วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม (หน้า ๑)


พระสุวรรณสาม

มีเรื่องเล่ามาแต่อดีตว่า  มีนายพรานสองสหายรักใคร่กันมา  มีบ้านอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ  สหายทั้งสองสัญญากันว่า  ถ้าฝ่ายหนึ่งมีลูกสาว  ฝ่ายหนึ่งมีลูกชายก็จะแต่งงานกัน  ครั้นกาลต่อมาสหายฝ่ายหนึ่งมีลูกชายให้ชื่อว่าา  "ทุกูลกุมาร"  อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกสาวให้ชื่อว่า  "ปาริกากุมารี"  เด็กชายและเด็กหญิงทั้งสองมีรูปโฉมงดงามน่ารัก  ถึงแม้ว่าทั้งสองจะเกิดในสกุลพราน  แต่ก็ไม่ทำปาณาติบาต  มั่นอยู่ในศีลในธรรม

เมื่อเด็กทั้งสองเจริญวัย  สมควรจะแต่งงานกันได้ตามประเพณี  นายพรานสองสหายจึงตกลงจะทำตามสัญญาที่ให้แก่กันไว้  ข้างบิดามารดาของทุกูลกุมารจึงพูดกับลูกชายว่า  "พ่อทุกูล  บัดนี้อายุพ่อก็สมควรจะมีคู่ได้แล้ว  บิดามารดาจะไปสู่ขอลูกสาวสหายฝั่งโน้นมาให้"

ทุกูลกุมารปิดหูทั้งสองแล้วพูดว่า "พ่อจ๋า  แม่จ๋า  ลูกไม่ต้องการแต่งงานดอกจ้ะ  อย่าพูดเรื่องแต่งงานกับลูกเลย"  แม้บิดามารดาจะชี้แจงเท่าไร ๆ  ทุกูลกุมารก็ไม่ปรารถนาจะแต่งงาน

ฝ่ายบิดามารดาของนางปาริกากุมารี ก็พูดกับลูกสาวว่า  "ลูกรัก  บิดามารดาจะยกลูกให้กับลูกชายของสายฝั่งโน้น  เขาเป็นคนดีมาก  รูปร่างก็งดงามองอาจ  เป็นคนมีศีลมีธรรม  ลูกสมควรจะแต่งงานกับเขา"

ปาริกากุมารีปิดหูทั้งสอง  พูดอย่างเดียวกับทุกูลกุมาร  คือ  ไม่ต้องการจะแต่งงาน

ถึงแม้ทุกูลกุมารและปาริกากุมารีไม่ประสงค์จะแต่งงานกัน  แต่บิดามารดาของทั้งสองฝ่ายก็จัดการแต่งให้กันจนได้  เพื่อไม่ให้เสียสัญญาที่ได้ให้แก่กันไว้

กุมารกุมารีแม้อยู่ร่วมกัน  ก็มิได้ร่วมประเวณีกัน  ต่างคิดตรงกันอย่างเดียว  คือ  ปรารถนาจะออกบวช  จึงนำความไปเล่าให้บิดามารดาฟัง  บิดามารคิดเห็นว่า  เมื่อบุตรของตนเกิดในสกุลพราน  แต่ไม่ฆ่าสัตว์  ก็ไม่มีทางจะทำอะไรอย่างอื่นได้  เมื่อบุตรปรารถนาจะบวช  ก็อนุญาต

กุมารกุมารี  เมื่อได้รับอนุญาตให้บวช  จึงพากันเดินทางไปหิมวันตประเทศทางฝั่งแม่น้ำคงคา  ได้เห็นอาศรมหลังหนึ่ง  จึงพากันเข้าไป  ในอาศรมนั้นมีเครื่องบริขารของบรรพชิตอยู่พร้อมสรรพ  เป็นบริขารที่มีผู้บริจาคให้แก่ผู้ใคร่จะบวช  (ตามเรื่องว่า  ท้าวสักกะประทานให้ทั้งอาศรมและบริขาร)

สองสามีภรรยาต่างก็อธิฐานเพศบรรพชิต  นุ่งห่มผ้าเปลือกไม้สีแดงพาดหนังเสือบนบ่า  ผูกมณฑลชฎา  เจริญเมตตาพรหมวิหารอยู่  ณ  ที่นั้น

บรรดาสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น  ต่างก็มีเมตตาจิตต่อกัน  ด้วยอานุภาพเมตตาของนักบวชทั้งสอง ไม่มีเบียดเบียนกัน  ไม่วิวาทกัน  หากินด้วยความสุขสำราญ

นางปาริกาดาบสีนีทำหน้าที่แสวงหาผลาหาร  ตั้งน้ำใช้น้ำฉัน  และทำความสะอาดอาศรม  เสร็จแล้วบำเพ็ญสมณธรรมด้วยจิตใจอันสงบ  ตัดอารมณ์เดือดร้อนให้หมดสิ้นไป

อยู่มาวันหนึ่ง  ท้าวสักกเทวราช  พิจารณาเห็นอันตรายอันจะเกิดแก่ดาบสดาบสินี  คือ  จักษุทั้งสองข้างของท่านทั้งสองจะมืดมิด  จึงลงจากเทวโลก  เข้าไปหาทุกูลดาบส  ถวายนมัสการแล้วตรัสว่า  "ข้าแต่พระดาบสข้าพเจ้าเล็งเห็นเป็นแน่ชัดว่า  อันตรายจะเกิดมีแก่ท่านทั้งสอง  ขอให้ท่านทั้งสองจงปรารถนาบุตร  เพื่อได้ปฏิบัติท่านเมื่อท่านได้รับทุกข์เถิด"

ทุกูลดาบสถามว่า  "ท่านจะให้อาตมาทำอย่างไร  อาตมาทั้งสองถือเพศบรรพชิต  สละกามกิจอันเป็นของชาวโลก  ตั้งหน้าบำเพ็ญสมณพรต  เพื่อหวังความพ้นทุกข์  อาตมาจะต้องเสพเมถุนกรรมอีก  เพื่อหวังได้บุตรทั้ง ๆ  ที่อาตมาเป็นนักบวชเช่นนี้  เห็นทีจะทำไม่ได้  ขอท่านอย่าให้อาตมาต้องเสียสิ้นพรมจรรย์เลย"

ท้าวสักกะตรัสว่า  "ข้าแต่พระดาบส  พระคุณเจ้าไม่จำต้องเสพเมถุนกรรมกับดาบสินี  เป็นแต่เพียงเอามือลูบท้องของนางปาริกาดาบสินีขณะที่นางมีระดูก็พอแล้ว"

ทุกูลดาบสก็รับทำได้  เมื่อท้าวสักกะกลับไปแล้ว  ท่านจึงได้หานางปาริกาดาบสีนี  เล่าความให้ฟัง  เมื่อทราบเรื่องกันดีแล้ว  พอถึงเวลานางปาริกาดาบสินีมีระดู  ทุกูลกาบสจึงเอามือลบท้องของนาง



















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น