วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๙)




ปัญหา  เรื่อง  ลา  (ต่อ)


เศรษฐีทูลคัดค้านว่า  "ข้าแต่พระองค์  มโหสธบุตรของข้าพระองค์นี้ยังเป็นเด็กนัก  เพิ่มมีอายุได้  ๗  ขวบ กลิ่นน้ำนมยังไม่หมดจากปาก  เอาไว้เมื่อเธอเป็นผู้ใหญ่ก่อน  จึงควรนำให้มาอยู่ในราชสำนักเถิด  พะย่ะค่ะ"

พระราชาตรัสว่า  "ข้อนั้นท่านอย่าวิตกเลย  ตั้งแต่นี้ไปท่านไม่ต้องเป็นห่วงใยมโหสธ  มโหสธเป็นราชบุตรของเราตั้งแต่วันนี้แล้ว  เราพอจะเลี้ยงบุตรของท่านได้  ท่านจงพากันกลับไปเถิด"

เศรษฐีกราบถวายบังคมพระราชา  แล้วตรงมาสวมกอดมโหสธให้นอนแนบอกจุมพิตที่ศีรษะ  แล้วให้โอวาทว่า  "พ่อมโหสธลูกรักดังดวงใจของพ่อ  ตั้งแแต่นี้ไป  พ่อจงรับราชการสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าอยู่หัวของเราโดยไม่ประมาทเถิด"

มโหสธไหว้รับโอวาทของบิดาแล้วกล่าวว่า  "คุณพ่ออย่าได้วิตกห่วงใยฉันเลย  เชิญคุณพ่อกลับบ้านเถิด"

เมื่อเศรษฐีกลับไปแล้ว  พระราชาตรัสถามมโหสธว่า  "พ่อบัณฑิต  เจ้าจะเป็นข้าหลวงเรือนใน  หรือข้าหลวงเรือนนอก"

มโปสธคิดว่า  ตนมีเพื่อนเด็ก ๆ  มาก  ควรจะเป็นข้าหลวงเรือนนอกดีกว่า  จึงกราบทูลว่า  "ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นข้าหลวงเรือนนอก  พระเจ้าข้า"

พระราชารับมโหสธไว้เป็นข้าหลวงเรือนนอก  พระราชทานเคหสถานพร้อมด้วยเครื่องบริโภคทุกสิ่งทุกอย่าง  พระราชทานตลอดถึงเพื่อนเด็ก ๆ  ขอมโหสธทั้ง  ๑,๐๐๐  คนด้วย

มโหสธรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต  มีความเป็นอยู่อย่างผาสุกสำราญตลอดเวลา

พระเจ้าวิเทหราชทรงประสงค์จะทดลองปัญญามโหสธต่อไป.






แก้ปัญหา  เรื่อง  แก้มณีบนรังกา

ณ  ริมฝั่งสระโบกขรณี  ซึ่งอยู่ทางทิศทักษิณของพระนคร  มีต้นตาลอยู่ต้นหนึ่ง  บนต้นตาลนั้นมีรังกา  ซึ่งมีแก้วมณีอยู่ในรัง  เงาของแก้วมณีได้ฉายแสงลงไปในสระโบกขรณี

มหาชนได้นำความขึ้นกราบทูลพระราชาว่า  "ข้าแต่พระองค์  บัดนี้มีแก้วมณีอยู่ในสระโบกขรณีดวงหนึ่ง  พะย่ะค่ะ"

พระราชาตรัสเรียกเสนกะมาถามว่า  "ท่านอาจารย์เสนกะ  มีผู้มาบอกว่า  ในสระโบกขรณีมีแก้วมณีอยู่  จะเอาแก้วมณีขึ้นมาได้อย่างไร ?"

