วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๒)


จะกล่าวถึงพระเจ้าวิเทหราชกษัตริย์แห่งมิถิลานคร  ทรงมีบัณฑิตประจำราชสำนักอยู่  ๔  คน  คือ
เสนกะ๑   ปุกกุสะ๑   กามินทะ๑   เทวินทะ๑  บัณฑิตทั้ง  ๔  นี้เคยกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชเมื่อ  ๗  ปีมาแล้วว่า  จะมีบัณฑิตคนที่  ๕  เกิดขึ้น  และจะมีสติปัญญาเหนือเขาทั้ง  ๔  พระเจ้าวิเทหราชทรงนึกถึงคำกราบทูลของบัณฑิตทั้ง  ๔  ได้  จึงให้อำมาตย์  ๔  คน  แยกทางกันไปสืบหาดู  อำมาตย์ที่ไปทางด้านปราจีนทิศได้เห็นสถานที่คล้ายเทวสถานตรงนั้น  ก็ให้ประหลาดใจยิ่งนัก  จึงเข้าไปถามผู้ที่มาประชุมกัน  ณ ที่นั้นว่า  "สถานที่นี้เป็นฝีมือช่างคนไหน ?"  เมื่อได้รับบอกว่า  "เป็นฝีมือของช่างคนหนึ่ง ซึ่งทำตามแบบของมโหสธบัณฑิต  ซึ่งเป็นบุตรของสิริวัฒกเศรษฐี  มีอายุได้  ๗  ปี"  อำมาตย์ผู้นั้นจึงนับปีตั้งแต่ปีที่บัณฑิตทั้ง  ๔  เคยกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชมาครบ  ๗  ปีพอดี  จึงไม่ต้องสงสัยว่า  บัณฑิตคนที่  ๕  นั้นจะเป็นคนอื่นไปได้  ต้องเป็นมโหสธบัณฑิตบุตรสิริวัฒกเศรษฐีนี้แน่นออน  เขาจึงส่งคนไปกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชว่า  "บัดนี้ได้พบบัณฑิตคนที่  ๕  แล้ว  ชื่อมโหสธ  บุตรสิริวัฒกเศรษฐีในบ้านปราจีนยวมัชฌคาม  อายุได้  ๗  ปี  มีความฉลาดเกินอายุ  ได้ให้ช่างหาสถานที่อันเป็นรัมณียสถานคล้ายเทวสภา  ด้วยความคิดของตนเอง  จะนำมโหสธเข้าเฝ้าได้หรือยัง ?"

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับดังนั้น  ก็พอพระทัย  ตรัสเรียกเสนกบัณฑิตมาปรึกษาว่า  "บัดนี้มีผู้ส่งข่าวมาว่า  บุตรสิริวัฒกเศรษฐี  ชื่อ  มโหสธ  อายุ  ๗  ปี  มีปัญญาล้นเหลือ  สามารถออกความคิดให้ช่างสร้างสถานอันรื่นรมย์  ประดุจเทวสถาน  ท่านเห็นเป็นอย่างไร  เราควรจะให้นำมาเฝ้าได้หรือยัง ?"

เสนกะเป็นผู้ที่ไม่อยากเห็นใครดีกว่าตน  จึงกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ผู้ที่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต  ไม่ใช่ด้วยเหตุเพียงให้สร้างสถานที่เท่านั้น  ใคร ๆ  ก็ให้สร้างได้  ข้อนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำของอาจารย์เสนกะกราบทูลดังนั้น  ก็ทรงนิ่งเพื่อคอยดูเหตุการณ์ต่อไป  จึงตรัสแก่ผู้มาทูลข่าวว่า  "ให้อำมาตย์รอดูปัญญาของมโหสธไปก่อน"

เรื่องราวต่อไปนี้จะแสดงแววฉลาดของมโหสธ  ที่ใช้ปัญญาวินิจฉัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้สำเร็จเป็น
เรื่อง ๆ  ไป



เรื่อง  ชิ้นเนื้อ

วันหนึ่งมโหสธบัณฑิตไปที่สนามเล่น  มีเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบเอาชิ้นเนื้อได้แล้วบินไปทางอากาศ  พวกเด็กเห็นเหยี่ยวคาบชิ้นเนื้อบินมา  ก็วิ่งไล่ตามแหงนหน้าดูเหยี่ยว  แล้วก็ตะโกนหวังให้เหยี่ยวทิ้งชิ้นเนื้อ  ขณะวิ่งไปได้แต่แหงนดูข้างบน  เท้าก็สะดุดตอบ้าง  หินบ้าง  ตกหลุมบ้าง  ล้มลุกคลุกคลานไปตาม ๆ  กัน

มโหสธเห็นเพื่อน ๆ  ได้รับความลำบากดังนั้น  ก็อาสาว่า  "จะให้เหยี่ยวทิ้งชิ้นเนื้อให้ได้"  แล้วก็วิ่งไปด้วยกำลังเร็วดุจลมพัด  ไม่แหงนดูข้างบน  วิ่งเหยียบเงาเหยี่ยวแล้วปรบมือ  ส่งเสียงดังลั่น  เหยี่ยวตกใจทิ้งชิ้นเนื้อ  มโหสธเห็นเงาชิ้นเนื้อหล่นก็รับไว้ได้โดยไม่ให้ชิ้นเนื้อตกถึงพื้นดิน

มหาชนเห็นความสามารถของมโหสธดังนั้น  ต่างก็ปรบมือส่งเสียงโห่ร้องอยู่เซ็งแซ่ด้วยความยินดี

อำมาตย์เห็นดังนั้น  จึงส่งทูตไปกราบทูลให้พระเจ้าวิเทหราชทรงทราบ  พระเจ้าวิเทหราชรับสั่งถามเสนกอาจารย์ว่า  "ท่านอาจารย์ว่าอย่างไร  สมควรจะนำมโหสธมาได้หรือยัง ?"  เสนกะคิดแต่ในใจว่า  
หากมโหสธกุมารมาอยู่ในราชสำนัก  เราก็จะหมดรัศมี  พระราชาก็จักทรงลืมเรา  อย่าเลย  เราไม่ควรให้นำมโหสธกุมารมา  คิดแล้วจึงทูลว่า  "ขอเดชะ  คนที่จะชื่อว่า  เป็นบัณฑิตไม่ใช่เหตุเพียงเท่านี้  เพราะเป็นเรื่องเล็ก"

พระเจ้าวิเทหะ  รับสั่งให้ทูตกลับไปแล้วสั่งความไปถึงอำมาตย์ให้คอยทดลองดูมโหสธต่อไป



วินิจฉัย  เรื่อง  โค

ชายชาวปราจีนยวมัชฌคามคนหนึ่งซื้อโคมาตัวหนึ่ง  ขณะที่นำโคไปเลี้ยงปล่อยให้โคกินหญ้าอยู่  ตนเองนอนเฝ้าอยู่ใต้ต้นไม้  ลมพัดเย็น ๆ  เลยหลับไป  มีโจรผู้หนึ่งเห็นเจ้าของโคหลับ  ก็ลักโคหนีไป  ชายเจ้าของโคตื่นขึ้นไม่เห็นโคก็เที่ยวค้นหา  มองเห็นโจรจูงโคไป  ก็วิ่งไปจนถึงตัว  จึงตะคอกถาม
ว่า  "นี่แกจะนำโคของข้าไปไหน ?"  โจรตอบว่า  "นี่แกพูดอะไร  นั่นมันโคของข้าต่างหาก  ข้าจะนำมันไปเลี้ยง"  ชายเจ้าของโคก็ไม่ยอม  จะเอาโคของตนคืนให้ได้  ฝ่ายโจรก็ไม่ยอม  อ้างว่าเป็นของตน  เดินเถียงกันไป  มหาชนเห็นคนทั้งสองเถียงกันอยู่  ก็มายืนมุงดูกันจนแน่น  มโหสธบัณฑิตได้ยินเสียงเอ็ดอึง  จึงไปดู  เห็นคนทั้งสองเถียงกันเคร่งเครียด  จึงให้คนไปเรียกมา  มโหสธพอเห็นหน้าก็รู้ว่า  ใครเป็นเจ้าของโค  ใครเป็นโจร  แต่ก็ทำเป็นถามว่า  "ท่านทั้งสองวิวาทกันด้วยเรื่องอะไร ?"  เจ้าของโคตอบว่า  "ข้าพเจ้าซื้อโคตัวนี้มา  ขณะนำไปเลี้ยง  ข้าพเจ้าเผลอหลับไป  ชายคนนี้ได้ลักโคของข้าพเจ้าหนีไป  ข้าพเจ้าตื่นขึ้นจึงไล่ตาม  เห็นชายคนนี้จูงโคไป  ข้าพเจ้าจึงขอคืน  เขาไม่ยอม  แล้วบอกว่า  เป็นโคของเขา  ข้าพเจ้าขออ้างเจ้าของโคคนที่ข้าพเจ้าซื้อมาเป็นพยาน"  มโหสธหันไปถามอีกคนหนึ่งว่า  "เขาหาว่าท่านลักโคเขาไป  ท่านจะว่าอย่างไร ?"  ชายที่เป็นโจรตอบว่า  "โคตัวนี้เป็นของข้าพเจ้า  เจ้านั่นพูดปด  อย่าไปเชื่อมันเลย"

มโหสธบัณฑิตจึงถามว่า  "เราจักวินิจฉัยความของท่านทั้งสองฝ่ายโดยยุติธรรม  ท่านทั้งสองจะยอมฟังข้อวินิจฉัยของเราหรือไม่ ?"  ชายทั้งสองรับคำ  มโหสธคิดว่า  การวินิจฉัยครั้งนี้จะต้องให้เป็นไปตามมติมหาชน  จึงถามโจรว่า  "ท่านให้โคของท่านกินและดื่มอะไร ?"  โจรตอบว่า  "ข้าพเจ้าให้ดื่มยาคุให้กินงา  แป้งและถั่ว"  หันไปถามเจ้าของโค  ชายเจ้าของโคตอบว่า  "ข้าพเจ้าให้กินแต่หญ้าอย่างเดียว  เพราะข้าพเจ้าเป็นคนจน  ไม่สามารถหายาคู  งา  แป้งให้กินได้"  มโหสธบัณฑิตได้ฟังคำให้การของคนทั้งสอง  เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง  จึงให้คนใช้ไปเอาใบประยงค์มาตำในครก  ขยำด้วยน้ำให้โคดื่ม  โคดื่มเข้าไปหน่อยหนึ่งก็อาเจียนออกมาเป็นใบหญ้า มโหสธบัณฑิตจึงประกาศให้มหาชนได้รู้เห็น  แล้วหันมาทางโจร  ถามว่า  "เจ้าเป็นโจรลักโคเขาไป  จริงไหม ?"   โจรก็ได้รับสารภาพว่า  ตนเป็นโจรจริง  มหาชนต่างก็กลุ้มรุมกันเข้าไปจับตัวโจรดึงออกมา  แล้วต่างก็ทุกบตีเตะจนโจรบอบช้ำไปทั้งตัว  มโหสธบัณฑิตจึงขอร้องให้มหาชนหยุดลงทัณฑ์โจร  แล้วให้โอวาทแก่โจรว่า  "อย่าทำอย่างนี้อีก  เจ้าได้รับโทษในคราวนี้เพียงนี้  ต่อไปภ่ยหน้าจะได้รับโทษยิ่งกว่านี้"

อำมาตย์ได้นำความขึ้นทูลพระวิเทหราชกษัตริย์ให้ทรงทราบ  พระเจ้าวิเทหราชรับสั่งถามอาจารย์เสนกะว่า  "ท่านอาจารย์  ถึงคราวที่จะนำมโหสธมาได้หรือยัง ?"  เสนกะบัณฑิตกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  เรื่องความโค  ใคร ๆ  ก็วินิจฉัยได้  คนไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต  เพราะเหตุเพียงนี้เท่านั้น  ขอให้ทรงรอไปก่อน"  พระเจ้าเทหราชก็รับสั่งให้อำมาตย์รอดูไปก่อน












วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๑)




ทรัพย์ กับ  ปัญญา  อย่างไหนประเสริฐกว่ากัน  ปัญหานี้ได้ถกเถียงกันมานานแล้ว  แต่ยังไม่ยุติกันลงไปได้  บางพวกว่า  ทรัพย์ประเสริฐกว่าปัญญา  เพราะทรัพย์เป็นแก้วสารพัดนึก  จะต้องการอะไรก็ได้  ไม่เห็นจำเป็นต้องมีปัญญาเลย  บางพวกว่า  ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์  เพราะทรัพย์ที่หามาได้ก็อาศัยปัญญา  ถ้าไม่มีปัญญาจะหาทรัพย์ได้อย่างไร  การรักษาทรัพย์ก็ต้องอาศัยปัญญา  ถ้าไม่มีปัญญาจะรักษาทรัพย์ได้อย่างไร  นี้เป็นปัญหาที่ถกเถียงกันอยู่  เรื่องยอดบัณฑิตนี้จะตัดสินความข้อนี้โดยยุติ :-

มโหสธ  เป็นชื่อของยอดบัณฑิตในเรื่องนี้  เป็นบุตรเศรษฐีสิริวัฒกะกับนางสุมนาเทวี  เมื่อคลอดออกมามีแท่งโอสธในมือ  เศรษฐีบิดาเป็นโรคปวดศีรษะมา  ๗  ปี  จึงเอาแทงโอสธนั้นมาฝนที่หินบดแล้วทาที่หน้าผาก  หายปวดศีรษะทันที  ความศักดิ์สิทธิ์ของโอสธนั้นได้แพร่หลายทั่วไป  ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาหาเศรษฐี  เมื่อได้โอสธรักษา  ก็หายไปทุกคน  เพราะโอสธวิเศษนี้เศรษฐีจึงตั้งชื่อบุตรว่า  "มโหสธ"

เศรษฐีดำริว่า  ในวันที่บุตรของเราเกิดนี้  คงมีทารกอื่น ๆ  เกิดอีกมากจึงให้สำรวจดู  ก็ทราบว่า  มีทารกที่เกิดวันเดียวกันกับมโหสธถึง  ๑,๐๐๐  คน  เศรษฐีจึงให้นำเครื่องประดับไปมอบแก่ทารกทุกคน  และให้นางนมอีก  ๑,๐๐๐  คน

มโหสธมีเพื่อนเด็ก ๆ  รุ่นเดียวกันมากมาย  เล่นหัวกันอย่างสนุกสนานจวบจนอายุได้  ๗  ขวบ  มโหสธมีรูปร่างงดงามสง่าผ่าเผยกว่าทรกอื่น ๆ  และมีกำลังแข็งแรง  วันหนึ่งขณะที่กำลังเล่นกันเพลินอยู่  ฝนตั้งเค้าลงมา  มโหสธเห็นดังนั้นก็วิ่งหลบไปถึงศาลาแห่งหนึ่งด้วยความเร็ว  ส่วนเด็กนอกนั้นวิ่งตามไปข้างหลัง  เหยียบกันหกล้มลุกคลุกคลาน  บ้างก็เท้าแพลง  บ้างก็เข่าแตก  บ้างก็หัวโน  มดหสธเห็นดังนั้นจึงคิดจะสร้างสถานที่สำหรับเล่นให้สะดวกสสบายทั้งเวลายืน  เวลาเดิน  เวลานั่ง  เวลาวิ่ง  ไม่ต้องกรำแดดกรำฝน  จึงแจ้งให้เพื่อนเด็ก ๆ  ทราบ  แล้วขอให้ทุกคนนำเงินมาคนละ  ๑  กหาปณะ  (กหาปณะหนึ่ง  เท่ากับ  ๔  บาท)  เมื่อได้กหาปณะครบ  ๑,๐๐๐ จึงเรียกช่างมาจัดทำ  นายช่างได้ปราบพื้นจนเสมอแล้วก็เอาเชือกขึงกะที่  มโหสธเห็นนายช่างขึงเชือกไม่ถูกแบบ  ก็เข้าไปบอกขอให้ขึงใหม่  นายช่างไม่ยอมทำตาม  บอกมโหสธว่า  "ได้ทำตามศิลปะของตน"

มโหสธจึงเอาเชือกขึงเสียเอง  เชือกที่มโสธขึงเป็นประหนึ่งว่าท้าววิสสุกรรมขึง  ซึ่งนายช่างทำไม่ได้ นายช่างขอให้มโหสธเป็นผู้ให้ความคิดเห็นในการจัดทำ  มโหสธจึงจัดแปลนสถานที่เป็นห้อง ๆ  คือ  จัดเป็นห้องสำหรับหญิงอนาถาคลอดบุตรห้องหนึ่ง  จัดเป็นห้องสำหรับสมณพราหมณ์มาพักห้องหนึ่ง  จัดเป็นห้องสำหรับคนเดินทางมาพักห้องหนึ่ง  จัดเป็นห้องสำหรับเก็บข้าวของและสินค้าของพ่อค้าผู้มาพักห้องหนึ่ง  ห้องเหล่านี้ให้ทำประตูทางหน้ามุขมีสนามเล่น  มีโรงวินิจฉัยคดี  ทุกห้องจิตรกรได้วาดภาพอย่างวิจิตรบรรจง  นอกจากนี้ยังได้สร้างสระโบกขรณี  มีท่าขึ้นลง  ๑๐๐  ท่า  ดารดาษไปด้วยดอกบัวนานาชนิด  มีสวนต้นไม้ต่าง ๆ  พรรณ  สถานที่เหล่านี้เป็นความคิดของมโหสธออกแบบให้ช่างทำ  เมื่อทำเสร็จแล้วดูคล้ายเทวสภา  มหาชนต่างพากันมาประชุมเป็นจำนวนวันละมาก ๆ  มโหสธทำหน้าที่เป็นผู้วินิจฉัยคดี  ที่มีผู้มาขอให้ตัดสินโดยยุติธรรม

