำติเตียน

จากประชาชน  เราทำกรรมหนักหนอ"

จะกล่าวถึงนางเทพธิดา  พสุนธรี  สถิตอยู่  ณ  เขาคันธมาทน์  นางเคยเป็นมารดาของสุวรรณสามในอัตภาพที่ ๗  เมื่อทราบว่า  สุวรรณสามถูกพระราชาปิลยักขราชยิงล้มสลบอยู่ข้างหาดทรายฝั่งแม่น้ำ นางจึงรีบออกจากเขาคันธมาทน์ตรงไปยังฝั่งน้ำ  สถิตอยู่บนอากาศ  ไมปรากฏกาย  เปล่งเสียงออกมาทางอากาศว่า

"ข้าแต่พระราชา  พระองค์ทำผิดมากที่พระองค์

ทรงฆ่าสุวรรณาสาม  ผู้หาความผิดมิได้  มารดาบิดาของ

สุวรรณสามก็จะพลอยสิ้นชีวิตไปด้วย  เพราะความ

เศร้าโศกถึงบุตร  และอาจอดอาหารตาย  ทั้งพระองค์

ก็จะต้องตกนรก  มาเถิดพระราชา  ข้าพเจ้าจะถวาย

โอวาทให้พระองค์พ้นนรก  และเสด็จสู่สวรรค์  ขอให้

พระองค์ทรงเลี้ยงดูมารดาบิดาของสุวรรณสามซึ่ง

เสียตาทั้งสอง  ให้เหมือนกับที่สุวรรณสามเลี้ยงมาเถิด  

ท่านจะได้ไปสวรรค์เพราะเหตุนี้"

พระราชาปิลยักขราชได้สดับคำของเทพธิดาซึ่งไม่ปรากฏกายเช่นนั้น  ก็ทรงเห็นด้วย  รับที่จะเลี้ยงดูมารดาบิดาของสุวรรณสาม  และไม่ทรงคิดที่จะกลับเข้าพระนคร  เพราะทรงเห็นว่า  ราชสมบัติไม่มีประโยชน์อะไรแก่พระองค์  ก่อนจะเสด็จไป  ได้นำดอกไม้นานาชนิดมาเคารพ  ด้วยมั่นพระทัยว่า  สุวรรณสามสิ้นชีวิตแน่  เมื่อทำพิธีเสร็จก็ยกหม้อน้ำที่สุวรรณสามตักไว้นั้น  เสด็จไปหาบิามารดา  เมื่อถึงก็ประทับยืนอยู่หน้าประตูศาลา  วางหม้อน้ลง

ทุกุลดาบสนั่งอยู่ภายในอาศรม  ได้ยินเสียงเท้าคนขึ้นมา  ก็แน่ใจว่าไม่ใช่ฝีเท้าของสุวรรณสาม  เพราะฝีเท้าหนักมาก  จึงร้องถามไปว่า  "ใครนั่นมา  ไม่ใช่สุวรรณสามแน่  เพราะฝีเท้าหนักมาก  ลูกเราเดินเบาแทบไม่รู้สึก  ท่านเป็นใคร  มาธุระอะไรหรือ ?"

พระราชาปิลยักขราชได้สดับดังนั้น  ทรงดำริว่า  "หากเราไม่บอกความจริงว่า  เราเป็นราชา  บอกเพียงว่า  เราได้ฆ่าลูกท่านตาย  ดาบสดาบสินีก็จะโกรธและแสดงความหยาบคายแก่เรา  เราก็จะระงับความโกรธไม่อยู่  อาจคิดการรุนแรงกันต่อไป  ความดำริที่จะทำดีของเราจะเสียไป  เมื่อเราบอกความจริงว่า  เราเป็นราชา  อาจทำให้สองสามีภรรยาเกรงกลัว  ไม่กลัาพูดรุนแรงกับเรา"  ดำริดังนี้แล้วจึงตรัสว่า  "ข้าพเจ้าปิลยักขราช  เป็นราชาแห่งแคว้นกาสี  มาเที่ยวล่าเนื้อในป่านี้"

ทุกุลดาบสเมื่อทราบว่าเป็นพระราชา  ก็ก้มกราบถวายบังคมทูลว่า  "ข้าแต่พระราชาธิบดี  พระองค์เสด็จมาดีแล้ว  ขอพระองค์เสวยผลไม้เท่าที่มีอยู่  เช่น ผลมะพลับ  ผลมะหาด  ผลมะซาง  ขอทรงเลือกตาม
พระประสงค์เถิด  ข้าพระองค์ดีใจมากที่พระองค์เสด็จมาที่นี่  พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร  ๆ  มาก่อน  แม้เรื่องสุวรรณสามที่ถูกพระองค์ยิงก็ยังไม่ทรงบอก  ชวนดาบสคุยเรื่ออื่น  ตรัสถามว่า  "ท่านเสียจักษุทั้งสองคน  ก็ใครเล่าเป็นคนหาผลไม้มาเลี้ยงท่าน  ข้าพเจ้าเห็นผลไม้ที่วางไว้อย่างเรียบร้อยนี้  เข้าใจว่าคงมีคนตาดีจัดไว้แน่ ๆ "

ทุกูลดาบสกราบทูลว่า  "ข้าแต่สมมติราช  พ่อสุวรรณสามบุตรชายของข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำผลไม้มา  เวลาานี้กำลังไปตักน้ำที่ท่า  ไม่ช้าก็คงกลับ  พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงดำริว่า  ถึงเวลาที่จะบอกความจริงแก่ดาบสแล้ว  จึงตรัสว่า  "สุวรรณสามบุตรชายของท่านถูกลูกศรของข้าพเจ้าตายนอนจมโลหิตอยู่ที่ท่าน้ำนั่นเอง"

นางปาริกาดาบสินีซึ่งอยู่ใกล้ ๆ  พอได้ยินว่าสุวรรณสามถูกศรตาย  ก็รีบมาฟังความ  ถามทุกูลดาบสว่า  "ท่านพูดอยู่กับใครและใครมาบอกว่าพ่อสุวรรณสามถูกศรตาย  ใจข้าพเจ้าจะขาดอยู่แล้ว  ช่วยบอกมาไว ๆ เถิด"

ทุกูลดาบสสำรวมสติมั่นคง  ค่อย ๆ  พูดปลอบประโลมดาบสินี  "ปาริกาเอ๋ย  ผู้ที่พูดอยู่กับเรานี้  คือ  พระมหากษัตริย์แห่งกาสีนี้เอง  พระองค์เป็นผู้ยิงลูกเราตาย  แม่อย่าได้โกรธเคืองพระองค์ท่านเลย  นึกว่าเป็นเวรกรรมของลูกและของเราทั้งสองก็แล้วกัน"





















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น