คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้
พระราชาเมื่อถูกคุกคามเข้าดังนั้น ให้รู้สึกกลัวมรณภัยยิ่งนัก รุ่งขึ้นตรัสเรียกอำมาตย์ ๔ นายมารับสั่งว่า "เจ้าทั้ง ๔ จงขึ้นรถไปคนละคัน เที่ยวค้นหามโหสธบุตรของเราทั้ง ๔ ด้าน หากพบแล้ว ขอให้เชิญตัวกลับโดยเร็ว"
อำมาตย์ ๔ นาย เมื่อได้รับพระบรมราชโองการดังนั้นแล้ว จึงพากันไปค้นหามโหสธตามที่ต่าง ๆ
อำมาย์คนหนึ่งได้ไปทางทักษิณทิศ พบมโหสธที่บัานทักขิณยวมัชฌคาม มโหสธกำลังขนดินเหนียวมาเพิ่งเสร็จ เนื้อตัวเปื้อนดินเหนียว นั่งบนตั่ง ปั้นดินเหนียวเป็นปั้น ๆ บริโภคข้าวไม่มีกับอยู่ ทำงานในบ้านช่างปั้นหม้อ
มโหสธเห็นอำมาตย์มา ก็รู้ว่า จะมาหาตน จึงดำริว่า "นายนี่จะมาดีหรือมาร้ายแน่" ครั้นอำมาตย์เข้าไปถึงตัว มโหสธจึงถามว่า "ท่านจะมาจับเราหรือ ?"
อำมาตย์ "เปล่า ข้าพเจ้ารับพระบรมราชโองการมาเชิญให้ท่านกลับ"
มโหสธ "ให้กลับไปทำไม จะเอาเราเข้าตะรางหรือ ?"
อำมาตย์ "ท่านบัณฑิต ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการใช้ให้ข้าพเจ้ามาเชินท่านครั้งนี้ ก็เพราะคืนวันหนึ่งเทวดาผู้สิงอยู่ ณ เศวตฉัตรได้ถามปัญหาพระราชา ๔ ข้อ พระราชาแก้ไขไม่ได้ ขอผัดถามบัณฑิตทั้ง ๔ ในวันรุ่งขึ้น บัณฑิตเหล่านั้นก็แก้ไม่ได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านกลับไปเพื่อเหตุนี้ และขอให้กลับไปโดยเร็วด้วย"
มโหสธดีใจที่จะได้กลับบ้านเดิมและพบนางอมร จึงเข้าไปลานายช่างหม้อเจ้าของบ้าน แล้วขึ้นนั่งบนรถทั้ง ๆ ที่ตัวเปื้อนดินเหนียว เข้าไปสู่พระนคร
อำมาตย์เข้าไปกราบทูลพระราชาว่า "ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าได้พามโหสธเข้ามาเฝ้าแล้ว พระเจ้าข้า"
พระราชา "เจ้าพบมโหสธที่ไหน ?"
อำมาตย์ "มโหสธทำหม้อขายเลี้ยงชีพอยู่ที่บ้านช่างหม้อ ตำบลทักขิณยวมัชฌคาม พอข้าพระพุทธเจ้าไปพบบอกว่าพระองค์รับสั่งให้เข้าเฝ้า ก็มิได้อาบน้ำ เนื้อตัวเปื้อนดินเหนียว ขึ้นรถมากับข้าพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว พะย่ะค่ะ"
พระราชาทรงดำริว่า "หากมโหสธจะเป็นศัตรูกับเรา ก็คงทำตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เที่ยวหาพรรคพวกมาลิดรอนอำนาจเรา คงไม่ทำตนอย่างที่เป็นอยู่นั้น เราเชื่อแน่แล้วว่า มโหสธมิได้เป็นศัตรูกับเรา" ครั้นทรงดำริดังนั้นแล้ว จึงรับสั่งแก่อำมาตย์ผู้นั้นว่า "เจ้าจงกลับไปบอกมโหสธบุตรของเรา ให้กลับไปบ้านอาบน้ำแต่งกายตามศักดิ์ที่เรามอบให้ เสร็จแล้วจึงมาหาเรา"