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๔ พระเนมิราช (หน้า ๔)

พระเจ้าเนมิราช  เมื่อเสด็จสู่เทวโลก  ทอดพระเนตรเห็นวิมานของเทพธิดาวารุณี  มียอด  ๕  ยอด ประดับด้วยแก้วมณี  มีสวน  มีสระน้ำ  มีต้นกัลปพฤกษ์  ทอดพระเนตรเห็นเทพธิดาวารุณีนั่งอยู่  มีนางอัปสร  ๑,๐๐๐  แวดล้อมอยู่  จึงตรัสถามมาตลีเทพสารถีว่า  "เทพธิดาวารุณีได้ทำกรรมอะไรไว้  จึงมาเกิด  ณ  ที่นี้"  มาตลีเทพสารถีทูลว่า  "นางเทพธิดาวารุณีเมื่อเป็นมนุษย์  เป็นสาวใช้ของพราหมณ์ผู้หนึ่ง  นางได้ทำหน้าที่จัดอาสนะในบ้านของพราหมณ์ให้แก่ภิกษุ  แล้วถวายสลากภัต  นางบริจาคทาน  รักษาศีลอยู่ตลอดเวลา  จึงได้มีวิมานอยู่อย่างนี้

มาตลีเทพสารถี  ได้พาพระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรวิมานของเทพบุตร  แล้วทูงถึงกรรมซึ่งเทพบุตรเหล่านั้นได้ทำมาแต่หนหลัง  ให้ทรงทราบเป็นลำดับดังนี้

วิมานทองมีแสงสว่างดุจแสงพระอาทิตย์อ่อน ๆ  เทพบุตรในวิมานนั้นประดับอาภรณ์มีแสงวาววับ มีเทพธิดาผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้า  เทพบุตรนี้เมื่อเป็นมนุษย์  เป็นผู้มีอันจะกิน  สร้างกุฏีถวายสงฆ์  แล้วตั้งนิตยภัตบำรุงสงฆ์ผู้อาศัยที่กุฏีนั้นเป็นประจำ  ถวายผ้านุ่งผ้าห่ม  อาหาร  เสนาสนะ  ประทีป  รักษาอุโบสถศีลทุกปักษ์  จึงได้มีวิมานเช่นนี้

วิมานแก้ผลึกสูง  ๒๕  โยชน์  มีเสาทำด้วยแก้ว  ๗  ประการ  มีกระดิ่งห้อยอยู่รอบ ๆ  มีธงทองธงเงินปักไสว  มีสวนดอกไม้  มีสระน้ำ  มีนางอัปสรฟ้อนรำขับร้องอยู่ตลอดเวลา  เทพบุตรในวิมานนี้  เมื่อเป็นมนุาษย์  รักษาศีล  ให้ทาน  มีสัตย์  มีความไม่ประมาท  จึงมีวิมานนี้

วิมานแก้วมณีสูงตระหง่าน  มีเทพบุตรอยู่มาก  เสียงกึกก้องไปด้วยการฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรีอันไพเราะจับใจยิ่งนัก  เทพบุตรเหล่านั้นเมื่อเป็นมนุษย์  ได้ก่อสร้างอาราม  คลอง  สะพาน  ถวายจีวรบิณฑบาต  ยาป้องกันโรค  และเสนาสนะ  แก่ภิกษุสงฆ์ด้วยจิตเลื่อมใส  จึงได้เสวยวิมานเช่นนี้

วิมานแก้วผลึกอีกวิมานหนึ่ง  มียอดหลายยอด  มีสวนปกคลุมไปด้วยดอกไม้นานาชนิด  มีแม่น้ำใสสะอาดไหลรินอยู่รอบวิมาน  มีนางอัปสรห้อมล้อมอยู่เหลือหลาย  เทพบุตรนี้เมื่อเป็ดนมนุษย์  ได้สร้างอาราม  บ่อ  สระ  และสะพาน  ได้บริจาคทาน  รักษาศีลอยู่เสมอ  จึงได้มีวิมานเช่นนี้อยู่

วิมานแก้วไพฑูรย์มีแสงแก้วไพฑูรย์ระยิบระยับออกจากฝาวิมาน  มีเสียงตะโพน  เสียงฆ้องอย่างไพเราะจับใจ  เทพบุตรในวิมานนี้  เมื่อเป็นมนุษย์ก็ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกับเทพบุตรในวิมานอื่น ๆ  ที่กล่าวมาแล้ว

มาตลีเทพสารถีเห็นว่าจะล่าช้าเกินไป  จึงทูลพระเจ้าเนมิราชว่า  "ข้าแต่พระมหาราชเจ้า  ที่อยู่ของสัตว์นรกผู้ทำกรรมชั่วและสถานที่อยู่ของผู้ทำกรรมดี  พระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรแล้วทั้งสองแห่ง  ขอเชิญพระองค์เสด็จไปสำนักของอัมรินทรเทพเจ้าเถิด"  เมื่อทูลดังนี้  แล้วก็ขับเวชยันตเทพรถต่อไป  ได้ผ่านภูเขาใหญ่  ๗  ลูก  ผ่านสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช  ผ่านเขาจิตรกูฏซึ่งมีรูปพระอินทร์ปรากฏอยู่  จากนั้นจึงผ่านเข้าประตูเทพนคร  แล้วเสด็จเข้าไปสู่สุธรรมเทพสภา

บรรดาเทพยดาที่นั่งคอยพระเจ้าเนมิราช  เมื่อได้ทราบว่า  เสด็จมาแล้วต่างก็ถือของหอม  เครื่องอบและดอกไม้ทิพย์  ไปคอยรับเสด็จอยู่ตรงทางที่จะเสด็จมาถึง  เมื่อพระเจ้าเนมิราชเสด็จมาถึง  หมู่เทพยดาอัญเชิญให้พระองค์เสด็จลงจากเวชยันตเทพรถเข้าสู่เทพสภา  พระอินทร์ทูลเชิญให้ประทับนั่งบนทิพยอาสน์  ทวยเทยได้กราบทูลด้วยความยินดีว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  พระองค์เสด็จมาดีแล้ว  เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้  ขอพระองค์เสด็จประทับเสวยทิพยสมบัติ  และยับยั้งอยู่  ณ  ทิพยอาสน์อันเป็นที่อยู่ของหมู่เทพยดาดาวดึงส์นี้เถิด"

พระเจ้าเนมิราชได้สดับดังนั้น  จึงตรัสว่า  "สิ่งที่ได้มาเพราะผู้อื่นย่อมไม่เป็นสิทธิแก่ตน  หม่อมฉันไม่ปรารถนาสิ่งที่ผู้อื่นให้  หม่อมฉันจักทำและจะได้ไปเฉพาะสิ่งที่เป็นสิทธิแก่หม่อมฉัน  เมื่อหม่อมฉันกลับไปมนุษย์โลก  หม่อมฉันจะบริจาคทาน  รักษาศีล  สำรวมอินทรีย์  เพื่อให้ได้รับผลคือความสุขอันเป็นสิทธิของหม่อมฉันอย่างแท้จริง"

พระเนมิราชประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้  ๗  วันนับเวลาในเมืองมนุษย์  จึงอำลากลับจากเทวโลก เมื่อเสด็จมาถึงมิถิลานคร  ได้ประชุมราษฏร  แล้วตรัสเล่าเรื่องที่พระองค์ได้ผ่านพบเห็นมา  แล้วตรัสสรุปความว่า  "หากผู้ใดต้องการได้ไปอยู่วิมาน  ก็ขอให้ประพฤติตนชอบ  บริจาคทาน  รักษาศีลด้วยดี"

พระเนมิราชครองราชสมบัติโดยชอบธรรมตลอดมา  จนวันหนึ่งภูษามาลากราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พระเกศาของพระองค์หงอก  พระเจ้าข้า"  รับสั่งให้ถอนพระเกศาหงอกนั้นด้วยแหนบทองคำ  วางบนพระหัตถ์ ทอดพระเนตรเห็นพระเกศาหงอกเส้นนั้น ก็สลดพระทัย  ทรงคิดออกบวชทันที  ทรงเรียกราชโอรสมาตรัสว่า  "ลูกรัก  พ่อขอมอบราชสมบัติให้แก่เจ้า  พ่อต้องการจะออกบวช"

พระราชโอรสทูลถามว่า  "ข้าแต่พระราชบิดา  ไฉนพระองค์จะทรงผนวชเสียเล่า  พระเจ้าข้า"

พระราชบิดาตรัสว่า  "เทวทูตปราฏแก่พ่อแล้ว  คือ  ผมบนศีรษะของพ่อหงอก  ความหนุ่มของพ่อสิ้นไปแล้ว  จึงถึงคราวที่พ่อจะบวช"

เมื่อพระเนมิราชมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสเสร็จแล้ว  ทรงออกผนวช  เจริญพรหมวิหาร  สำเร็จอภิญญาสมาบัติ  เมื่อสวรรคตก็ไปบังเกิดบนเทวโลก"

เรื่องนี้เก็บความจากเนมิราชชาดก  คติธรรมที่ได้จากเรื่องนี้  คือ
ให้พิจารณาเห็นโทษของความชั่ว
ผลของกรรมดีและความไม่ประมาทในสังขาร
ดังเช่นพระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นผมหงอกบนพระเศียร
ก็ทรงสลดพระทัย  ออกทรงผนวช



จบเรื่องพระเนมิราช














วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๔ พระเนมิราช (หน้า ๓)

มาตลีเทพสารถีได้ขับเทพรถพาพระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรสัตว์นรกต่อไป  ได้ทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกถูกสุนัขสีแดง  สีดำ  สีต่าง  ฝูงแร้ง  ฝูงกา  กลุ้มรุมทำร้ายเคี้ยวกิน  จึงตรัสถามว่า  "สัตว์นรกเหล่านี้ทำบาปอะะไรไว้จึงเป็นเช่นนี้ ?"

มาตลีเทพสารถีกราบทูลว่า  "สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์มีความตระหนี่  ไม่ยอมเสียสละอะไรให้แก่ใคร และด่าสมณพราหมณ์  จึงต้องได้รับกรรมเช่นนี้  พระเจ้าข้า"

มาตลีเทพสารถีได้พาพระเจ้าเมิราชทอดพระเนตรสัตว์นรกที่เสวยกรรมต่าง ๆ  และทูลถึงกรรมเก่าของสัตว์เหล่านั้นให้ทรงทราบเป็นลำดับ  ดังนี้

สัตว์นรกมีเพลิงลุกโพลงที่ร่างกาย  เดินเหยียบไปบนแผ่นเหล็กที่มีเพลิงลุกแดง  ถูกนายนิรยบาลโบยด้วยท่อนเหล็กที่ร้อน  สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์  ได้เบียดเบียนผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล  ในธรรม  จึงได้รับกรรมเช่นนี้

สัตว์นรกถูกนายนิรยบาลทิ่มแทงด้วยอาวุธเพลิง  แล้วตกลงไปในกองถ่านเพลิง  จมอยู่ในกองถ่านเพลิงนั้นแค่บั้นเอว  นายนิรยบาลเอากระเช้าเหล็กใหญ่  ตักถ่านเพลิงโปรยลงบนหัว  สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์เที่ยวเรี่ยไรทรัพย์ชาวบ้าน  ว่าจะเอามาสร้างปฏิสังขาร์ถาวรวัตถุ  แล้วเอาทรัพย์เหล่านั้นมาใช้ส่วนตัวเสีย  แล้วแสดงรายรับรายจ่ายเท็จให้ประชาชนทราบ  จึงได้รับกรรมเช่นนี้

สัตว์นรกถูกนายนิรยบาลจับหัวลงพุ่งไปในหม้อน้ำทองแดง  สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์เบียดเบียนด่าว่าสมณพรหมณ์  จึงได้รับกรรมเช่นนี้

สัตว์นรกถูกนายนิรยบาลเอาเหล็กพืดรัดคอ  กดหัวแล้วดึงเหล็กพืดนั้นจนคอขาด  สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์  เที่ยวไล่จับ  ยิง  ขวางนกเล่น  จึงได้รับกรรมเช่นนี้

สัตว์นรกเมื่อกระหายน้ำ  ก็วิ่งตรงไปที่แม่น้ำ  น้ำกลายเป็นแกลบเพลิงลุกแดงฉาน  จำใจต้องกินแกลบแทนน้ำ  เมื่อกินเข้าไปแกลบก็เผาร่างกายจนทนแทบไม่ไหว  ร้องไห้ครวญคราง  สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์  ทำการค้าขายไม่ซื่อต่อผู้ซื้อ  นำของเสียมาบอกว่าเป็นของดี  เอาของไม่ดีปนกับของดีแล้วเร่ขาย  จึงได้รับกรรมเช่นนี้

สัตว์นรกถูกนายนิรยบาลล้อมเหมือนพรานล้อมเนื้อ  แล้วเอาหอกบ้าง  ศรบ้าง  ทิ่มแทงจนร่างกายปรุไปหมด  สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์  ไม่ทำมาหากินในทางสุจริต  ชอบแต่จะลักเขากิน  เช่น ข้าวเปลือก  เงิน  ทอง  แพะ  แกะ  วัว  ควาย  เป็นต้น  มาเลี้ยงชีพ  จึงได้รับกรรมเช่นนี้

สัตว์นรกถูกนายนิรยบาลเอาเชือกเหล็กลุกเป็นไฟผูกคอ  แล้วฉุดกระชากลากมา  ให้นอนลงบนแผ่นเหล็กเพลิง  แล้วก็ทุบเอา  ตีเอาจนแหลกเหลวไป  สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์  เที่ยวฆ่าเนื้อ  ฆ่าปลา  ฆ่าวัว  ฆ่าควาย  ฆ่าแพะ  แกะ  สุกร เป็นต้นเอามาขายเลี้ยงชีพ  จึงได้รับกรรมเช่นนี้

สัตว์นรกมีความหิวกระหาย  ก็กระเสือกกระสนไปกินมูตรและคูถซึ่งกลิ่นเหม็นเน่า  สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์  ชอบแต่จะทำความเดือดร้อนมากให้แก่มิตรสหาย  รบกวนเบียดเบียนมิตรสหายอยู่ตลอดเวลา จึงได้รับกรรมเช่นนี้

สัตว์นรกถูกความร้อนแผดเผามีความกระหาย  ก็ดื่มเลือดและหนองกิน  สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์  ฆ่าบิดามารดา  ฆ่าผู้มีพระคุณ  ฆ่าผู้มีศีลมีธรรม  จึงได้รับกรรมเช่นนี้

สัตว์นรกถูกนายนิรยบาลเอาเบ็ดเหล็กลุกเป็นไฟโตเท่าลำตาลเกี่ยวลิ้น  แล้วดึงเอามานอนแผ่บนแผ่นเหล็ก  แล้วสับให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย  สัตว์นรกดิ้นเร่า ๆ  เหมือนปลา  สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์  เป็นคนโกง  ทำหน้าที่เป็นผู้ตีราคา  รับสินจ้างผู้ซื้อตีราคาของแพงให้เป็นของถูก  จึงต้องได้รับกรรมเช่นนี้

สัตว์นรกถูกนายนิรยบาลทิ่มแทงร่างกายด้วยอาวุธเหมือนนายโคบาล  ใช้อาวุธแทงฝูงโคที่ไม่เข้าคอก นายนิรยบาลจับตีนสัตว์นรก  แล้วโยนลงไปในนรก  สัตว์นรกเหล่านั้นจมอยู่ในหม้อทองแดงแค่บั้นเอว  ถูกภูเขาบดทับจนละเอียด  แล้วก็เป็นขึ้นอีก  แล้วก็ถูกบดละเอียดไปอีก  สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุกษย์  เป็นลูกสาวของผู้มีตระกูล  แต่มีความประพฤติไม่เหมาะสม  ชอบให้คนชมเชยไม่เลือกหน้า  แม้มีสามีแล้วก็ยังไปเที่ยวเหลาะแหละกับชายอื่น  จึงต้องได้รับกรรมเช่นนี้

สัตว์นรกถูกนายนิรยบาลจับโยนลงไปในบ่อ  ซึ่งเต็มไปด้วยถ่านเพลิง  แล้วใช้อาวุธทิ่มแทง  สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์  ประพฤติตนไม่ดี  ชอบละเมิดลูกเมียเขา  จึงต้องได้รับกรรมเช่นนี้

มาตลีเทพสารถีได้นำพระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรยังไม่ทันหมด  ก็พอดีมีเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง  ไปแจ้งว่า  "มีเทวบัญชาให้เชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชไปเทวโลกโดยเร็ว"  มาตลีเทพสารถีจึงทูลพระเจ้าเนมิราชว่า  "บัดนี้มีเทวบัญชาจากพระอินทร์  ให้รีบเสด็จไปเทวโลก  การทอดพระเนตรสัตว์นรกเห็นจะต้องยุติเพียงแค่นี้"  แล้วมาตลีเทพสารถีก็ชักรถมุ่งสู่เทวโลก


วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๔ พระเนมิราช (หน้า ๒)

นักพรตได้ไปที่บ้านของปุโรหิต  ปุโรหิตจัดอาหารถวายเสร็จแล้ว  เรียนให้ทราบว่า  "บัดนี้ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ข้าพเจ้าบวชได้แล้ว  ข้าพเจ้าควรจะปฏิบัติอย่างไร ?"