เสนกะกราบทูลไปอย่างโง่ ๆ  ว่า  "ควรให้วิดน้ำในสระจนแห้ง  แล้วจะได้แก้วมณีมา"

พระราชา  "ถ้าอย่างนั้นเรามอบให้เป็นหน้าที่ของท่าน"

เสนกะได้เกณฑ์ผู้คนเป็นอันมากช่วยกันวิดน้ำโกยโคลนออกจากสระโบกขรณีจนแห้ง  ก็ไม่เห็นแก้วมณี  พอน้ำไหลเต็มสระตามเดิม  แสงแก้วมณีก็ปรากฏอีก  เสนกะเกณฑ์คนให้วิดอีก  แก้วมณีก็ไม่มี

เสนกะหมดปัญญาจึงไปกราบทูลพระราชาว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่พระองค์ข้าพระพุทธเจ้าเกณฑ์คนให้วิดน้ำในสระจนแห้ง  ค้นหาแก้วมณีแล้วก็ไม่พบ  พระเจ้าข้า"

พระราชาจึงรับสั่งให้เรียกมโหสธมาแล้วตรัสว่า  "แน่ะบัณฑิตมโหสธ  มีแก้วมณีดวงหนึ่งอยู่ในสระโบกขรณี  อาจารย์เสนกะเกณฑ์คนวิดน้ำจนแห้งก็หาไม่พบ  แต่พอน้ำเต็มสระอีก  แสงแก้มณีก็ปรากฏใหม่  เจ้าจะสามารถนำแก้วมณีนั้นมาให้เราได้หรือไม่ ?"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าพระพุทธเจ้าจะไปพิจารณาดูก่อน  เห็นว่าคงไม่เหลือความสามารถไปได้  พระเจ้าข้า"

พระราชาได้ทรงฟังก็ดีพระทัย  ดำริว่า  "จะไปดูปัญญามโหสธอีกในวันนี้"  แล้วเสด็จไปที่สระโบกขรณีพร้อมด้วยข้าราชบริพาร

มโหสธยืนที่ฝั่ง  พิจารณาดูแสงมณีที่ปรากฏในสระ  แล้วแหงนดูบนต้นตาล  ก็รู้แน่ว่า  แก้วมณีไม่ได้อยู่ที่สระ  อยู่บนต้นตาล  จึงกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์  แก้วมณีมิได้อยู่ในสระโบกขรณี  พระเจ้าข้า"

พระราชาตรัสว่า  "ก็แก้วมณีปรากฏในสระไม่ใช่หรือ  พ่อมโหสธ"

มโหสธจะพิสูจน์ให้เห็นความจริง  จึงให้คนนำภาชนะใส่น้ำมาจนเต็ม  แล้วเอาไปรับตรงที่มีแสงแก้วมณี แสงแก้วมณีก็ปรากกในภาชนะนั้น  มโหสธจึงกราบทูลพระราชาว่า  "ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตร  แก้วมณีหาได้ปรากฏในสระไม่  แต่ปรากฏในภาชนะใส่น้ำ"

พระราชารับสั่งถาม  "เจ้าบัณฑิต  ถ้าอย่างนั้น  แก้วมณีอยู่ที่ไหน ?"

มโหสธ  "ข้าแต่พระองค์  แสงแก้วมณีปรากฏในสระโบกขรณีบ้าง  ในภาชนะใส่น้ำบ้าง  จึงเป็นอันว่า  แก้วมณีไม่มีในสระโบกขรณีแน่  แก้วมณีมีอยู่บนต้นตาล  ขอพระองค์ได้ให้ราชบุรุษขึ้นไปนำลงมาถวายเถิด  พะย่ะค่ะ"

พระราชาตรัสให้ราชบุรุษที่ชำนาญการขึ้นต้นตาล  ขึ้นไปดูให้รู้แน่

ราชบุรุษขึ้นไปถึงยอดตาลก็พบแก้วมณีอยู่ในรังกา  จึงนำมาส่งให้มโหสธ  มโหสธรับแก้วมณีแล้ว  จึงนำไปถวายต่อพระหัตถ์พระราชา

มหาชนที่คอยดูอยู่  ณ  ที่นั่น  ต่างซ้องสาธุการแก่มโหสธ  บริภาษเสนกะกันต่าง ๆ  นานาว่า  "ตาเสนกบัณฑิตเก๊  เกณฑ์ผู้คนให้วิดน้ำเสียแรงเปล่าไม่ได้อะไร  สู้มโหสธบัณฑิตก็ไม่ได้"

พระราชาทรงโสมนัสยิ่งนัก  พระราชทานสร้อยมุกดาหารเครื่องประดับพระศอของพระองค์แก่มโหสธ พระราชทานกำไลมุกดาแก่พวกเด็กบริวารทั้ง  ๑,๐๐๐  คน



................................






















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น