วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้าที่ ๒๐)


คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้

พระราชาเมื่อถูกคุกคามเข้าดังนั้น  ให้รู้สึกกลัวมรณภัยยิ่งนัก  รุ่งขึ้นตรัสเรียกอำมาตย์  ๔  นายมารับสั่งว่า  "เจ้าทั้ง  ๔  จงขึ้นรถไปคนละคัน  เที่ยวค้นหามโหสธบุตรของเราทั้ง  ๔  ด้าน  หากพบแล้ว  ขอให้เชิญตัวกลับโดยเร็ว"



อำมาตย์  ๔  นาย  เมื่อได้รับพระบรมราชโองการดังนั้นแล้ว  จึงพากันไปค้นหามโหสธตามที่ต่าง ๆ
อำมาย์คนหนึ่งได้ไปทางทักษิณทิศ  พบมโหสธที่บัานทักขิณยวมัชฌคาม  มโหสธกำลังขนดินเหนียวมาเพิ่งเสร็จ  เนื้อตัวเปื้อนดินเหนียว  นั่งบนตั่ง  ปั้นดินเหนียวเป็นปั้น ๆ  บริโภคข้าวไม่มีกับอยู่  ทำงานในบ้านช่างปั้นหม้อ

มโหสธเห็นอำมาตย์มา ก็รู้ว่า   จะมาหาตน  จึงดำริว่า  "นายนี่จะมาดีหรือมาร้ายแน่"  ครั้นอำมาตย์เข้าไปถึงตัว  มโหสธจึงถามว่า  "ท่านจะมาจับเราหรือ ?"

อำมาตย์  "เปล่า  ข้าพเจ้ารับพระบรมราชโองการมาเชิญให้ท่านกลับ"

มโหสธ  "ให้กลับไปทำไม  จะเอาเราเข้าตะรางหรือ ?"

อำมาตย์  "ท่านบัณฑิต  ไม่ใช่อย่างนั้น  ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง  ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการใช้ให้ข้าพเจ้ามาเชินท่านครั้งนี้  ก็เพราะคืนวันหนึ่งเทวดาผู้สิงอยู่  ณ  เศวตฉัตรได้ถามปัญหาพระราชา  ๔  ข้อ  พระราชาแก้ไขไม่ได้  ขอผัดถามบัณฑิตทั้ง  ๔  ในวันรุ่งขึ้น  บัณฑิตเหล่านั้นก็แก้ไม่ได้  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านกลับไปเพื่อเหตุนี้  และขอให้กลับไปโดยเร็วด้วย"

มโหสธดีใจที่จะได้กลับบ้านเดิมและพบนางอมร  จึงเข้าไปลานายช่างหม้อเจ้าของบ้าน  แล้วขึ้นนั่งบนรถทั้ง ๆ  ที่ตัวเปื้อนดินเหนียว  เข้าไปสู่พระนคร

อำมาตย์เข้าไปกราบทูลพระราชาว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระพุทธเจ้าได้พามโหสธเข้ามาเฝ้าแล้ว  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "เจ้าพบมโหสธที่ไหน ?"

อำมาตย์  "มโหสธทำหม้อขายเลี้ยงชีพอยู่ที่บ้านช่างหม้อ  ตำบลทักขิณยวมัชฌคาม  พอข้าพระพุทธเจ้าไปพบบอกว่าพระองค์รับสั่งให้เข้าเฝ้า  ก็มิได้อาบน้ำ  เนื้อตัวเปื้อนดินเหนียว  ขึ้นรถมากับข้าพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว พะย่ะค่ะ"

พระราชาทรงดำริว่า  "หากมโหสธจะเป็นศัตรูกับเรา  ก็คงทำตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่  เที่ยวหาพรรคพวกมาลิดรอนอำนาจเรา  คงไม่ทำตนอย่างที่เป็นอยู่นั้น  เราเชื่อแน่แล้วว่า  มโหสธมิได้เป็นศัตรูกับเรา"  ครั้นทรงดำริดังนั้นแล้ว  จึงรับสั่งแก่อำมาตย์ผู้นั้นว่า  "เจ้าจงกลับไปบอกมโหสธบุตรของเรา  ให้กลับไปบ้านอาบน้ำแต่งกายตามศักดิ์ที่เรามอบให้  เสร็จแล้วจึงมาหาเรา"

อำมาตย์ได้รับพระราชทานบัญชาแล้ว  จึงกลับไปบอกมโหสธตามที่ได้รับสั่งมา

มโหสธกลับไปบ้าน  พบนางอมรคอยมาต้อนรับอยู่  ได้เล่าความเป้นไปของตนให้นางทราบทุกประการ  แล้วขอตัวไปอาบน้ำ  แต่งกายตามศักดิ์ของตน  เสร็จแล้วไปเข้าเฝ้าพระราชา  ถวายบังคม  นั่ง  ณ  ที่ควรข้างหนึ่ง