นักพรตจึงพูดว่า  "มาเถิด  ไปกับอาตมา"  แล้วพาปุโรหิตไปถึงสำนักของท่าน  จัดการบวชให้  เมื่อปุโรหิตบวชแล้วไม่นานก็ได้สำเร็จอภิญญาสมาบัติ

นักพรตปุโรหิตนึกถึงเมื่อวันที่ตนไปกราบทูลลาพระราชาเพื่อขอบวช  พระราชาทรงอนุญาตและมีพระดำรัสว่า   เมื่อบวชแล้วให้ไปเฝ้าพระองค์บ้าง  นักพรตปุโรหิตตกลงจะไปเฝ้าพระราชา  จึงเข้าไปลานักพรตอื่น ๆ  แล้วเหาะไปเมืองพาราณสี  ออกเที่ยวบิณฑบาต  จนถึงประตูพระราชวัง

พระเจ้าพาราณสีทอดพระเนตรเห็นนักพรตปุโรหิต  ก็ทรงจำได้  นิมนต์ให้เข้าไปภายในพระราชวัง  ทรงถวายอาหารแก่นักพรตปุโรหิต  มีพระดำรัสถามว่า  "พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่ไหน ?"

นักพรตปุโรหิตทูลว่า  "อาตมาอยู่บนฝั่งแม่น้ำสีทา  ระหว่างภูเขาทองทั้งคู่"

พระราชา  "พระผู้เป็นเจ้าอยู่รูปเดียวหรือหลายรูป ?"

นักพรตปุโรหิต  "อาตมาอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนหมื่นรูป  ท่านเหล่านั้นล้วนสำเร็จอภิญญาสมาบัติ"

พระราชาได้สดับดังนั้นก็นึกเลื่อมใส  ใคร่จะได้ถวายอาหารบิณฑบาตแก่นักพรตทั้งหมื่นรูป  จึงตรัสกะนักพรตปุโรหิตว่า  "ข้าพเจ้าใคร่จะถวายอาหารแก่นักพรตเหล่านั้น  ขอให้พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้นำนักพรตเหล่านั้นมาฉันในพระราชวังนี้"

นักพรตปุโรหิตทูลว่า  "นักพรตเหล่านั้นท่านไม่ยินดีในรสอาหาร  อาตมาไม่อาจนำท่านมาที่นี้ได้"

พระราชา  "ข้าพเจ้ามีความปรารถนาแรงกล้าที่จะถวายอาหารแก่นักพรตเหล่านั้น  ขอมอบให้พระผู้เป็นเจ้าคิดหาอุบายที่จะจัดอาหารถวายนักพรตเหล่านั้นให้ได้ด้วย"

นักพรตปุโรหิตทูลว่า  "ถ้าทรงพระประสงค์จะบริจาคไทยธรรม  แก่นักพรตเหล่านั้นให้ได้แล้ว  ขอเชิญพระองค์เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระนคร  ไปค้างแรมที่บนฝั่งแม่น้ำสีทา  แล้วก็จะทรงได้โอกาสถวายไทยธรรมแก่นักพรตเหล่านั้น

พระราชาทรงรับคำ  โปรดให้เตรียมเครื่องไทยธรรมให้เพียงพอที่จะถวายนักพรตหมื่นรูป  เสร็จแล้วเสด็จออกจากพระนครพาราณสีพร้อมด้วยจาตุรงคเสนา  เสด็จถึงชายแดน  นักพรตปุโรหิตจึงกราบทูลให้พระราชาเสด็จเลียบไปตามฝั่งแม่น้ำสีทา  แล้วให้ตั้งค่ายริมฝั่งแม่น้ำสีทา  ทูลเตือนพระราชาว่า  "อย่าได้ทรงประมาท"  แล้วก็เหาะไปสำนักของตน

รุ่งขึ้นนักพรตปุโรหิตกลับมาเฝ้าพระราชา  พระราชาจัดอาหารถวายแล้วตรัสว่า  "พรุ่งนี้  ขอพระผู้เป็นเจ้าพานักพรตหมื่นรูปมาฉัน  ณ  ที่นี้เถิด"

นักพรตปุโรหิตรับพระราชดำรัสแล้วก็กลับไป  รุ่งขึ้นได้แจ้งแก่นักพรตเหล่านั้นว่า  "พระราชาพาราณสีทรงประสงค์จะถวายไทยธรรมแก่พระคุณเจ้าทั้งหลาย  ได้เสด็จมาประทับแรมอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสีทานี้  พระองค์ขอให้ข้าพเจ้านิมนต์ท่านทั้งหลาย  ขอให้ท่านทั้งหลายจงไปรับไทยธรรมเพื่ออนุเคราะห์พระองค์เถิด"

นักพรตทั้งหมดรับคำ  เหาะมาลงใกล้ค่ายประทับ  พระราชาทรงพระปราโมทย์เป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นบรรดานักพรตมากันพร้อมเพรียง  จึงเสด็จไปต้อนรับ  แล้วอาราธนาให้เข้าค่ายหลวง  ให้นักพรตนั่งบนอาสนะที่ได้จัดไว้  ทรงถวายอาหารประณีตด้วยพระองค์เอง  ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถของนักพรตเหล่านั้น  ในวันรุ่งขึ้นก็ทรงจัดถวายอีก

ท้าวสักกเทวราช  ตรัสเล่าเรื่องถวายจบแล้ว  ก็ทูลพระเนมิราชว่า  "พระเจ้ากรุงพาราณสีในครั้งนั้นมิใช่ผู้อื่น  คือ  หม่อมฉันนี้เอง  หม่อมฉันถวายทานครั้งยิ่งใหญ่ก็เพียงเกิดในเทวโลกเท่านั้น  ส่วนนักพรตที่ได้รับบริจาคทานจากหม่อมฉันได้ไปบังเกิดในพรหมโลกสิ้น  ที่หม่อมฉันทูลพระองค์มาเพียงนี้  ก็พอเห็นได้แล้วว่า พรหมจรรย์ประเสริฐกว่าทานเป็นแน่"   แล้วเสริมท้ายว่า  "ข้าแต่เนมิราช  ถึงแม้ว่าพรหมจรรย์ประเสริฐกว่าทาน  แต่ก็อย่าได้ทรงประมาทละเลยทานเสีย  เพราะธรรมทั้งสองคู่กัน  คือ  บริจาคทาน  รักษาศีล"  เมื่อตรัสเสร็จก็เสด็จกลับเทวสถาน

บรรดาเทพเจ้าเมื่อได้ทราบว่า  ท้าวสักกเทวราชไปแก้ปัญหาให้แก่เนมิราชอาจารย์ของตน  กลับมาสู่เทวสถานแล้ว  จึงพากันไปเฝ้าท้าวสักกเทวราชทูลว่า  "ข้าแต่มหาเทวราชเจ้า  พระเจ้าเนมิบรมกษัตริย์ เป็นพระอาจารย์ของพวกข้าพระบาท  ข้าพระบาททั้งหลายมั่นอยู่ในโอวาทของพระองค์  จึงได้รับทิพยสมบัติเห็นปานนี้  ข้าพระบาททั้งหลายอยากเห็นพระองค์  ขอมหาราชเจ้าได้เชิญเสด็จพระองค์มา  ณ  เทวสถานนี้เถิด"

ท้าวสหัสสนัยเทวราชรับคำแล้ว  จึงมีเทวบัญชาแก่มาตลีเทพสารถีว่า  "ท่านจงเทียมเวชยันตเทพรถไป
กรุงมิถิลา  เชิญเสด็จพระราชาเนมิราขึ้นทิพยยาน  นำเสด็จมา  ณ  สถานที่นี้"

มาตลีเทพบุตรรับเทวโองการ  เทียมเทพรถขับไป  ขณะนั้นเป็นวันเพ็ญ  พระเจ้าเนมิราชทรงสมาทานอุโบสถศีล  ประทับนั่งอยู่  ณ  พระตำหนัก  มีหมู่อำมาตย์ราชบริพารแวดล้อม  เวชยันตเทพรถก็ได้ปรากฏบนท้องฟ้าพร้อมกับพระจันทร์ในวันเพ็ญ

มหาชนต่างพากันพิศวงเมื่อมองไปบนท้องฟ้า  ต่างก็โจษจรรย์กันว่า  "น่าอัศจรรย์วันนี้มีพระจันทร์ขึ้น  ๒  ดวง"  ขณะโจษจรรย์กันและมองดูอยู่อย่างพิศวงนั้น  เทพรถก็ค่อย ๆ  เคลื่อนออกมาจนเห็นได้ชัด  มหาชนก็ส่งเสียงขึ้นพร้อมกันว่า  "รถ  รถน่ะ  ไม่ใช่พระจันทร์ดอก"  แล้วต่างก็พูดกันต่อไปว่า  "เอ  รถคันนี้จะมารับใครหนอ  มีม้าเทียมเป็นจำนวนตั้งพัน  ท่าจะมารับพระราชาของเราแน่  เพราะพระองค์ทรงเป็นธรรมิกราช  พระอินทร์คงจะทรงเลื่อมใสพระราชาของเรา  จึงส่งเทพรถนี้มารับ  สมควรแล้ว  สมควรแล้ว"

เมื่อมหาชนสนทนากันอยู่  มาตลีเทพบุตรก็ขับรถแล่นมาจอดตรงพระธรณีสีหบัญชร  แล้วกราบทูลพระเจ้าเนมิราชว่า  "ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ  ขอเชิญพระองค์เสด็จประทับบนเทพรถนี้เถิด  บรรดาเทพยดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  มีความปรารถนาจะได้เห็นพระองค์  และต่างระลึกถึงพระคุณของพระองค์ที่ทำให้เขาได้ไปบังเกิดบนสวรรค์  เวลานี้ประชุมคอยเฝ้าพระองค์  ณ  สุธรรมสภา"

พระเนมิราชได้สดับดังนั้น  ทรงรำพึงว่า  "เรายังไม่เคยเห็นเทวโลก  เราจะต้องรับคำเชิญของมาตลีเทพบุตร"  มีพระดำรัสว่า  "ท่านมาตลีเทพบุตร  ข้าพเจ้ายินดีที่จะไปเทวโลกกับท่าน"  ก่อนเสด็จไปตรัสให้ประชุมบรรดาข้าราชบริพารและมหาชน  ณ  หน้าพระลาน  ตรัสว่า  "ท่านทั้งหลาย  บัดนี้เทพยดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ประสงค์จะเห็นเรา  เพราะเขาได้ระลึกถึงบุญคุณของเรา  ที่ทำให้เขาได้ขึ้นสวรรค์  จึงจัดเทพรถมารับเรา  เราจะไปและไปไม่นาน  ท่านทั้งหลายจงอย่าได้ประมาท  อุตส่าห์ทำบุญรักษาศีลเถิด"  ตรัสโอวาทเสร็จแล้ว  ก็เสด็จประทับบนเวชยันตเทพรถ

มาตลีเทพบุตรสารถีทูลถามว่า  "ข้าแต่พระองค์  สถานที่ที่จะนำเสด็จพระองค์ไปนั้นมี  ๒  ทาง  คือ  ไปสถานที่อยู่ของเหล่าชนผู้ทำบาปทางหนึ่ง  ไปสถานที่ของเหล่าชนผู้ทำบุญหนึ่ง  พระองค์จะเสด็จไปทางไหนก่อน  พระเจ้าข้า ?"

พระเจ้าเนมิราชทรงดำริว่า  "เราาควรจะไปสถานที่อยู่ของสัตว์ผู้ทำบาปก่อน  แล้วจึงไปเทวโลก"  ตรัสบอกมาตลีเทพบุตรสารถีว่า  "ท่านจงพาเราไปสถานที่สัตว์ทำบาปก่อน  แล้วจึงไปเทวโลกภายหลัง"

มาตลีเทพบุตรสารถีจึงขับเวชยันตเทพรถออกจากมิถิลานคร  มุ่งตรงไปเมืองนรก  เมื่อผ่านแม่น้ำเวตรณี มาตลีเทพบุตรจึงกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์  นั่นแม่น้ำเวตรณี  เป็นแม่น้ำที่สัตว์นรกมาได้รับทุกข์ทรมานอยู่  ที่แม่น้ำนี้เต็มไปด้วยเถาวัลย์หนามโตเท่าหอก  ปลายหนามมีเพลิงลุกโชติช่วง  มีหลาวเหล็กโตเท่าลำตาล  พวยพุ่งด้วยแสงเพลิง  สัตว์นรกถูกหลาวเหล็กเสียบเหมือนย่างปลา  บนพื้นน้ำมีใบบัวเหล็กแหลมดุจมีดโกน  เมื่อสัตว์นรกพลาดจากหลาวเหล็กตกลงไปบนใบบัวเหล็ก  เมื่อพลัดจากใบบัว
เหล็กลงไปในแม่น้ำ  ซึ่งมีแสงไฟลุกโพลง  ทั้งแสบ  ทั้งร้อน ทั้งปวด  เมื่อสัตว์นรกจมลงไป  ก็ถูกเครื่องสังหารใต้น้ำสับเป็นท่อน ๆ  สัตว์นรกในแม่น้ำนี้ถูกน้ำซัดเข้าฝั่ง  ก็ถูกนิรยบาลเอาหอกแทง  เอาเบ็ดเหล็กขนาดโตเกี่ยวที่ท้องบ้าง  ที่ลำคอบ้าง  ที่ปากบ้าง  แล้วแกว่งไปมา  แล้วลากขึ้นฝั่งให้นอนหงายบนเปลวไฟ  งัดปากออก  เอาก้อนเหล็กแดงมีไฟอุดยัดเข้าไปในปาก  สัตว์นรกที่ตกอยู่ในแม่น้ำนี้อยู่นานเป็นพัน ๆ  ปี

พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกที่ตกอยู่ในเวตรณี  ทรงใคร่ทราบถึงกรรมที่สัตว์เหล่านั้นทำ จึงตรัสถามมาตลีว่า  "สัตว์เหล่านั้นทำบาปอะไรไว้  จึงได้มาตกอยู่ในเวตรณีนี้ ?"

มาตลีเทพสารถีทูลว่า  "สัตว์เหล่านั้น  เมื่อเป็นมนุษย์  ได้ทำบาปหยาบช้า  เบียดเบียนผู้ที่มีกำลังน้อยกว่า ประพฤติตนเป็นอันธพาล  ทำทารุณกรรม  ทั้งจี้  ทั้งปล้น  ทั้งทำร้าย  ให้เขาได้รับบาดเจ็บหรือทุพพลภาพ  หรือตาย  จึงต้องมาทรมานอยู่ในเวตรณีนี้  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าเนมิราชได้สดับถึงการกระทำของสัตว์นรกเหล่านั้น  ทรงดำริว่า  "ไม่น่าเลยที่สัตว์เหล่านั้นจะก่อกรรมทำเข็ญ  จนตัวต้องมากตกอยู่ในภาวะอันแสนทุกข์ทรมานเช่นนี้"





















วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๔ พระเนมิราช (หน้า ๑)






พระราชาแห่งเมืองมิถิลา  ประสูติพระโอรสองค์หนึ่งขนานพระนามว่า  เนมิราช  เพราะพระโอรสนี้จะได้สืบต่อวงศ์กษัตริย์มิถิลา  ซึ่งจะสูญสิ้นอยู่แล้วให้ดำรงอยู่ต่อไปเช่นกงจักรรถ

เนมิกุมารยินดีในการบำเพ็ญทาน  รักษาศีลอุโบสถ  ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์  เมื่อเนมิกุมารเจริญ  พระราชบิดาเบื่อหน่ายในราชสมบัติ  เห็นความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร  ตามเรื่องว่า  พระองค์เห็นเส้นพระเกศาหงอกเพียงเส้นเดียว  ก็มอบราชสมบัติให้เนมิกุมารครองสืบต่อไป  พระองค์เสด็จออกบรรพชา  อาศัยอยู่ในพระราชอุทยานแห่งหนึ่ง  จนกระทั่งเสด็จสวรรคต

พระราชาเนมิราช  ตั้งแต่ครองราชสมบัติมา  พระองค์ก็โปรดให้สร้างศาลาทานขึ้น  ๕  แห่ง  คือ  ริมประตูพระนคร ๔  แห่ง  ท่ามกลางพระนคร  ๑  แห่ง   ทรงบริจาคทรัพย์วันละ  ๕๐๐,๐๐๐  กหาปณะ  (๔  บาท  เท่ากับ  ๑  กหาปณธ)  ทรงรักษาเบญจศีลเป็นนิตย์  สมาทานอุโบสถทุกปักษ์  ทรงแสดงธรรมสั่งสอนประชาชนให้มั่นอยู่ในศีลในธรรม  ประชาชนที่ตั้งอยู่นศีลในธรรมนั้น  ครั้นสิ้นชีพแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์  ปรากฏว่า  บนสวรรค์เต็มไปด้วยเทพเจ้า  ส่วนนรกนั้นว่างเปล่า  เพราะไม่มีคนทำบาปหยาบช้าที่จะลงไปเกิด