อำมาตย์ได้รับพระราชทานบัญชาแล้ว จึงกลับไปบอกมโหสธตามที่ได้รับสั่งมา
มโหสธกลับไปบ้าน พบนางอมรคอยมาต้อนรับอยู่ ได้เล่าความเป้นไปของตนให้นางทราบทุกประการ แล้วขอตัวไปอาบน้ำ แต่งกายตามศักดิ์ของตน เสร็จแล้วไปเข้าเฝ้าพระราชา ถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง
พระเจ้าวิเทหราชตรัสปฏิสันถารกับมโหสธพอสมควรแล้ว จึงตรัสเพื่อจะทรงทดลองมโหสธว่า
"คนบางพวกไม่ทำความชั่ว เพราะเห็นว่าตนสมบูรณ์ด้วยอิสริยยศ
บางพวกไม่ทำความชั่ว เพราะเกรงตนจะถูกติเตียนกับเพราะเกรงเจ้านายผู้ให้ยศตน
จะถูกติเตียนไปด้วย แต่เจ้าเป็นผู้มีความสามารถมีความคิดปลอดโปร่ง
ถ้าเจ้าจะหวังครองราชสมบัติก็ได้ เหตุไรจึงไม่ชิงราชสมบัติของเรา
ไม่ทำความเดือดร้อนให้เรา"
มโหสธกราบทูลว่า
"บัณฑิตย่อมไม่ทำความชั่ว เพระาเหตุแห่งความสุขของตน
ถึงแม้จะเคยรุ่งเรืองด้วยสมบัติมาก่อน แต่ได้ถึงวิบัติในภายหลัง
แม้จะถูกทุกข์ทับถมก็ไม่สลัดธรรมเพระาความรักหรือความชัง"
พระราชาทรงทดลองต่อไปว่า
"บุคคลที่เคยยากเข็ญ ต่อมาได้รับสมบัติสมบูรณ์
ก็มีโอกาสที่จะตัดไมตรีจากผู้มีอุปการคุณได้มิใช่หรือ"
มโหสธกราบทูลว่า
"บุคคลนั่งหรือนอนที่เงาต้นไม้ใด ก็ไม่ควรหักกิ่งต้นไม้นั้น
เพระาผู้ที่หักกิ่งต้นไม้ชื่อว่าเป็นคนทำร้ายมิตรเป็นคนชั่ว
นรชนได้ความรู้แม้เล็กน้อยจากผู้ใดหรือผู้ใดแก้ความสงสัยให้สิ้นไป
ผู้นั้นเป็นเหมือนเกาะอันเป็นที่พึ่งของนรชนจึงไม่ควรทำไมตรีจิตให้เสียไปจากท่าน"
มโหสธได้ถวายโอวาทต่อไปว่า
"บุคคลครองเรือน แต่เกียจคร้าน ไม่งาม นักบวชไม่สำรวมก็ไม่งาม
พระราชาขาดความพินิจพิจารณาก็ไม่งาม บัณฑิตขี้โกรธก็ไม่งาม
พระราชาธิบดีทรงพินิจรอบคอบก่อนแล้ว จึงทรงประกอบราชกิจ
หากขาดการพินิจก่อน ไม่ควรประกอบกิจ
อิสริยยศ บริวารยศ เกียติยศ
ย่อมปรากฏแก่พระราชาผู้ทรงพิจารณาก่อนแล้วจึงบำเพ็ญราชกรณียกิจ"
มโหสธกราบทูลว่า "ขอพระองค์จงตรัสเทวปัญหา ๔ ข้อนั้นเถิด พระเจ้าข้า"
พระราชาจึงตรัสเทวปัญหา ตามข้อ ๑ เนื้อความของปัญหานั้นก็ปรากฏแก่มโหสธดุจดวงจันทร์เต็มดวงปรากฏในท้องฟ้า ฉะนั้น
มโหสธกราบทูลแก้ปัญหาข้อที่ ๑ ว่า "ข้าแต่พระองค์ ทารกนอนบนตักมารดาแล้ว ทุบตีถีบมารดาด้วยความร่าเริงยินดี บางครั้งก็ถอนผมมารดาเล่น บางครั้งก็ตบปากมารดา แต่มารดากลับรักในความไม่เดียงสาของทารก สวมกอดจูบด้วยความชื่นใจ ทารกนั้นย่อมเป็นที่รักของมารดา และรวมทั้งบิดาด้วย"