หมู่เทพเจ้าบนดาวดึงส์  ประชุมกันสรรเสริญคุณงามความดีของพระเนมิราช  เรียกพระเนมิราชว่า  พระอาจารย์  เพราะเทพยดาเหล่านั้นได้ไปเสวยทิพยสมบัติกัน  ก็เพราะตั้งอยู่ในคำสอนของพระเนมิราช  แม้มหาชนในโลกมนุษย์  ต่างก็พากันแซ่ซ้องสาธุการในกุศลจริยาของท่าน  เป็นอันว่าเกียรติคุณของพระเนมิราชแผ่ไพศาลไปในที่ทุกแห่ง  ซึ่งท่านเปรียบไว้ว่า  เหมือนเอาน้ำมันเทลงไปบนมหาสมุทร  ฉะนั้น

เมื่อพระเนมิราชทรงบำเพ็ญทานอยู่นั้น  ทรงพระดำริว่า  "ทานกับพรหมจรรย์  อย่างไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากัน"

พระดำริของพระองค์ทำให้ทรงเกิดความสงสัย  ไม่สามารถจะตัดสินพระทัยอย่างได้  ทรงปริวิตกอยู่ตลอดเวลา

ท้าวสักกเทวราช  เมื่อทรงทราบถึงข้อปริวิตกของพระเนมิราชเช่นนั้น  จึงดำริที่จะแก้ข้อสงสัยให้หายปริวิตก  จึงเสด็จจากดาวดึงส์  ประทับอยู่  ณ  พื้นนภากาศ  เปล่งพระรัศมีพวยพุ่งเข้าสู่ห้องพระบรรทมของพระเนมิราช

พระเนมิราชทอดพระเนตรเห็นรัศมีพุ่งมาเช่นนั้น  ก็ทรงทราบว่า  เป็นรัศมีของท้าวสักกเทวราช  จึงมีพระดำรัสว่า  "ข้าแต่ท้าวสักกรินทรเทพ  พระองค์ทรงแสดงรัศมีโชติช่วงมา  ณ  ที่นี้เพื่อประสงค์อันใด"

ท้าวสักกะ  "หม่อมฉันมา  ณ  ที่นี้ก็เพื่อจะแก้ความขัดข้องสงสัยในปัญหาต่าง ๆ  ซึ่งมีอยู่แก่พระองค์  หากพระองค์มีพระประสงค์จะถามอะไรกับหม่อมฉัน  ก็ขอให้ถามมาเถิด"

พระเนมิราชทรงพอพระทัยที่จะมีผู้แก้ข้อสงสัยในเรื่องที่กำลังทรงดำริอยู่  จึงตรัสว่า  "ข้าแต่ท่านท้าวสักกรินทรเทวราช  ข้าพระบาทสงสัยว่า  ระหว่างทานกับพรหมจรรย์นี้อย่างไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันนะ พระเจ้าข้า"

ท้าวสักกะเทวราชตรัสว่า

"ข้าแต่ท่านผู้เป็นสมมติเทพ  บุคคลที่มาเกิดใน

ตระกูลกษัตริย์  ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ต่ำ  บุคคลได้

เป็นเทพเจ้า   ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ปานกลาง  

บุคคลที่ถึงความบริสุทธิ์  ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์สูงสุด

การเป็นพรหม  ไม่ใช่เป็นได้ง่าย ๆ  เพียงวิงวอน

ขอให้เป็น  ผู้ที่จะเป็นพรหมได้นั้นต้องไม่มีเหย้าเรือน

ต้องบำเพ็ญตบะธรรมสม่ำเสมอ"

องค์อมรินทร์เทวราชได้พรรณนาต่อไปว่า  "การประพฤติพรหมจรรย์เป็นคุณมากมายกว่าการบริจาค  ซึ่งจะเปรียบกันมิได้เลย  กษัตริย์ทั้งหลายที่แล้ว ๆ  มา  ได้บริจาคทานเป็นการใหญ่  แต่ก็ไม่สามารถที่จะล่วงพ้นจากท่องเที่ยวอยู่ในกามกิเลสไปได้เลย  จริงอยู่


บุคคลไม่มีเพื่อน  อยู่คนเดียวก็หมดสนุก  หมด

ความรื่นรมย์  ถ้ามีเพื่อนก็มีความสนุก  มีความรื่นรมย์

แต่ไม่ได้ปิติอันเกิดจากวิเวก  บุคคลเช่นนั้นถึงจะมี

โภคสมบัติมหาศาลเสมอด้วยองค์อินทร์  ก็ชื่อว่า  เป็น

คนเข็ญใจ  เพราะได้ความสุขด้วยอาศัยคนอื่น"

ท่าวสักกะได้อ้างถึงอาบสหลายท่านที่ประพฤติพรหมจรรย์ชั้นสูงแล้ว  ล่วงพ้นจากกามกิเลส  บังเกิดในพรหมโลก   ได้รับความสงบอันเป็นสุขที่แท้จริง  แล้วพระองค์ก็ทรงเล่าเรื่องที่ปรากฏแก่พระองค์เองมา

เรื่องมีอยู่ว่า  ครั้งก่อนโน้นมีแม่น้ำชื่อว่า  สีทา  อยู่ในระหว่างภูเขาทอง  ๒  ลูก  เป็นแม่น้ำลึกและใส อะไร ๆ  ตกลงไปก็ไม่ลอย  จมทันที  แม้แต่แววหางนกยูง   ภูเขาทอง  ๒  ลูกนั้นมีสีเหมือนไฟไหม้ไม้อ้อสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา  บนพื้นฝั่งแม่น้ำมีต้นกฤษณาส่งกลิ่นหอมอบอวล  มีทั้งพฤกษชาติที่เป็นดอกและเป็นผล  นักพรตจำนวนหมื่นอาศัยอยู่  ณ  ที่นั้น  ล้วนสำเร็จอภิญญา  สมาบัติ  ท่านเหล่านั้นไม่ติดในรส  มีความสุขอยู่กับฌานสมาบัติ  

มีนักพรตรูปหนึ่งเหาะไปยังเมืองพาราณสี  ออกเที่ยวบิณฑบาตไปถึงประตูบ้านปุโรหิต  ปุโรหิตเลื่อมใสในความสงยและเรียบร้อยของท่าน  นิมนต์ท่านเข้าไปในบ้าน  แล้วจัดอาหารถวาย  ปุโรหิตถามว่า  "พระคุณเจ้าอยู่ที่ไหน ? "

นักพรตตอบว่า  "อาตมาอยู่บนฝั่งแม่น้ำสีทา  ระหว่างภูเขาทองในป่าหิมพานต์โน้น"

ปุโรหิตถามว่า  "พระคุณเจ้าอยู่รูปเดียวหรือ ?"

นักพรต  "อาตมาอยู่ด้วยกันจำนวนหมื่น  และท่านเหล่านั้นล้วนสำเร็จอภิญญาสมาบัติทั้งนั้น"

ปุโรหิตได้ฟังก็รู้สึกเลื่อมใสในคุณสมบัติของนักพรตเหล่านั้น  คิดอยากจะเป็นนักพรตบ้าง  จึงถามว่า  "พระคุณเจ้าจะพาข้าพเจ้าไปที่นั้นแล้วบวชให้จะได้หรือไม่ ?"

นักพรต  "ท่านเป็นราชบุรุษ  อาตมาไม่อาจจะบวชให้ได้"

ปุโรหิต  "ถ้าเช่นนั้น  ข้าพเจ้าจะทูลลาพระมหากษัตริย์วันนี้  พรุ่งนี้นิมนต์พระคุณเจ้ามาที่นี้อีก"

เมื่อนักพรตรับคำแล้ว  ปุโรหิตก็ไปเฝ้าพระราชาในเช้าวันนั้น  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พระบารมีปกเกล้า  ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมลาเพื่อออกบวช  พระเจ้าข้า"

พระราชาตรัสถามว่า  "ท่านอาจารย์  ทำไมจะบวชเสียเล่า ?"

ปุโรหิตกราบทูลว่า  "ข้าพระพุทธเจ้าเห็นโทษในกาม  เห็นอานิสงส์ในการออกบวช  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "ดีแล้วท่านอาจารย์ไปบวชเถิด  เมื่อบวชแล้วมาหาเราบ้าง"

ปุโรหิตดีใจที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้บวช  ถวายบังคมลากลับมาบ้าน  เรียกบุตรภรรยามาพร้อมหน้ากัน  แล้วสั่งสอนให้ประพฤติดีประพฤติชอบ  เสร็จแล้วมอบสมบัติให้  เตรียมบริขาบรรพชาไว้คอยท่านักพรต





















วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม (หน้า ๕)

ปาริกาดาบสินีพูดพลางสะอื้นพลางว่า  "โอ  ลูกรักของแม่ลูกเลี้ยงดูพ่อแม่ไม่ให้เดือนร้อน  เมื่อมีผู้มาฆ่าลูกเช่นนี้  จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร"

ทุกูลดาบสพูดปลอบโยนว่า  "แม่ปาริกา  ขอสำรวมจิตอย่าคิดโกรธเลย  บัณฑิตย่อมสรรเสริญผู้ไม่โกรธต่อคนที่ทำผิดรับผิด  ดังเช่นพระราชาพระองค์นี้  พระองค์ฆ่าลูกของเรา  พระองค์ก็ทรงสารภาพแก่เราแล้ว"

พระราชาปิลยักขราช  ตรัสปลอบดาบสดาบสินีว่า  "ท่านทั้งสองอย่าอาวรณ์อาลัยให้มากไปเลย  ข้าพเจ้ารับจะเลี้ยงดูท่านทั้งสองให้มีความสุขเช่นเดียวกับที่สุวรรณสามบุตรท่านเลี้ยงดูท่านทุกอย่าง  ขอให้คลายความโศกเสียเถิด"

ดาบสดาบสินีกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์  ข้าพระองค์จะยอมให้พระองค์ทำเช่นนั้นไม่ได้ พระองค์ทรงเป็นเจ้าเหนือหัวของข้าพระบาท  ข้าพระบาทขออยู่ตามประสายากเช่นนี้แหละ  พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงพอพระทัย  ที่เห็นดาบสดาบสินีไม่แสดงอาการโกรธเคืองตน  กลับแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์  และยกย่องพระองค์  เพื่อให้ดาบสดาบสินีเห็นว่า  พระองค์เต็มพระทัยที่จะปฏิบัติเขาทั้งสอง จึงตรัสว่า  "ท่านทั้งสอง  ข้าพเจ้าขอรับท่านทั้งสองให้เป็นบิดามารดาของข้าพเจ้า  ท่านอย่าถือว่าข้าพเจ้าเป็นพระราชาเลย  ขอให้นึกว่าข้าพเจ้าเป็นสุวรรณสามเถิด

ดาบสดาบสินีกราบถวายบังคมทูลวิงวอนว่า  "ข้าแต่พระองค์  การงานอย่างอื่นที่พระองค์จะทรงทำแก่ข้าพระบาททั้งสองไม่มีแล้ว  นอกจากข้าพระบาททั้งสองขอพระองค์ทรงพระกรุณา  ถือไม้เท้าพาข้าพระบาททั้งสองไปที่ศพของพ่อสุวรรณสาม  พอให้ได้ลูบคลำลูกก็พอแล้ว  จากนั้นข้าพระบาททั้งสองก็จะทรมานตัวให้ตายไปตามลูกด้วย  พระเจ้าข้า"

พระราชาปิลยักขราชทรงรับที่จะพาไป  จึงจูงดาบสดาบสินีนำไปยังที่ที่สุวรรณสามนอนจมเลือดอยู่  เมื่อไปถึงแล้วพระองค์รับสั่งว่า  "นี่บุตรของท่าน"

ทุกูลดาบสคลำหาศีรษะลูก  พบแล้วก็ช้อนศีรษะสุวรรณสามวางไว้บนตัก  นางปาริกาดาบสินียกเท้าสุวรรณสามขึ้นวางบนตักเช่นกัน  และทั้งสองก็โศกเศร้ารำพันว่า


"โอ  พ่อสุวรรณสามลูกรักของพ่อแม่  พ่อหลับเอา

จริง ๆ  พ่อไม่พูดให้พ่อแม่ชื่นใจบ้างเลย  พ่อเคยเลี้ยงดู

พ่อแม่  ต่อแต่นี้ไปใครเล่าจะจัดหาผลไม้และน้ำเย็น

น้ำร้อนให้พ่อแม่อาบ  นอกจากพ่อสุวรรณสาม  พ่อและแม่ไม่เห็นใครแล้ว"


ขณะที่ทั้งสองดาบสพร่ำเพ้ออยู่นั้น  เผอิญปาริกาดาบสินีลูบคลำไปที่อกของสุวรรณสามยังมีอาการอบอุ่นอยู่  นางคิดว่า  พ่อสุวรรณสามคงเพียงสลบไปเท่านั้น  คงยังไม่ตาย  จึงสัตยาธิษฐานว่า


"พ่อสุวรรณสามนี้ตั้งแต่เกิดมาก็ตั้งอยู่ในสัมมาจารีต

ตลอดมา  ทั้งเปี่ยมด้วยกตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดา

บังเกิดเกล้า เรารักพ่อสุวรรณสามยิ่งกว่าชีวิตของเรา

ด้วยสัจวาจานี้  ขอให้พิษหายไปเถิด"

ทุกูลดาบสเห็นดังนั้นก็ดีใจ  คิดว่า  ลูกยังมีชีวิตอยู่  จึงตั้งสัตยาธิษฐานบ้าง  อย่างเดียวกับที่นางปาริกาอธิษฐาน  เมื่อจบคำอธิษฐานของบิดา  สุวรรณสามก็พลิกตัวอีกข้างหนึ่งแล้วนอนต่อไป

ส่วนนางเทพธิดาสุธรี  ก็ตั้งสัตยาธิษฐานว่า

"เราอยู่  ณ  เขาคันธมาทน์มาเป็นเวลานาน  เราไม่

รักใครมากเท่ากับสุวรรณสามเลย  ด้วยคำสัตย์นี้  

ขอให้พิษจงหายไป"


ทันใดนั้นก็เกิดอัศจรรย์  ๔  อย่างขึ้น  ในขณะเดียวกัน  คือ
  1. สุวรรณสามหายจากบาดเจ็บ  ลุกขึ้นได้เหมือนคนปรกติ
  2. ตาทั้งสองข้างของสองดาบสดาบสินีเป็นปรกติ  เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง
  3. แสงอุณขึ้น
  4. คนทั้ง 4  คือ  พระเจ้าปิลยักขราช  ทุกูลดาบส  นางปาริกาดาบสินีและสุวรรณสาม  ปรากฏอยู่  ณ  อาศรม
มารดาบิดา  เมื่อตาแจ่มใสเห็นลูกหายเป็นปรกติก็ดีใจ  ตรงเข้าจูบกอดลูกด้วยความปลาบปลื้มเสน่หา

สุวรรณสามบัณฑิตกล่าวขึ้นว่า  "ขอความสุขความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด  บัดนี้ข้าพเจ้าหายเป็นปรกติแล้ว  ขอให้ได้มีการสนทนาสัมโมทนียกถากันเถิด"  สุวรรณสามมองไปเห็นพระราชา  จึงถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า  "ข้าแต่มหาราช  พระองค์เสด็มาดีแล้ว  ขอพระองค์เสวยผลไม้เท่าที่มีอยู่  เช่น  มะพลับ  มะหาด  มะซาง  ขอทรงเลือกตามพระประสงค์เถิด ข้าพระองค์ดีใจมากที่พระองค์เสด็จมา  ณ  ที่นี้"

พระราชาปิลยักขราชทอดพระเนตรเห็นความมหัศจรรย์เช่นนั้น  จึงตรัสว่า  "ข้าพเจ้ามึนงงไปหมดทั้งแปดด้าน  ไม่รู้อะไรเป็นอะไร  ข้าพเจ้าเห็นสุวรรณสามสิ้นชีวิตแล้ว  ไฉนจึงฟื้นขึ้นมาได้  น่าอัศจรรย์จริง"

สุวรรณสามบัณฑิตดำริว่า  "พระราชาสำคัญว่า  เราตายแล้ว  แต่เราก็ยังไม่ตาย  เราจะประกาศให้พระราชาทรงทราบว่า  เราไม่ตายเพราะอะไร"


"ข้าแต่มหาราชเจ้า  บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดา

โดยชอบธรรมเทพยดาและมนุษย์ย่อมแก้ไขคุ้มครอง

บุคคลนั้น  นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น

ในโลกนี้  เมื่อเขาละโลกนี้ไปแล้ว  ย่อมร่าเริงบันเทิงอยู่

บนสวรรค์"


พระราชาปิลยักขราชได้สดับคำของสุวรรณสาม  ทรงดำริว่า  "น่าประหลาดอะไรเช่นนี้  คนที่เลี้ยงดูบิดามารดาด้วยดี  แม้เทพยดาก็อุปถัมภ์ค้ำชูเยียวยาให้หายจากโรคได้  พ่อสุวรรณสามนี้น่ารักเหลือเกิน"  ทรงดำริดังนี้แล้ว  ประคองอัญชลีตรัสว่า  "พ่อสุวรรณสามบัณฑิต  ข้าพเจ้าหลงงมงายมานานแล้ว  ท่านทำให้ข้าพเจ้ามีความสว่างไสวดีจริง  ข้าพเจ้าขอยึดท่านเป็นสรณะ  ขอท่านจงเป็นสรณะของข้าพเจ้าเถิด"

สุวรรณสามบัณฑิตกราบทูลพระราชาว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  หากพระองค์ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จสู่สวรรค์  เพื่อเสวยทิพยสมบัติแล้ว  ขอพระองค์ทรงประพฤติราชธรรมจรรยาดังข้าพระบาทจะทูลถวาย  ณ  บัดนี้"

พระราชาทรงแสดงความเคารพน้อมรับที่จะฟังราชธรรมจรรยา

สุวรรณสามบัณฑิตจึงถวายโอวาทราชธรรมจรรยาแด่พระราชาว่า


"ข้าแต่มหาราช  ขอพระองค์ทรงประพฤติดีประพฤติ

ชอบในพระชนกชนนี  มิตร,  อำมาตย์,  ไพร่พล,  ชาวบ้าน,  

ชาวนิคม,  ชาวเมือง,  ชาวชนบท,  สมณพราหมณ์,  เนื้อ,  

นก  เถิด  เมื่อพระองค์ประพฤติดีประพฤติชอบดังนี้แล้ว

พระองค์จักเสด็จไปสวรรค์"

ข้าแต่มหาราชเจ้า  พระอินทร์  เทวดา  พรหม  ได้

เสวยทิพยสมบัติในเทวโลก  ก็เพราะประพฤติดีประพฤติ

ชอบนี้แหละ  ขอพระองค์ทรงประพฤติราชธรรมด้วยความไม่ประมาทเถิด"


พระสุวรรณสามบัณฑิตแสดงราชธรรมถวายพระราชาจบแล้ว  เมื่อจะถวายโอวาทให้ยิ่ง ๆ  ขึ้น  จึงให้พระราชาสมาทานเพญจศีล

พระราชาสมาทานเบญจศีลแล้ว  ทรงไหว้พระสุวรรณสาม ขอขมาโทษที่ได้ทำให้เดือดร้อนแต่หนหลัง  แล้วเสด็จกลับเมืองพาราณสี  ทรงบำเพ็ญกุศลกิจ  มีให้ทาน  รักษาศีล  ครองราชสมบัติโดยชอบธรรม  จนตราบเท่าพระชนมชีพของพระองค์

ฝ่ายสุวรรณสามบัณฑิตก็เลี้ยงดูบิดามารดา  แล้วบำเพ็ญฌานสมาบัติจนสำเร็จ  เมื่อสิ้นชีพก็ไปบังเกิดเป็นพรหมอยู่  ณ  พรหมโลกร่วมกับบิดามารดา  ณ  ที่นั้น

เรื่องนี้เก็บความจากสุวรรณสามชาดก  คติธรรมที่ได้จากเรื่องนี้  คือ

ความเมตตากรุณา
ความกตัญญูกตเวที
ความสัตย์
ความรักระหว่างบิดามารดากับบุตร


.............จบบริบูรณ์..........





























วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม (หน้า ๔)

พอรำพันจบก็แน่นิ่งไป  ฝ่ายพระราชาปิลยักขราชได้สดับคำรำพันของสุวรรณสามเช่นนั้น  ทรงดำริว่า  "ชายผู้มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาเยี่ยมยอด  เมื่อได้รับทุกข์ก็ร่ำรำพันถึงบิดามารดา  เราเป็นผู้ผิด  ทำร้ายผู้มีคุณธรรม  เราจะรับบำรุงบิดามารดาของชายผู้นี้ให้ดีเท่ากับที่เขาบำรุงมา"  แล้วตรัสปลอบสุวรรณสามว่า

"พ่อสุวรรณสาม  ท่านอย่าร่ำไรร้องไห้ไปเลย  เราจะรับเลี้ยงดูบิดามารดาของเจ้าให้เหมือนกับที่เจ้าปฏิบัติมา  เราทราบว่า  บิดามารดาของเจ้าอยู่ที่ป่าไหน  เราจะไปรับใช้ท่านเดี๋ยวนี้"

สุวรรณสามกุมารดีใจกราบทูลว่า  "ดีแล้วพระเจ้าข้า ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณา  โปรดเลี้ยงดูบิดามารดาของข้าพเจ้าด้วยเถิด  บิดามารดาของข้าพระองค์อยู่ต่อจากนี้ไปไม่ไกลนัก  ประมาณกึ่งเสียงกู่ ขอเชิญเสด็จไปเถิด  พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงรับว่า  "เอาเถอะพ่อสุวรรณสาม  เราจะไปหาบิดามารดาเจ้าเดี๋ยวนี้  เจ้าจะสั่งอะไรถึงบิดามารดาบ้าง"

สุวรรณสามกุมารกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระองค์ขอสั่งฝากการกราบไหว้บิดามารดาไปด้วยเถิด  พระเจ้าข้า"

พอสุวรรณสามยกมือทั้งสองประนมแล้วกราบลง  ก็ล้มฟุบสลบไปด้วยแรงยาพิษที่อาบลูกศร  ปากปิด ตาหลับ  มือและเท้าแข็ง  ร่างกายโซมด้วยโลหิต

พระราชาปิลยักขราช  ทอดพระเนตรเห็นอาหารของสุวรรณสามเช่นนั้น  ทรงตกพระทัยและสงสารสุดกำลัง  ทรงลูบคลำพิจารณาลมอัสสาสะปัสสาสะของสุวรรณสาม  เห็นหมดลมทั้งร่างกายก็แข็ง  ทรงแน่พระทัยว่า  สุวรรสามกุมารสิ้นใจแล้ว  ไม่อาจที่จะทรงกลั้นความเศร้าโศกเสียพระทัยไว้ได้  พระหัตถ์ทั้งสองกุมพระเศียรแล้วก็ทรงปริเทวนาการคร่ำครวญว่า

"โอหนอ  เราผู้เป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่  สำคัญตนว่าจะ

ไม่แก่  ไม่ตาย  บัดนี้เราได้เห็นจริงแล้ว  เพราะได้เห็น

พ่อสุวรรณสามถึงแก่กรรม  อันความตายที่จะไม่มา

ถึงนั้นเป็นไม่มีแล้ว  แต่เราผู้ทำกรรมหนัก  เมื่อตาย

จะต้องไปนรกแน่นอน  เมื่อยังไม่ตายก็จะได้คำติเตียน

จากประชาชน  เราทำกรรมหนักหนอ"

จะกล่าวถึงนางเทพธิดา  พสุนธรี  สถิตอยู่  ณ  เขาคันธมาทน์  นางเคยเป็นมารดาของสุวรรณสามในอัตภาพที่ ๗  เมื่อทราบว่า  สุวรรณสามถูกพระราชาปิลยักขราชยิงล้มสลบอยู่ข้างหาดทรายฝั่งแม่น้ำ นางจึงรีบออกจากเขาคันธมาทน์ตรงไปยังฝั่งน้ำ  สถิตอยู่บนอากาศ  ไมปรากฏกาย  เปล่งเสียงออกมาทางอากาศว่า

"ข้าแต่พระราชา  พระองค์ทำผิดมากที่พระองค์

ทรงฆ่าสุวรรณาสาม  ผู้หาความผิดมิได้  มารดาบิดาของ

สุวรรณสามก็จะพลอยสิ้นชีวิตไปด้วย  เพราะความ

เศร้าโศกถึงบุตร  และอาจอดอาหารตาย  ทั้งพระองค์

ก็จะต้องตกนรก  มาเถิดพระราชา  ข้าพเจ้าจะถวาย

โอวาทให้พระองค์พ้นนรก  และเสด็จสู่สวรรค์  ขอให้

พระองค์ทรงเลี้ยงดูมารดาบิดาของสุวรรณสามซึ่ง

เสียตาทั้งสอง  ให้เหมือนกับที่สุวรรณสามเลี้ยงมาเถิด  

ท่านจะได้ไปสวรรค์เพราะเหตุนี้"

พระราชาปิลยักขราชได้สดับคำของเทพธิดาซึ่งไม่ปรากฏกายเช่นนั้น  ก็ทรงเห็นด้วย  รับที่จะเลี้ยงดูมารดาบิดาของสุวรรณสาม  และไม่ทรงคิดที่จะกลับเข้าพระนคร  เพราะทรงเห็นว่า  ราชสมบัติไม่มีประโยชน์อะไรแก่พระองค์  ก่อนจะเสด็จไป  ได้นำดอกไม้นานาชนิดมาเคารพ  ด้วยมั่นพระทัยว่า  สุวรรณสามสิ้นชีวิตแน่  เมื่อทำพิธีเสร็จก็ยกหม้อน้ำที่สุวรรณสามตักไว้นั้น  เสด็จไปหาบิามารดา  เมื่อถึงก็ประทับยืนอยู่หน้าประตูศาลา  วางหม้อน้ลง

ทุกุลดาบสนั่งอยู่ภายในอาศรม  ได้ยินเสียงเท้าคนขึ้นมา  ก็แน่ใจว่าไม่ใช่ฝีเท้าของสุวรรณสาม  เพราะฝีเท้าหนักมาก  จึงร้องถามไปว่า  "ใครนั่นมา  ไม่ใช่สุวรรณสามแน่  เพราะฝีเท้าหนักมาก  ลูกเราเดินเบาแทบไม่รู้สึก  ท่านเป็นใคร  มาธุระอะไรหรือ ?"

พระราชาปิลยักขราชได้สดับดังนั้น  ทรงดำริว่า  "หากเราไม่บอกความจริงว่า  เราเป็นราชา  บอกเพียงว่า  เราได้ฆ่าลูกท่านตาย  ดาบสดาบสินีก็จะโกรธและแสดงความหยาบคายแก่เรา  เราก็จะระงับความโกรธไม่อยู่  อาจคิดการรุนแรงกันต่อไป  ความดำริที่จะทำดีของเราจะเสียไป  เมื่อเราบอกความจริงว่า  เราเป็นราชา  อาจทำให้สองสามีภรรยาเกรงกลัว  ไม่กลัาพูดรุนแรงกับเรา"  ดำริดังนี้แล้วจึงตรัสว่า  "ข้าพเจ้าปิลยักขราช  เป็นราชาแห่งแคว้นกาสี  มาเที่ยวล่าเนื้อในป่านี้"

ทุกุลดาบสเมื่อทราบว่าเป็นพระราชา  ก็ก้มกราบถวายบังคมทูลว่า  "ข้าแต่พระราชาธิบดี  พระองค์เสด็จมาดีแล้ว  ขอพระองค์เสวยผลไม้เท่าที่มีอยู่  เช่น ผลมะพลับ  ผลมะหาด  ผลมะซาง  ขอทรงเลือกตาม
พระประสงค์เถิด  ข้าพระองค์ดีใจมากที่พระองค์เสด็จมาที่นี่  พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร  ๆ  มาก่อน  แม้เรื่องสุวรรณสามที่ถูกพระองค์ยิงก็ยังไม่ทรงบอก  ชวนดาบสคุยเรื่ออื่น  ตรัสถามว่า  "ท่านเสียจักษุทั้งสองคน  ก็ใครเล่าเป็นคนหาผลไม้มาเลี้ยงท่าน  ข้าพเจ้าเห็นผลไม้ที่วางไว้อย่างเรียบร้อยนี้  เข้าใจว่าคงมีคนตาดีจัดไว้แน่ ๆ "

ทุกูลดาบสกราบทูลว่า  "ข้าแต่สมมติราช  พ่อสุวรรณสามบุตรชายของข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำผลไม้มา  เวลาานี้กำลังไปตักน้ำที่ท่า  ไม่ช้าก็คงกลับ  พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงดำริว่า  ถึงเวลาที่จะบอกความจริงแก่ดาบสแล้ว  จึงตรัสว่า  "สุวรรณสามบุตรชายของท่านถูกลูกศรของข้าพเจ้าตายนอนจมโลหิตอยู่ที่ท่าน้ำนั่นเอง"

นางปาริกาดาบสินีซึ่งอยู่ใกล้ ๆ  พอได้ยินว่าสุวรรณสามถูกศรตาย  ก็รีบมาฟังความ  ถามทุกูลดาบสว่า  "ท่านพูดอยู่กับใครและใครมาบอกว่าพ่อสุวรรณสามถูกศรตาย  ใจข้าพเจ้าจะขาดอยู่แล้ว  ช่วยบอกมาไว ๆ เถิด"

ทุกูลดาบสสำรวมสติมั่นคง  ค่อย ๆ  พูดปลอบประโลมดาบสินี  "ปาริกาเอ๋ย  ผู้ที่พูดอยู่กับเรานี้  คือ  พระมหากษัตริย์แห่งกาสีนี้เอง  พระองค์เป็นผู้ยิงลูกเราตาย  แม่อย่าได้โกรธเคืองพระองค์ท่านเลย  นึกว่าเป็นเวรกรรมของลูกและของเราทั้งสองก็แล้วกัน"





















วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม (หน้า ๓)

ท้าวปิลยักขราชยกธนูอันกำซาบอาบยาพิษ  จ้องเล็งหมายลำตัวของสุวรรณสาม  พอได้ระยะดีก็ยิงออกไปถูกข้างขวาทะลุออกข้างซ้าย  บรรดาสัตว์ทั้งหลายต่างตกใจหนีเข้าป่าไปหมด  สุวรรณสามเมื่อรู้ว่าถูกยิง  ก็ตั้งสติค่อย ๆ  ประคองหม้อน้ำวางลงกับพื้น  แล้วค่อย ๆ  เอนกายหันศรีษะไปทางทิศที่บิดามารดาอยู่  แล้วกราบลง  คุมสติไว้ให้แน่วกล่าวขึ้นว่า

"ในป่านี้ไม่เห็นมีใครที่จะเป็นเวรกับเราหรือกับบิดา

มารดาของเรา  ใครหนอมายิงเรา  จะซ่อนกายอยู่ทำไม

อนึ่ง  เนื้อของเราก็มิใช่เป็นอาหาร  หนังของเรา

ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้  ไฉนจึงมายิงเราได้

ท่านเป็นใคร  ท่านเป็นบุตรใคร  เราจะรู้จักกับท่าน

ได้อย่างไร  ท่านยิงเราแล้ว  ทำไมซ่อนตัวอยู่เล่า"

เมื่อพูดเสร็จก็ล้มฟุบแน่นิ่งไป


ท้าวปิลยักขราชได้สดับถ้อยคำอ่อนหวานของสุวรรณสามกุมาร  จึงดำริว่า  "ชายผู้นี้ถูกเรายิงล้มลงแล้ว  ไม่เห็นแสดงอาการโกรธเคืองเรา  ไม่เห็นด่าว่าตัดพ้อเรา  กลับเรียกหาเราด้วยถ้อยคำอ่อนหวานน่ารัก  เราจะต้องไปแสดงตัวให้ปรากฏ"  แล้วพระองค์ก็เสด็จไปประทับยืนอยู่ใกล้ ๆ  สุวรรณสามกุมาร  ตรัสว่า  "พ่อหนุ่มน้อย  เราเป็นพระเจ้าแผ่นดินแคว้นกาสีนี้  ชื่อว่า  ปิลยักขราช  เจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร  ทำไมจึงมาที่นี่"

สุวรรณสามกุมารคิดว่า  "ถ้าเราจะทูลว่า  เราเป็นเทวดา  นาค  ยักษ์  กินนรหรือกษัตริย์อย่างใดอย่างหนึ่ง  พระราชาก็คงเชื่อเรา  แต่เราควรพูดความจริง"  คิดดังนั้นแล้วจึงกราบทูลว่า


"ขอเดชะ  ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงธรรมิกราช  ข้า

พระพุทธเจ้าเป็นบุตรของดาบส    มีชื่อว่า    สุวรรณสาม  

ข้าพระพุทธเจ้าถูกพระองค์ยิง    เช่นเดียวกับมฤค

ถูกพรานยิง  ขอพระองค์จงทอดพระเนตรลูกศรที่แล่น

ทะลุขวาซ้ายในกายของข้าพระพุทธเจ้า    โลหิตอาบ

ไปทั่วตัว    แม้ในปากของข้าพระพุทธเจ้าก็มีโลหิต    ข้า

พระพุทธเจ้าต้องบ้วนออก  ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบ

ทูลถามว่า  พระองค์ทรงยิงข้าพระพุทธเจ้าด้วยเหตุไร

ธรรมดาผู้ที่ฆ่าเสือเหลืองก็เพราะต้องการหนัง  ฆ่าช้าง

ก็เพราะต้องการงา   ข้าพระพุทธเจ้าขอทราบ  พระองค์

ต้องการอะไรในตัวข้าพระพุทธเจ้านี้หรือ"  


พระราชาปิลยักขราชตรัสเท็จว่า  "พ่อสุวรรณสาม  เราออกป่าเพื่อแสวงหาเนื้อเป็นอาหาร  เมื่อได้พบเนื้อที่นี่ก็ดีใจหมายจะยิง  แต่พอจะยิง  เจ้าเดินมา  เนื้อหนีไปหมด  เราจึงโกรธท่าน"

สุวรรณสามกุมารกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พระองค์ตรัสอะไรเช่นนั้น  บรรดาเนื้อในป่านี้ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์เลย  ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เสมอ"

พระราชาปิลยักขราชได้สดับคำกราบทูลของสุวรรณสามเช่นนั้น  จึงทรงดำริว่า  "เรายิงสุวรรณสามผู้ไม่มีความผิดและยังได้กล่าวเท็จออกไป  ซึ่งไม่สมควรแก่เราผู้เป็นกษัตริย์เลย  เราจะบอกความจริงแก่สุวรรณสาม"  แล้วตรัสว่า  "พ่อสุวรรณสาม  เป็นความจริงอย่างที่เจ้าพูด  เนื้อในป่านี้มิได้ตกใจกลัวเจ้า เราพูดเท็จแก่เจ้า ที่เราต้องยิงเจ้าครั้งนี้ก็เพราะความโกรธความโลภของเราเอง  อ้อ  พ่อสุวรรณสาม เจ้าอาศัยอยู่ที่ใด  อยู่กับใคร  และใครใช้ให้เจ้ามาตักน้ำ"