เทวดาได้สดับดังนั้นก็เผยกำพูฉัตรออกมาแสดงกายให้ปรากฏ แล้วซ้องสาธุการว่า "โอ พ่อบัณฑิต ท่านแก้ปัญหาได้ถูกต้องดีมาก" แล้วบูชามโหสธด้วยดอกไม้ของหอม ซึ่งล้วนแต่เป็นของทิพย์ แล้วอันตรธานไป
พระราชาตรัสเทวปัญหาตามข้อ ๒ ต่อไป
มโหสธกราบทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า บิดามารดาสั่งลูกอายุประมาณ ๗-๘ ขวบ ให้ไปนาหรือไปตลาด ลูกกลับพูดว่า ต้องให้ขนมหนูกินก่อน หนูจึงจะไป ครั้นบิดามารดาให้ขนมลูกกินเสร็จแล้วก็ไม่ไป ไปเล่นเสียกับเพื่อน เมื่อบังคับหนักเข้า ลูกก็เถียงว่า ทีพ่อแม่อยู่กับบ้าน จะให้หนูไปตากแดด บิดามารดาได้ยินลูกเถียงดังนั้นก็โกรธ หาว่าลูกหลอกกินขนมแล้วไม่ไป จึงคว้าไม้จะตี ลูกเห็นดังนั้นก็วิ่งหนี พ่อแม่ก็วิ่งไล่ เมื่อไล่ไม่ทันจึงตะโกนด่าว่าต่าง ๆ แล้วแช่งให้ลูกตายเพราะถูกสัตว์ทำร้ายบ้าง คนทำร้ายบ้าง การด่าว่าแช่งชักหักกระดูกของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ก็เป็นเพียงปาก แต่ใจไม่ปรารถนาให้เป็นไปตามนั้น ครั้นลูกหนีกระเซอะกระเซิงไป ไม่ยอมกลับบ้าน ไปอยู่ที่อื่น พ่อแม่ก็คิดถึง คอยมองดูต้นทางว่า เมื่อไรหนอลูกที่รักจึงจะกลับบ้าน เมื่อไม่เห็นลูกกลับก็เที่ยวตามหาจนพบ ครั้นพบแล้วก็สวมกอดพูดจาปลอบโยนด้วยคำอ่อนหวาน แล้วพาลูกกลับบ้าน ดังนั้น บุตรผู้ถูกด่าชื่อว่าเป็นที่รักของบิดามารดาผู้ด่า"
เทวดาสดับก็พอใจซ้องสาธุการอีกครั้งหนึ่ง
พระราชาตรัสเทวปัญหาตามข้อ ๓ ต่อไป
มโหสธกราบทูลแก้ปัญหาข้อ ๓ ว่า "ข้อแต่พระองค์ ภรรยาสามีเมื่ออยู่ในที่ลับ ก็แสดงความเสน่หารักใคร่ตามวิสัยของโลก พูดจาหยอกเย้าเล่นหัวกัน ฝ่ายหนึ่งทำเป็นหาอีกฝ่ายหนึ่งว่า ไม่มีความรักจริง แล้วโต้เถียงกันตามประสาคนรัก ดังนั้น ภรรยาและสามีชื่อว่าเป็นที่รักของกันและกัน"
เทวดาเผยกำพูฉัตรออกมาซ้อสาธุการอีกวาระหนึ่ง
พระราชาตรัสเทวปัญหาข้อ ๔ ต่อไป
มโหสธกราบทูลแก้ว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ปัญหานี้เทวดากล่าวหมายถึงสมณะและพราหมณ์ เพราะสมณะและพราหมณ์ ชื่อว่าเป็นผู้นำข้าว น้ำ ผ้าและเสนาสนะไปจากผู้มีศรัทธาถวาย ผู้มีศรัทธาก็เลื่อมใสยินดีต่อสมณะและพราหมณ์นั้น ดังนั้น สมณะและพราหมณ์ จึงชื่อว่าเป็นที่รักของเจ้าของข้าวน้ำเป็นต้น"
..........................................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น