สุวรรณสามกุมารกลั้นทุขเวทนา  บ้วนโลหิตออก  กราบทูลว่า"ข้าแต่พระองค์  บิดามารดาของข้าพระองค์ตาบอดทั้งสองคน  ข้าพระองค์ทำหน้าที่เลี้ยงดูท่านทั้งสอง  ขณะนี้อาศัยอู่ในป่าใหญ่โน้น"  ครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว  ก็บ่นรำพันถึงบิดามารดาว่า


"โอ  อาหารยังมีพอสำหรับบิดามารดาหรือไม่หนอ

อาหารที่เก็บไว้นั้นจะมีพอได้เพียง  ๖  วัน  เมื่อท่าน

ทั้งสองกระหายน้ำก็จะไม่มีใครตักให้ท่าน  อาจตาย

เพราะไม่ได้ดื่มน้ำ  ความทุกข์ของเราที่ถูกยิงครั้งนี้

ยังไม่หนักเท่ากับความทุกข์ที่เราไม่เห็นบิดามารดา

และยิ่งนึกถึงว่า  บิดามารดาจะร้องหาเราว่า

พ่อสาม  พ่อสาม  เมื่อไม่ได้ยินเสียงขานรับก็จะเศร้าโศก

อาดูร  ใจแทบขาด  โอ้บิดามารดาของลูก  คงไม่เห็น

หน้าลูกเป็นแน่แล้ว"


















วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม (หน้า ๒)


กาลต่อมานางปาริกาดาบสินีก็ตั้งครรภ์  ครั้นครบกำหนด  นางก็คลอดบุตรมีผิวพรรณดังทองคำ  เพราะเหตุที่บุตรมีผิวพรรณเช่นนั้น จึงได้ชื่อว่า  "สุวรรณสามกุมาร"  เมื่อดาบสินีไปป่าหาผลไม้  บรรดากินนรีที่อยู่บนภูเขาแถวนั้น  ต่างก็มาอุ้มสุวรรณสามกุมารไปอาบน้ำตามซอกเขา  แล้วอุ้มพาขึ้นไปยอดเขา  นำดอกไม้นานาพรรณมาประดับประดาให้กุมาร  เขาหาดาลหินอ่อนฝนกับแผ่นหินประพรมให้เสร็จ  แล้วนำมาส่งอาศรม  กินนรีทั้งหลายได้ปรนนิบัติกุมารอยูโดยนัยนี้  จนสุวรรณสามกุมมารอายุได้  ๑๖  ปี

ขณะที่บิดามารดาพากันไปป่าแสวงหาผลไม้  สุวรรณสามกุมารก็เฝ้าสังเกตทางที่บิดามารดาไป  เพื่อมีอันตรายเกิดขึ้นจะได้ไปค้นพบ  วันหนึ่งเมื่อทั้งสองแสวงหาผลไม้  ได้พอสมควรแล้วก็กลับ  ขณะเดินทางกลับจวนจะถึงอาศรมเผอิญฝนตกหนัก  ทั้งสองจึงไปหลบฝนอยู่ใต้ร่มไม้ซึ่งติดกับจอมปลวก  ที่จอมปลวกนั้นมีอสรพิษอาศัยอยู่  เมื่อน้ำฝนที่รดท่านทั้งสองไหลลงไปในรูของอสรพิษ  ทำให้อสรพิษได้กลิ่นเหงื่อไคลของมนุษย์  มันจึงโกรธพ่นพิษออกมา  พอดีถูกตาทั้งสองข้างของดาบสดาบสินี  ทำให้ท่านทั้งสองต้องเสียตาทั้งสองข้าง  มองไม่เห็นทางที่จะไป  ต่างคลำหาทางข้างโน้นที  ข้างนี้ที  วนเวียนอยู่แถวนั้นเอง

กรรมเก่าของดาบสดาบสินีที่ทำให้เสียตาไปด้วยกันครั้งนี้  มีอยู่ว่า  เมื่อชาติก่อนดาบสเป็นหมอตา  ดาบสินีก็ได้เป็นภรรยาของหมอตานั้น  วันหนึ่งหมอตาได้ไปรักษาคนไข้รายหนึ่ง  ซึ่งเป็นโรคตา  คนไข้รายนี้เป็นผู้มีทรัพย์มาก  แต่เมื่อหมอรักษาจนตาหายเป็นปรกติแล้ว  ก็ไม่จ่ายค่ารักษา  หมอตกจึงปรึกษากับภรรยาว่า  "น้องจ๋า  เราจะทำอย่างไรกับคนไข้ที่เรารักษาตาเขาจนหาย  แต่เขาไม่จ่ายค่ายาให้แก่เรา"

ภรรยาโกรธจัดตอบว่า  "เมื่อเขาไม่ให้ก็อย่าเอาเลย  แต่พี่ควรประกอบยาสักขนานหนึ่งชนิดแรง  แล้วนำไปให้ชายผู้นั้น  บอกว่าตาของท่านยังไม่หายขาด  ควรใช้ยาขนาดตัดรากนี้ป้ายตาอีกครั้งเดียวจะไม่เป็นอีก"  สามีเห็นด้วยจึงปรุงยาชนิดแรงขึ้นขนานหนึ่ง  เสร็จแล้วนำไปให้ชายผู้นั้น  บอกว่า  "ตาของท่านยังไม่หายสนิทดี  อาจเป็นขึ้นอีกได้  ควรใช้ยาาขนานนี้ตัดรากเสีย  ป้ายอีกครั้งเดียวเท่านั้นก็หายขาด"  ชายผู้นั้นเข้าใจว่ายาของเขาแน่จริง  จึงรับไว้แล้วป้ายที่ตา  อยู่ตอ่มาไม่ช้าตาทั้งสองของเขาก็เสียจนมองไม่เห็นอีก  นี่เป็นกรรมเก่าของดาบสดาบสินี

ฝ่ายสุวรรณสามนั่งคอยบิดามารดาอยู่ที่อาศรม  ไม่เห็นบิดามารดากลับตามกำหนดที่เคย  ทั้งเวลาก็ล่วงเลยไปมาก  เห็นผิดสังเกต  จึงลุกเดินไปตามทางที่ตนกำหนดไว้  กู่เรียกหาบดามารดา  บิดามารดาจำเสียงบุตรได้  ก็กู่รับ  สุวรรณสามเดินไปตามที่เสียงกู่รับก็พบบิดามารดากำลังคลำทางอยู่  ก็รู้ว่าตาของท่านทั้งสองบอดเสียแล้ว  จึงถามว่า  "พ่อจ๋า  แม่จ๋า  ทำไมตาของพ่อแม่จึงบอดเล่า ?"  บิดามารดาก็เล่าเรื่องให้ฟังจนตลอด

สุวรรณสามได้ฟังก็ร้องไห้แล้วหัวเราะ  บิดามารดาจึงถามว่า  "ทำไมลูกจึงร้องไห้แล้วหัวเราะ"

สุวรรณสามตอบว่า  "ลูกร้องไห้ก็เพราะเสียใจที่ตาของพ่อและแม่ต้องเสียไปขณะที่ลูกยังเป็นเด็กอยู่เช่นนี้  และที่หัวเราก็เพราะดีใจที่ลูกที่ได้ปรนนิบัติพ่อแม่ทดแทนบุญคุณของพ่อแม่ในบัดนี้  ขอพ่อแม่อย่าต้องเป็นทุกข์ร้อนแต่อย่างไรเลย" สุวรรณสามพูดจบก็จับมือของบิดามารดานำเข้าสู่อาศรม  แล้วจัดหาเชือกมาผูกทำเป็นราวไ้รอบอาศรม  สะดวกทั้งในเวลากลางคืน  กลางวัน  เวลาจงกรม  เวลาถ่ายอุจจาระปัสสาวะ  ให้บิดามารดาอยู่แต่ที่อาศรม  ตนเองก็ออกไปป่าหาผลไม้มาให้บิดามารดา  ปรนนิบัติอยู่โดยนัยนี้  ทั้งบิดามารดามิได้มีอนาทรเดือดร้อนอย่างไร

ขณะที่สุวรรณสามออกป่าไปหาผลไม้นั้น  บรรดามฤคและหมู่กินนรกินนรีต่างก็พากันแวดล้อมสุวรรณสาม  จนกระทั่งได้เวลาสุวรรณสามกลับอาศรม  เมื่อถึงอาศรมสุวรรณสามก็เตรียมต้มน้ำ  แล้วอาบน้ำให้บิดามารดา  พอถึงเวลาก็จัดผลไม้ให้บริโภค  ตนเองบริโภคเมื่อเหลือจากบิดามารดาแล้ว

จะกล่าวถึงพระราชาพาราณสีพระนามว่า  ปิลยักขราช  ทรงมีพระประสงค์จะออกป่าล่าสัตว์  เอาเนื้อมาเสวยให้เป็นที่สำราญพระทัย  วันหนึ่งพระองค์มอบหมายการดูแลพระนครให้พระชนนี  แล้วเสด็จออกล่าสัตว์  พระองค์เสด็จมาถึงท่าน้ำที่สุวรรณสามเคยมาตักน้ำไปให้บิดามารดา  ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าเนื้อระเกะระกะไปหมด  จึงแอบอยู่ที่ซุ้มไม้เพื่อคอยยิงสัตว์ที่ผ่านไปมา

สุวรรณสามออกมาหาผลไม้ตามปรกติ  ครั้นตกเย็นก็นำผลไม้ไปให้บิดามารดา  แล้วถือหม้อน้ำไปตักน้ำอย่างที่เคยทำมาเป็นกิจวัตร  ขณะเดินทางไปที่ท่าน้ำ  บรรดามฤคก็ติดตามแวดล้อมไปเป็นฝูงใหญ่ สุวรรณสามเอาหม้อน้ำวางบนหลังเนื้อแล้วเอามือประคองไปจนถึงท่าน้ำ

ท้าวปิลยักขราชแอบอยู่ที่ซุ้มไม้  ทอดพระเนตรเห็นสุวรรณสามเดินมา  และมีฝูงเนื้อแวดล้อมมาเช่นนั้น  ก็ทรงสงสัยว่า  จะเป็นเทวดาหรือพญานาค  ครั้นจะร้องถามไปก็เกรงไปว่า  ถ้าเป็นเทวดาจะเหาะหนีไปเสีย  ถ้าเป็นพญานาคจะดำดินไปเสีย  อย่ากระนั้นเลย  เราควรจะยิงสัตว์ประหลาดนี้ให้หมดกำลังก่อน  แล้วจึงไต่ถามเอาความในภายหลัง  ขณะนั้น  สุวรรณสามเดินไปถึงท่าน้ำ  ลงอาบน้ำเสร็จแล้ว  เอาหม้อตักตักน้ำแบกบ่าซ้ายหมายจะกลับอาศรม














วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม (หน้า ๑)


พระสุวรรณสาม

มีเรื่องเล่ามาแต่อดีตว่า  มีนายพรานสองสหายรักใคร่กันมา  มีบ้านอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ  สหายทั้งสองสัญญากันว่า  ถ้าฝ่ายหนึ่งมีลูกสาว  ฝ่ายหนึ่งมีลูกชายก็จะแต่งงานกัน  ครั้นกาลต่อมาสหายฝ่ายหนึ่งมีลูกชายให้ชื่อว่าา  "ทุกูลกุมาร"  อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกสาวให้ชื่อว่า  "ปาริกากุมารี"  เด็กชายและเด็กหญิงทั้งสองมีรูปโฉมงดงามน่ารัก  ถึงแม้ว่าทั้งสองจะเกิดในสกุลพราน  แต่ก็ไม่ทำปาณาติบาต  มั่นอยู่ในศีลในธรรม

เมื่อเด็กทั้งสองเจริญวัย  สมควรจะแต่งงานกันได้ตามประเพณี  นายพรานสองสหายจึงตกลงจะทำตามสัญญาที่ให้แก่กันไว้  ข้างบิดามารดาของทุกูลกุมารจึงพูดกับลูกชายว่า  "พ่อทุกูล  บัดนี้อายุพ่อก็สมควรจะมีคู่ได้แล้ว  บิดามารดาจะไปสู่ขอลูกสาวสหายฝั่งโน้นมาให้"

ทุกูลกุมารปิดหูทั้งสองแล้วพูดว่า "พ่อจ๋า  แม่จ๋า  ลูกไม่ต้องการแต่งงานดอกจ้ะ  อย่าพูดเรื่องแต่งงานกับลูกเลย"  แม้บิดามารดาจะชี้แจงเท่าไร ๆ  ทุกูลกุมารก็ไม่ปรารถนาจะแต่งงาน

ฝ่ายบิดามารดาของนางปาริกากุมารี ก็พูดกับลูกสาวว่า  "ลูกรัก  บิดามารดาจะยกลูกให้กับลูกชายของสายฝั่งโน้น  เขาเป็นคนดีมาก  รูปร่างก็งดงามองอาจ  เป็นคนมีศีลมีธรรม  ลูกสมควรจะแต่งงานกับเขา"

ปาริกากุมารีปิดหูทั้งสอง  พูดอย่างเดียวกับทุกูลกุมาร  คือ  ไม่ต้องการจะแต่งงาน

ถึงแม้ทุกูลกุมารและปาริกากุมารีไม่ประสงค์จะแต่งงานกัน  แต่บิดามารดาของทั้งสองฝ่ายก็จัดการแต่งให้กันจนได้  เพื่อไม่ให้เสียสัญญาที่ได้ให้แก่กันไว้

กุมารกุมารีแม้อยู่ร่วมกัน  ก็มิได้ร่วมประเวณีกัน  ต่างคิดตรงกันอย่างเดียว  คือ  ปรารถนาจะออกบวช  จึงนำความไปเล่าให้บิดามารดาฟัง  บิดามารคิดเห็นว่า  เมื่อบุตรของตนเกิดในสกุลพราน  แต่ไม่ฆ่าสัตว์  ก็ไม่มีทางจะทำอะไรอย่างอื่นได้  เมื่อบุตรปรารถนาจะบวช  ก็อนุญาต

กุมารกุมารี  เมื่อได้รับอนุญาตให้บวช  จึงพากันเดินทางไปหิมวันตประเทศทางฝั่งแม่น้ำคงคา  ได้เห็นอาศรมหลังหนึ่ง  จึงพากันเข้าไป  ในอาศรมนั้นมีเครื่องบริขารของบรรพชิตอยู่พร้อมสรรพ  เป็นบริขารที่มีผู้บริจาคให้แก่ผู้ใคร่จะบวช  (ตามเรื่องว่า  ท้าวสักกะประทานให้ทั้งอาศรมและบริขาร)

สองสามีภรรยาต่างก็อธิฐานเพศบรรพชิต  นุ่งห่มผ้าเปลือกไม้สีแดงพาดหนังเสือบนบ่า  ผูกมณฑลชฎา  เจริญเมตตาพรหมวิหารอยู่  ณ  ที่นั้น

บรรดาสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น  ต่างก็มีเมตตาจิตต่อกัน  ด้วยอานุภาพเมตตาของนักบวชทั้งสอง ไม่มีเบียดเบียนกัน  ไม่วิวาทกัน  หากินด้วยความสุขสำราญ

นางปาริกาดาบสีนีทำหน้าที่แสวงหาผลาหาร  ตั้งน้ำใช้น้ำฉัน  และทำความสะอาดอาศรม  เสร็จแล้วบำเพ็ญสมณธรรมด้วยจิตใจอันสงบ  ตัดอารมณ์เดือดร้อนให้หมดสิ้นไป

อยู่มาวันหนึ่ง  ท้าวสักกเทวราช  พิจารณาเห็นอันตรายอันจะเกิดแก่ดาบสดาบสินี  คือ  จักษุทั้งสองข้างของท่านทั้งสองจะมืดมิด  จึงลงจากเทวโลก  เข้าไปหาทุกูลดาบส  ถวายนมัสการแล้วตรัสว่า  "ข้าแต่พระดาบสข้าพเจ้าเล็งเห็นเป็นแน่ชัดว่า  อันตรายจะเกิดมีแก่ท่านทั้งสอง  ขอให้ท่านทั้งสองจงปรารถนาบุตร  เพื่อได้ปฏิบัติท่านเมื่อท่านได้รับทุกข์เถิด"

ทุกูลดาบสถามว่า  "ท่านจะให้อาตมาทำอย่างไร  อาตมาทั้งสองถือเพศบรรพชิต  สละกามกิจอันเป็นของชาวโลก  ตั้งหน้าบำเพ็ญสมณพรต  เพื่อหวังความพ้นทุกข์  อาตมาจะต้องเสพเมถุนกรรมอีก  เพื่อหวังได้บุตรทั้ง ๆ  ที่อาตมาเป็นนักบวชเช่นนี้  เห็นทีจะทำไม่ได้  ขอท่านอย่าให้อาตมาต้องเสียสิ้นพรมจรรย์เลย"

ท้าวสักกะตรัสว่า  "ข้าแต่พระดาบส  พระคุณเจ้าไม่จำต้องเสพเมถุนกรรมกับดาบสินี  เป็นแต่เพียงเอามือลูบท้องของนางปาริกาดาบสินีขณะที่นางมีระดูก็พอแล้ว"

ทุกูลดาบสก็รับทำได้  เมื่อท้าวสักกะกลับไปแล้ว  ท่านจึงได้หานางปาริกาดาบสีนี  เล่าความให้ฟัง  เมื่อทราบเรื่องกันดีแล้ว  พอถึงเวลานางปาริกาดาบสินีมีระดู  ทุกูลกาบสจึงเอามือลบท้องของนาง



















วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๒ พระมหาชนก (หน้า ๘)


พระราชามหาชนกตรัสว่า  "ดูก่อน  พระเทวี  เราได้สละราชสมบัติแล้ว  ขอให้ประชาชนชาวเมืองยก
ทีฆาวุราชกุมารขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติแทนเราเถิด

พระนางสีวลีบรมราชเทวีกราบทูลว่า  "ก็เมื่อพระทูลกระหม่อมทรงผนวชเสียก่อนฉะนี้  หม่อมฉันและประชาชนจะปฏิบัติอย่างไร"

พระราชามหาชนกตรัสว่า  "เอาเถอะ  เราจะบอกให้  เมื่อประชาชนให้พระโอรสครองราชสมบัติแล้ว   ขอให้พระนางคอยตักเตือนพระราชโอรส  ให้ได้ศึกษาสำเหนียกราชประเพณีของกษัตริย์  และวิธีการปกครองราษฎร์ให้อยู่เย็นเป็นสุข  คอยตักเตือนห้ามปรามพระโอรสให้งดเว้นในทางทุจริตทางกาย  วาจา  ใจ  ให้ตั้งอยู่ในทิศพิธราชธรรมเถิด"

เมื่อทั้งสองพระองค์ตรัสโต้ตอบกันอยู่ก็ถึงเวลาพลบ  พระนางสีวลีจึงไปตั้งค่ายประทับอยู่  ณ  ที่แห่งหนึ่ง พระราชามหาชนกประทับที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง  ประทับอยู่จนตลอดคืน

รุ่งเช้า  พระราชามหาชนกเสด็จดำเนินไปตามหนทาง  พระนางสีวลีพร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพารก็เสด็จตามไปภายหลัง  กษัตริย์ทั้งสองเสด็จไปถึงถูนนคร  พอดีได้เวลาภิกขาจาร

ขณะนั้น  ได้มีชายผู้หนึ่งซี้อก้อนเนื้อชิ้นใหญ่มาจากโรงฆ่าสัตว์  แล้วเอาไม้เสียบย่างให้สุก  วางบนพื้นกระดานเพื่อจะให้เย็น  ขณะที่ชายผู้นั้นเผลอ  สุนัขตัวหนึ่งก็มาคาบเอาก้อนเนื้อนั้นไป  ชายเจ้าของเนื้อไล่สุนัข  เมื่อเห็นว่าไม่ทันแน่ก็กลับ  ฝ่ายสุนัขวิ่งมาพอดีพบพระราชามหาชนกกับพระนางสีวลีข้างหน้า  จึงตกใจทิ้งก้อนเนื้อหนีไป  พระราชามหาชนกทอดพระเนตรเห็นก้อนเนื้อที่สุนัขทิ้งไว้  ทรงดำริว่า  "ก้อนเนื้อชิ้นนี้สุนัขนำมาทิ้งไว้  ทั้งไม่มีเจ้าของติดตามมา  เราจักพิจารณาก้อนเนื้อชิ้นนี้นำไปเป็นอาหาร"  เมื่อดำริเช่นนั้นแล้ว  จึงเสด็จไปหยิบเอาก้อนเนื้อนั้นมาปัดฝุ่น  ใส่ก้อนเนื้อลงในบาตร  แล้วประทับนั่งเสวยก้อนเนื้อนั้นตามแบบสมณะ

พระนางสีวลีทอดพระเนตรเห็นพระราชสามีเสวยก้อนเนื้อที่สุนัขคาบมาทิ้งไว้นั้น  จึงทรงดำริว่า  "ถ้าพระสวามีของเรายังคงปรารถนาจะครองราชสมบัติอยู่  คงจะไม่เสวยก้อนเนื้อเช่นนี้  ซึ่งแสนที่จะสกปรกและน่าเกลียด  ทั้งเป็นเดนของสุนัข  แต่พระองค์กลับเสวยได้  น่าที่พระองค์จะไม่ทรงคิดกลับไปครองราชสมบัติและเป็นพระราชสามีของเราเป็นแน่แล้ว"  เมื่อดำริดังนั้น  จึงกราบทูลว่า  "โอ  พระทูลกระหม่อม  ช่างเสวยเนื้อที่สกปรกอย่างนั้นได้"

พระราชาตรัสว่า  "พระเทวีเอ๋ย  ไม่รู้จักบิณฑบาตพิเศษเพราะความโง่เขลาของเธอ"  แล้วพระองค์ก็เสวยก้อนเนื้อ  ปรากฏมีรสโอชา  เมื่อเสวยเสร็จแล้วก็เสด็จดำเนินต่อไป  พระนางสีวลีพร้อมด้วยข้าราชบริพารก็เสด็จตามไปด้วย  เมื่อเสด็จถึงประตูถูนนคร  ทอดพระเนตรเห็นเด็กหญิงคนหนึ่ง  เอากระด้งน้อย ๆ  ฝัดทรายเล่นอยู่  กำไลที่สวมอยู่ที่ข้อมือข้างหนึ่งมีเสียงดัง  ส่วนที่สวมอยู่อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงดัง  พระราชามหาชนกทรงทราบเหตุที่เป็นดังนั้น  จึงทรงดำริว่า  "เราจะเข้าไปถามเด็กหญิงเพื่อให้เธอตอบเรื่องกำไลมือข้างหนึ่งมีเสียง  อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียง  อาจเกิดประโยชน์ในทางคติธรรมแก่พระนางสีวลีและผู้ติดตามบ้าง"  เมื่อทรงดำริดังนี้  จึงเสด็จเข้าไปตรัสถามเด็กหญิงนั้นว่า  "นี่แน่ะหนู  เราอยากจะถามว่า  เพราะเหตุใดกำไลของหนูข้างหนึ่งจึงมีเสียงดัง  อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงดัง"

เด็กหญิงนั้นทูลว่า  "ข้าแต่ท่านนักบวช  กำไลมือที่ท่านได้ยินเสียงนั้น  เพราะมันกระทบกัน  คือ  มี  ๒  อัน  ส่วนอีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงนั้น  เพราะมีอันเดียว  ก็เหมือนคนนั้นแหละเจ้าค่ะ  ถ้าอยู่กันตั้งแต่ ๒  คนขึ้นไป  ก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกัน  ถ้าอยู่คนเดียวก็สงบ  เพราะไม่รู้ว่าจะไปกระทบกับใคร  เป็นดังนี้แหละเจ้าค่ะ"

พระมหาชนกได้สดับธรรมของเด็กหญิงนั้น  เพื่อจะให้เกิดคติแก่พระนางสีวลี  จึงตรัสว่า  "ดูก่อน  พระนาง  เธอได้ยินถ้อยคำที่เด็กนั้นกล่าวหรือไม่  เด็กหญิงเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดา  ยังพูดให้เราได้คิด  คล้ายกับเธอจะติเตียนเรา  ที่เห็นเราเป็นนักบวช  แต่ก็มีผู้คนมากมายติดตามเรามา  ซึ่งผิดวิสัยของนักบวชที่ดี  ตามธรรมดาจะต้องอยู่ผู้เดียวอย่างสงบ  แต่นี่กลับมีเธอเป็นต้นติดตามมา  ซึ่งไม่น่าดูเสียเลย  ต่อไปนี้เธออย่าเรียกเราว่า  เป็นพระสวามีและเราก็จะไม่ถือว่า  เธอเป็นมเหสีอีกต่อไป

พระนางสีวลีบรมราชเทวีได้สดับพระดำรัสดังนั้น  จึงกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม  ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ขอให้แยกทางกันได้  เชิญพระองค์เสด็จไปทางขวา  หม่อมแันเป็นสตรีไม่คู่ควรกับพระองค์จะไปทางซ้าย"  พระนางกราบทูลด้วยความน้อยพระทัย  อันเป็นลักษณะของสตรีทั่ว ๆ ไป  แต่ครั้นพระราชาเสด็จไป  พระนางก็ไม่สามารถจะกลั้นความเศร้าโศกอาลัยอยู่ได้  จึงเสด็จตามพระราชสามีไปอีก  เมื่อพระราชาเสด็จไปถึงประตูบ้านนายช่างศร  ทอดพระเนตรเห็นนายช่างศรเอาลูกศรลนที่ถ่านเพลิงแล้วเอาน้ำข้าวทาลูกศรเล็งดัดลูกศรอยู่  จึงตรัสถามว่า  "ดูก่อน  นายช่างศร  เพราะเหตุไรท่านจึงหลับตาข้างหนึ่งเล็งดูลูกศร"

นายช่างศรกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระสมณะ  ถ้าเล็งด้วยตาทั้งสองก็จะดูพร่าไป  มองไม่เห็นว่าตรงไหนคด  ตรงไหนตรง  ถ้าหลับตาข้างหนึ่งก็จะรู้ได้ถึงตอนที่คด  แล้วก็ดัดให้ตรงตามประสงค์  ข้าแต่สมณะ  ก็เหมือนคนสองคนอยู่ด้วยกัน  ก็มีแต่ความขัดแย้งกัน  ถ้าอยู่คนเดียวก็จะไม่ต้องขัดแย้งกับใคร  ท่านสมณะ  ถ้าท่านประสงค์จะไปในทางที่ชอบ  ก็ควรอยู่แต่ผู้เดียวเถิด"

พระราชามหาชนกตรัสถามพระนางสีวลีว่า  "เธอได้ยินถ้อยคำหรือเปล่า  ช่างศรเป็นเพียงบุคคลธรรมดา  ยังพูดจามีคติ  ถ้ากระไรเราทั้งสองควรแแยกทางกันเถิด"

พระนางสีวลีกราบทูลด้วยความน้อยพระทัยเป็นอย่างยิ่งว่า  "ตั้งแต่นี้ไป  เป็นอันหมดวาสนาที่จะได้อยู่ร่วมกับพระองค์แล้ว"  ตรัสได้เท่านั้นก็ถึงวิสัญญีภาพล้มลง

พระราชามหาชนกทรงทราบว่า  พระนางสีวลีถึงวิสัญญี  ก็รีบสาวพระบาทเข้าป่าใหญ่  พวกอำมาตย์ราชเสวกต่างพยาบาลพระนางจนพระนางได้สติฟื้นพระองค์ขึ้น  ตรัสถามว่า  "พระราชสามีของเราเสด็จไปทางไหน  พวกท่านจงเที่ยวตามดูที"  อำมาตย์ราชเสวกต่างก็พากันวิ่งข้างโน้นบ้างข้างนี้บ้าง  ไม่พบพระราชา  ก็กลับมากราทูลพระนางสีวลีให้ทรงทราบ  พระนางปริเทวนาการร่ำไห้  โปรดให้สร้างเจดีย์พระราชาประทับยืน  แล้วบูชาด้วยของหอมและดอกไม้  เสร็จแล้วก็เสด็จกลับกรุงมิถิลาพร้อมด้วยหมู่อำมาตย์ราชเสวก

ฝ่ายพระราชามหาชนกเสด็จเข้าไปประทับ  ณ  ป่าหิมพานต์  เจริญอภิญญาสมาบัติให้เกิดภายใน  ๗  วัน  มิได้เสด็จกลับมาสู่แดนมนุษย์อีก  พระนางสีวลีเมื่อเสด็จกลับนครแล้ว  พระนางยังทรงอาลัยในพระสวามีอยูมิรู้หาย  ได้โปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นอีกหลายองค์  เช่น  ที่ที่พระราชาเสวยก้อนเนื้อ  ที่ตรัสกับเด็กหญิง  ที่ตรัสกับนายช่างศร  เป็นต้น  แล้วบูชาด้วยดอกไม้ของหอมเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระราชสวามี  ครั้นต่อมา  ก็ได้อภิเษกฑีฆาวุราชกุมารเป็นพระราชาครองมิถิลานคร  ส่วนพระนางเป็นดาบสินีเสด็จประทับอยู่  ณ  พระราชอุทยาน  ทรงทำกสิณบริกรรมจนได้บรรลุฌาน  ทั้งพระราชามหาชนกและพระนางสีวลีได้ปฏิบัติสมณกิจไม่มีเสื่อมคลาย  ไม่มีด่าง  ไม่ม่พร้อย  เมื่อสิ้นอายุก็เสด็จสู่พรหมโลก

เรื่องนี้เก็บความจากมหาชนกชาดก  คติธรรมที่ได้จากเรื่อนี้  คือ

ผลแห่งความเพียร

การไม่ทอดทิ้งที่จะทำความดี  แม้ในขณะที่ได้รับทุกข์

ความไม่เมาในยศศักดิ์สมบัติ  ซึ่งล้วนแต่จะทำให้มีความกังวล



จบบริบูรณ์













วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๒. พระมหาชนก (หน้า ๗)


ครั้นกาลล่วงมา  พระนางสีวลีมเหสีประสูติพระราชโอรสองค์หนึ่ง  พระชนกชนนีขนานพระนามว่า  "ฑีฆาวุราชกุมาร"   เมื่อฑีฆาวุราชกุมารเจริญวัย พระราชบิดาทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งอุปราช

วันหนึ่ง  พระราชามหาชนกเสด็จประพาสพระราชอุทยาน  ทอดพระเนตรเห็นมะม่วง  ๒  ต้น  ต้นหนึ่งกิ่งหักใบร่วงโกร๋น  อีกต้นหนึ่งมีใบแน่นหนาเขียวชอุ่มร่มเย็นราบรื่น  จึงตรัสถามอำมาตย์ที่ตามเสด็จว่า  "ทำไมมะม่วง  ๒  ต้นนี้จึงเป็นไปอย่างนั้น ?"

อำมาตย์กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ต้นหนึ่งมีผลดก  และมีรสหวานน่ารับประทาน  คนทั้งหลายต่างก็สอยบ้าง  ขว้างบ้าง  หักบ้าง  เพื่อเอาผลมารับประทาน  จึงเป็นเช่นนั้น  อีกต้นหนึ่งไม่มีผล  ไม่มีใครไปทำลาย  จึงมีใบหนาทึบอยู่เช่นนั้น  พระเจ้าข้า"

พระราชามหาชนกได้สดับดังนั้น  ก็สลดพระทัย  ได้ความคิดขึ้นว่า  "ต้นไม้ที่มีผลมีรสอร่อย  มักถูกหักทำลาย  เช่นมะม่วงต้นนั้น  ส่วนต้นที่ไม่มีผลก็มีใบหน้าทึบสะพรั่งอยู่  ราชสมบัติเปรียบเหมือนต้นไม้มีผล  อาจถูกทำลายเข้าวันใดวันหนึ่งก็ได้  แม้ยังไม่ถูกทำลายก็ทำให้เกิดกังวล  เฝ้าแหนรักษา  ภัยเกิดแก่ผู้มีความกังวัล  บรรพชาเปรียบเหมือนต้นไม้ที่ไม่มีผล  ไม่ทำให้เกิดกังวล  เพราะภัยไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีกังวล  เราจะไม่ยอมทำตนเหมือนต้นไม้มีผล  เราจะทำตนเหมือนต้นไม้ไม่มีผล  เราจะสละราชสมบัติออกบรรพชาแน่นอน"

เมื่อทรงมั่นพระทัยเช่นนั้น  จึงเสด็จกลับเข้าพระราชวัง  รับสั่งประชุมเสนาบดีว่า  "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  เราขอมอบราชการทุกอย่างให้แก่อุปราชโอรสของเราดูแลแทน  เราจะขออยู่อย่างสงบ  ห้ามผู้คนเข้าไปรบกวนเรา  นอกจากพนักงานเชิญเครื่องกับพนักงานถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์เท่านั้น"  ตรัสสั่งเสร็จแล้วพระองค์ก็เสด็จเข้าพระมหาปราสาท  ทรงเจริญสมณธรรมอยู่องค์เดียว

เมื่อเวลาผ่านไปหลาย ๆ  วันเข้า  มหาชนไม่เห็นพระราชาของตนเสด็จออกตรวจราชกิจ  จึงมาประชุมกันที่หน้าพระลานหลวง  พูดกันว่า  พระราชาของพวกเราไม่เหมือนก่อนเสียแล้ว  ไม่เห็นออกทรงตรวจตราราชการ  ไม่เห็นเสด็จทอดพระเนตรการฟ้อนรำขับร้อง  ไม่เห็นเสด็จประพาสพระราชอุทยาน  พระองค์ทรงทำเป็นเหมือนคนไข้  ประทับนิ่งเฉยอยู่ในพระมหาปราสาท"

พระราชามหาชนกทรงมั่นพระทัยแน่วในวิเวก  ทรงสละกามกิเลส  ทรงระลึกถึงแต่เหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้า  ทรงคอยหาโอกาสจะเสด็จไปยังที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงศีล  ทรงเห็นพระราชนเวศน์ประดุจขุมนรกทรงดำริแต่ว่า

"เมื่อไรหนอ  เราจะได้ออกจากมิถิลานคร  ซึ่งมีสมบัติมหาศาล  มีความเจริญรุ่งเรือง  มีปราสาท
ราชมนเฑียรงดงามพรั่งพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์  และล้วนแต่มีความเจริญในด้านต่าง ๆ  อีกมากมาย  เมื่อไรหนอ  เราจะได้ปลงผม  ครองผ้า  อุ้มบาตรและจาริกไปตามป่า  สมความปรารถนา"

ทรงมั่นพระทัยเด็ดเดี่ยวอยู่เช่นนี้  จึงตัดสินพระทัยว่า  "เรา จักบวชเดี๋ยวนี้"  แล้วรับสั่งแก่ราชบุรุษที่เชิญเครื่องว่า  "เจ้าจงไปหาผ้าย้อมน้ำฝาดกับบาตรมาให้เรา  อยาให้ใครรู้"

ราชบุรุษรับพระราชกระแสรับสั่งมาแล้ว   ก็จัดหาเครื่องบริขารนำไปถวาย  พระราชามหาชนกตรัสให้ภูษามาลาปลงพระเกศา  พระมัสสุ  แล้วทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์  เสด็จจงกรมไปมาบนพระมหาปราสาท ทรงทำอยู่ดังนี้ประมาณ  ๔ - ๕  วัน  เห็นว่า  เป็นสุขแน่  ทรงเปล่งอุทานว่า  "โอ  บรรพชาเป็นสุขหนอ  เป็นสุขประเสริฐหนอ  เป็นสุขอย่างยิ่งหนอ"

พระราชามหาชนก  ประทับอยู่ภายในพระมหาปราสาทตลอดวัน  มิได้เสด็จออกไปภายนอก  วันหนึ่ง
เวลาย่ำรุ่ง  ทรงครองเครื่องบรรพชิตครบถ้วน  คล้องถลกบาตรที่พระอังสา  ทรงธารพระกร  เสด็จลงจากปราสาท  ขณะนั้น  พระนางสีวลีพร้อมด้วยคนสนิท  ๗๐๐  นาง  ไปเฝ้าพระราชา  สวนทางกับพระมหาชนกตรงหน้าปราสาท  พระนางสีวลีจำพระสวามีไม่ได้  เข้าใจว่า  พระปัจเจกพุทธเจ้ามาถวายโอวาทพระสวามี  จึงถวายนมัสการแล้วพากันขึ้นบนปราสาท  เมื่อขึ้นไปถึงภายในปราสาท  เห็นพระเกศาและห่อเครื่องราชภรณ์  ไม่เห็นพระราชา  ก็เข้าใจทันทีว่า  "บรรพชิตที่สวนทางมาเมื่อกี้นี้ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าแน่  ต้องเป็นพระสวามี"  ไม่รอช้า  พระนางสีวลีตรัสให้ทุกคนที่ตามเสด็จไป  รีบลงมาจากปราสาท ติดตามพระสวามี  มาทันพระราชาที่หน้าพระลาน  พระนางสีวลีตรงเข้าไปหมอบที่พระบาท  แล้วจับยึดไว้ ถูพระพักตร์เกลือกไปมา  ทรงกรรณแสงสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร  บรรดาหญิงที่ติดตามไปต่างกลิ้งเกลือกโศกาอาดูรรำพันว่า  "โอ  พระทูลกระหม่อมแก้ว  ไฉนพระองค์จึงได้ทรงทิ้งพวกกระหม่อมฉันเสียเล่า  พระเจ้าข้า"

ขณะนั้น  ข่าวการสละราชสมบัติออกบรรพชาของพระราชามหาชนกก็แพร่สะพัดไป  มหาชนได้ทราบก็พากันร่ำไห้อาลัย  ติดตามพระราชาไป

พระราชามหาชนก  แม้ทอดพระเนตรเห็นผู้จงรักภักดี  ทั้งบุรุษสตรี  เสนามาตย์ราชบริพาร  มาทูลวิงวอนร่ำไห้รำพันอยู่เช่นนั้น  พระองค์มิได้มีพระทัยวอกแวก  กลับทรงมั่นพระทัยที่จะเสด็จออกไปเสียโดยเร็ว จึงมิได้ทรงหยุดยั้ง  เสด็จไปด้วยอาการอันสงบ

พระนางสีวลีอัครมเหสี  เมื่อเห็นพระราชสวามีไม่เสด็จกลับแน่  พระนางจึงคิดอุบายได้อย่างหนึ่ง  ตรัสเรียกเสนาคุตมาเฝ้า  แล้วตรัสว่า  "เสนาคุต  ท่านจงรีบไป  เอาไฟเผาเรือนเก่า ๆ  ศาลาเก่า ๆ  ขนหญ้า ใบไม้  กิ่งไม้แห้งมาสุมให้ลุกโพลง  ให้มีควันโขมงขึ้น  รีบไปเร็ว"

เสนาคุตรับพระเสาวนีย์แล้วก็รีบไปทำตามรับสั่ง  พระนางสีวลีเมื่อเห็นแสงไฟลุกโพลงข้างหน้า  จึงเข้าไปหมอบที่พระบาทพระสวามี  แล้วกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระทูลกระหม่อมแก้ว  เกิดไฟไหม้ขึ้นข้างหน้าโน้นแล้ว  พระคลังมหาสมบัติถูกไฟเผาหมดสิ้นแล้ว  ขอเชิญเสด็จกลับไปดับไฟเถิด  เพคะ"

พระราชามหาชนกตรัสว่า  "ดูก่อน  เทวี  เราหมดกังวลแล้ว  เราเป็นผู้ไม่มีสมบัติที่จะทำให้เกิดกังวลมาก่อนแล้ว  พระคลังมหาสมบัติถูกเพลิงเผา  แต่ยังมีสมบัติอันแท้จริงของเราอย่างหนึ่ง  มิได้ถูกเพลิงผลาญไปด้วย"  (อันนี้ท่านคงหมายถึงบรรพชาสมบัติ)  ตรัสแล้วก็ทรงดำเนินต่อไป  บรรดาพระสนมนารีทั้ง  ๗๐๐  นางกับมหาชนอีกมากมายก็ตามเสด็จไปด้วย

พระนางสีวลีทรงคิดอุบายได้อีกอย่างหนึ่ง  ตรัสเรียกราชบุรุษมารับสั่งว่า  "พวกท่านจงไปทำเหมือนกะว่า  มีโจรปล้นชาวบ้าน  ปล้นเมือง  ส่งเสียงให้อึกทึกสนั่นหวั่นไหว"

ราชบุรุษรับพระเสาวนีย์แล้ว  ก็พากันไปทำตามรับสั่ง

พระนางสีวลีถวายบังคมกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระทูลกระหม่อมแก้ว  พวกโจรปล้นบ้านเมืองแล้ว  ขอเชิญกลับไปปราบเถิด  เพคะ"

พระราชามหาชนกทรงดำริว่า  "ตั้งแต่เราครองราชย์มา  ไม่เคยมีโจรปล้นบ้านเมืองเลย  น่าจะเป็นอุบายของพระนางสีวลีเป็นแน่"  แล้วตรัสว่า

"ดูก่อน พระเทวี  เราหมดกังวลแล้ว  เรามีความสบายจริง ๆ  โจรปล้น  แต่เอาอะไรไปไม่ได้  ถึงเอาไปได้  แต่ก็เอาไปเฉพาะสมบัติภายนอก  แต่สมบัติภายในของเรานั้น  โจรเอาอะไรไปไม่ได้  เรามีความสุขจริง ๆ  เราดื่มด่ำอยู่ในรสของปีติ"

ตรัสแล้วก็ทรงดำเนินเรื่อยไป  เหล่าผู้ที่ติดตามก็พากันติดตามอย่างไม่ลดละ  พระนางสีวลีพร้อมด้วย
สนมนารีก็เสด็จตามไปเฝ้ากราบทูลอ้อนวอนว่า  "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม  มหาชนไม่เป็นอันทำมาหากิน พากันติดตามมา  หวังจะให้พระองค์เสด็จกลับ  เพื่อเป็นมิ่งขวัญของนครมิถิลา  นครมิถิลาจะว่างกษัตริย์ปกครองมิได้  หากพระองค์จะทรงผนวชแล้ว  ขอได้ทรงโปรดอภิเษกราชโอรสให้ครองราชสมบัติก่อน  แล้วจึงผนวชเถิด  เพคะ"


























วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๒. พระมหาชนก (หน้า ๖)


ข้อ  ๓  ที่ว่าสามารถยกธนูมีน้ำหนัก  ๑,๐๐๐  แรงคน  พระราชามหาชนกรับสั่งให้นำธนูมา  แล้วทรงยกขึ้นได้อย่างง่ายดาย

ข้อ  ๔  ที่ว่าสามารถนำขุมทรัพย์  ๑๓  แห่งออกมาได้นั้น  พระราชามหาชนกตรัสว่า  "ขุมทรัพย์  ๑๓  แห่งนั้นที่ไหนบ้าง ?"  อำมาตย์ก็กราบทูลให้ทรงทราบตามที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น  มีขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นต้น

พระราชามหาชนก  ทรงพิจารณาปัญหาอยู่สักครู่หนึ่ง  แล้วตรัสถามว่า  "ที่ภายในพระราชวังนี้  เคยมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามารับบิณฑบาตบ้างหรือเปล่า ?"

อำมาตย์กราบทูลว่า  "มี  พระเจ้าข้า"

พระราชามหาชนกตรัสถามว่า  "พระราชาของพวกท่านเสด็จไปต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นประจำตรงไหน ?"  เมื่ออำมาตย์กราบทูลให้ทรงทราบ  ก็สั่งให้ขุดตรงนั้น ได้พบขุมทรัพย์  แล้วตรัสถามต่อไปว่า  "เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ากลับ  พระราชาของพวกท่านเสด็จไปส่ง  แล้วประทับยืนตรงไหน ?"  อำมาตย์ก็กราบทูลให้ทรงทราบ  รับสั่งให้ขุด  ก็พบขุมทรัพย์อีก  เป็นอันว่า  ได้พบขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น  คือ  ตรงที่พระราชาเสด็จไปต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้า  พบขุมทรัพย์ตรงที่พระอาทิตย์ตก  คือ  ตรงที่เสด็จไปส่งพระปัจเจกพุทธเจ้า

มหาชนต่างโห่ร้องเซ็งแซ่ถวายสาธุการ  สรรเสริญพระปัญญาของพระมหาชนกราชา

จากนั้น  พระราชามหาชนก็รับสั่งให้ขุดขุมทรัพย์ภายใน  คือ  ภายในธรณีพระทวารใหญ่  ก็พบขุมทรัพย์  รับสั่งให้ขุดขุมทรัพย์ภายนอก  คือ  ภายนอกธรณีพระทวารใหญ่  ก็พบขุมทรัพย์  รับสั่งให้ขุดขุมทรัพย์ไม่ใช่ภายใน  ไม่ใช่ภายนอก  คือข้างล่างธรณีพระทวารใหญ่  ก็พบขุมทรัพย์

จากนั้น  พระราชามหาชนกก็รับสั่งให้ขุดขุมทรัพย์ตามลำดับ  คือ

ขุมทรัพย์ภายใน  คือ  ขุดตรงภายในธรณีพระทวารใหญ่

ขุมทรัพย์ภายนอก  คือ  ขุดตรงภายนอกธรณีพระทวารใหญ่

ขุมทรัพย์ขาขึ้น  คือ  ขุดตรงเกยที่ประทับเสด็จขึ้นมงคลหัตถี

ขุมทรัพย์ขาลง  คือ  ขุดตรงที่เสด็จลงจากคอช้าง

ขุมทรัพย์ที่ไม้รังทั้งสี่  คือ  ขุดภายใต้เท้าพระแท่นบรรทม  ซึ่งทำด้วยไม้รังซึ่งตั้งจากพื้นดินขึ้นมา

ขุมทรัพย์ที่หนึ่งโยชน์โดยรอบ  คือ  ขุดตรงพระที่สิริไสยาสน์  โดยรอบประมาณชั่วแอก  เพราะการนับโยชน์สมัยนั้น  นับเท่าชั่วแอกเป็นโยชน์

ขุมทรัพย์ที่ปลายงาทั้งสอง  คือ  ขุดตรงที่งาทั้งสองของมงคลหัตถียื่นออกไป

ขุมทรัพย์ที่ปลายหาง  คือ  ขุดตรงปลายหางของมงคลหัตถีเหยียดไป

ขุมทรัพย์ที่น้ำ  คือ  ขุดตรงที่สระโบกขรณี

ขุมทรัพย์ที่ปลายไม้  คือ  ขุดตรงโคนไม้รังใหญ่ในพระราชอุทยาน  เงาไม้เวลาเที่ยงวัน  ปลายไม้เป็นเงาปกอยู่ที่โคน

เมื่อรับสั่งให้ขุดตรงไหน  ก็พบขุมทรัพย์ทุกแห่ง  มหาชนต่างแสดงความร่่าเริงยินดี  สรรเสริญความมหัศจรรย์ในทางปัญญาของพระเจ้ามหาชนกอยู่เซ็งแซ่

พระมหาชนกราชได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ครองมิถิลานคร  ให้ความร่มเย็นแก่พสกนิกรตลอดเวลา
โปรดให้สร้างศาลาทาน  ๖  แห่ง   คือ ท่ามกลางพระนคร  ๑  แห่ง  ที่ประตู  ๔  แห่ง  ที่ประตูพระราชวัง
๑  แห่ง  ทรงบริจาคมหาทานเป็นประจำ  โปรดให้เชิญพระราชมารดา  และพราหมณ์ปุโรหิตมาจากจำปากนคร  ทรงอุปถัมภ์บำรุงท่านทั้งสองให้ได้รับความสุขกายสบายใจตลอดมา

ชาวเมืองมิถิลา  เมื่อได้ทราบว่า  พระราชามหาชนกที่ขึ้นครองราชสมบัติองค์ใหม่นี้  เป็นพระโอรสของพระเจ้าอริฏฐะต่างก็ดีใจ  นำเครื่องบรรณาการมาถวาย  จัดการสมโภช  มีมหรสพภายในพระนคร  ได้ช่วยกันตกแต่งพระราชนิเวศน์  ห้อยพวงบุปผามาลัย  จัดน้ำและอาหารใส่ภาชนะเงินภาชนะทองคำ  นำขึ้นน้อมเกล้าถวายเป็นราชบรรณาการ  ผู้เข้าเฝ้าได้ประจำอยู่ตามประรำที่จัดไว้  บรรดาอำมาตย์ราชเสวกเฝ้าอยู่ประรำหนึ่ง  นางสนมกำนัลในเฝ้าอยู่ประรำหนึ่ง  ประชาชนเฝ้าอยู่รอบ ๆ  พราาหมณ์สาธยายมนต์อำนวยความสวัสดี  ผู้มาเฝ้ากล่าวคำถวายชัยมงคลกึกก้องโกลาหล  บรรดาคณะดนตรีก็ขับร้องประสานเสียงกันอย่างเอิกเกริก  เป็นที่น่ารื่นรมย์โสมนัสยิ่งนัก

พระราชามหาชนกประทับบนพระราชอาสน์ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร  ทอดพระเนตรเห็นความเอิกเกริกโกลาหล  ที่ประชาชนได้มาแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์เช่นนั้น  ก็ทรงหวนระลึกคราวที่พระองค์พยายามว่ายข้ามมหาสมุทร  ไม่ยอมท้อถอย  จนนางมณีเมขลาเห็นความอุตสาหะอันแรงกล้า  ได้พาข้ามไปจนสำเร็จ  เพราะความพยายามที่ทำมานั้น  จึงเป็นเหตุให้ได้รับผล  คือ  ครองราชสมบัตินี้  เมื่อทรงหวนระลึกดังนั้น  ก็ทรงปีติโสมนัสซาบซ่าน  ทรงเปล่งอุทานด้วยความปีติว่า

"ลูกผู้ชายควรหวังเข้าไว้  ไม่ควรเบื่อหน่ายใน
การงาน  เราสำเร็จความปรารถนา  ๒  ประการ  คือ  เป็น
พระราชาสมความปรารถนา ๑  ได้ขึ้นบกสมความปรารถนา ๑  
เพราะเราไม่หมดความหวัง

คนมีปัญญา  แม้ได้รับทุกข์  ก็ไม่ควรสิ้นความหวัง  
เพื่อทำตนให้ได้รับสุข  เป็นความจริง  คนส่วนมาก
เมื่อได้รับทุกข์ก็ทำแต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์  เมื่อได้
รับสุขจึงทำสิ่งที่เป็นประโยชน์  คนเหล่านี้ขาดความสำเนียกในข้อที่ว่า
"คนที่มีปัญญาแม้ได้รับทุกข์  ก็ไม่ควรสิ้นความหวัง  เพื่อทำตนให้ได้รับสุข"  จึงต้องตาย

บางอย่่าง  เราไม่เคยคิดเลย  แต่ก็ปรากฏขึ้นได้
บางอย่างแม้เราเคยคิดไว้  แต่ก็ไม่เป็นไปตามความคิด

เราไม่เคยคิดเลยว่า  เราจะไ้ด้ราชสมบัติโดยไม่ต้องรบ  แต่ก็ปรากฏแก่เราแล้ว

เราเคยคิดว่า  โภคสมบัติไม่สำเร็จขึ้นได้เพียง
ความคิดชนิดสร้างวิมานบนอากาศ  สำเร็จได้  สำเร็จได้เพราะ
ความเพียร  จึงควรทำความเพียร  อย่าสักแต่คิด"

พระราชามหาชนกทรงตั้งอยู่ในทิศพิธราชธรรม  ปกครองราษฎรให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา  ทรงอุปถัมภ์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายด้วยศรัทธาอันแรงกล้า