พระเจ้าวิเทหราชตรัสปฏิสันถารกับมโหสธพอสมควรแล้ว  จึงตรัสเพื่อจะทรงทดลองมโหสธว่า

"คนบางพวกไม่ทำความชั่ว  เพราะเห็นว่าตนสมบูรณ์ด้วยอิสริยยศ  
บางพวกไม่ทำความชั่ว  เพราะเกรงตนจะถูกติเตียนกับเพราะเกรงเจ้านายผู้ให้ยศตน
จะถูกติเตียนไปด้วย  แต่เจ้าเป็นผู้มีความสามารถมีความคิดปลอดโปร่ง  
ถ้าเจ้าจะหวังครองราชสมบัติก็ได้  เหตุไรจึงไม่ชิงราชสมบัติของเรา  
ไม่ทำความเดือดร้อนให้เรา"


มโหสธกราบทูลว่า

"บัณฑิตย่อมไม่ทำความชั่ว  เพระาเหตุแห่งความสุขของตน  
ถึงแม้จะเคยรุ่งเรืองด้วยสมบัติมาก่อน  แต่ได้ถึงวิบัติในภายหลัง  
แม้จะถูกทุกข์ทับถมก็ไม่สลัดธรรมเพระาความรักหรือความชัง"


พระราชาทรงทดลองต่อไปว่า

"บุคคลที่เคยยากเข็ญ  ต่อมาได้รับสมบัติสมบูรณ์
ก็มีโอกาสที่จะตัดไมตรีจากผู้มีอุปการคุณได้มิใช่หรือ"


มโหสธกราบทูลว่า


"บุคคลนั่งหรือนอนที่เงาต้นไม้ใด  ก็ไม่ควรหักกิ่งต้นไม้นั้น  
เพระาผู้ที่หักกิ่งต้นไม้ชื่อว่าเป็นคนทำร้ายมิตรเป็นคนชั่ว

นรชนได้ความรู้แม้เล็กน้อยจากผู้ใดหรือผู้ใดแก้ความสงสัยให้สิ้นไป  
ผู้นั้นเป็นเหมือนเกาะอันเป็นที่พึ่งของนรชนจึงไม่ควรทำไมตรีจิตให้เสียไปจากท่าน"


มโหสธได้ถวายโอวาทต่อไปว่า

"บุคคลครองเรือน  แต่เกียจคร้าน ไม่งาม  นักบวชไม่สำรวมก็ไม่งาม  
พระราชาขาดความพินิจพิจารณาก็ไม่งาม  บัณฑิตขี้โกรธก็ไม่งาม  
พระราชาธิบดีทรงพินิจรอบคอบก่อนแล้ว  จึงทรงประกอบราชกิจ  
หากขาดการพินิจก่อน  ไม่ควรประกอบกิจ

อิสริยยศ  บริวารยศ  เกียติยศ  
ย่อมปรากฏแก่พระราชาผู้ทรงพิจารณาก่อนแล้วจึงบำเพ็ญราชกรณียกิจ"


ครั้นมโหสธกราบทูลจบ  พระราชาก็ทรงโสมนัสปรีดาปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง  เมื่อจะให้มโหสธแก้ปัญหาที่เทวดาถาม  พระองค์จึงให้มโหสธนั่งในที่สูง  ส่วนพระองค์ประทับนั่งในที่ต่ำกว่า  แล้วตรัสว่า  "พ่อบัณฑิต  เทวดาผู้สิงอยู่  ณ  เศวตแัตรได้ตั้งปัญหาถามพ่อ  ๔ ข้อ  พ่อหมดปัญญา  แก้ไม่ได้  เรียกบัณฑิต  ทั้ง  ๔  มาให้แก้  ก็แก้ไม่ได้  เทวดาได้คาดโทษไว้หนักเหลือเกิน  หากแก้ไม่ได้  พ่อก็เห็นอยู่ลูกนี่แหละที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ของพ่อให้หมดไปในครั้งนี้"

มโหสธกราบทูลว่า  "ขอพระองค์จงตรัสเทวปัญหา  ๔  ข้อนั้นเถิด  พระเจ้าข้า"

พระราชาจึงตรัสเทวปัญหา  ตามข้อ  ๑  เนื้อความของปัญหานั้นก็ปรากฏแก่มโหสธดุจดวงจันทร์เต็มดวงปรากฏในท้องฟ้า  ฉะนั้น

มโหสธกราบทูลแก้ปัญหาข้อที่ ๑  ว่า  "ข้าแต่พระองค์  ทารกนอนบนตักมารดาแล้ว  ทุบตีถีบมารดาด้วยความร่าเริงยินดี  บางครั้งก็ถอนผมมารดาเล่น  บางครั้งก็ตบปากมารดา  แต่มารดากลับรักในความไม่เดียงสาของทารก  สวมกอดจูบด้วยความชื่นใจ  ทารกนั้นย่อมเป็นที่รักของมารดา  และรวมทั้งบิดาด้วย"

เทวดาได้สดับดังนั้นก็เผยกำพูฉัตรออกมาแสดงกายให้ปรากฏ  แล้วซ้องสาธุการว่า  "โอ  พ่อบัณฑิต  ท่านแก้ปัญหาได้ถูกต้องดีมาก"  แล้วบูชามโหสธด้วยดอกไม้ของหอม  ซึ่งล้วนแต่เป็นของทิพย์  แล้วอันตรธานไป

พระราชาตรัสเทวปัญหาตามข้อ  ๒  ต่อไป

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  บิดามารดาสั่งลูกอายุประมาณ  ๗-๘  ขวบ  ให้ไปนาหรือไปตลาด  ลูกกลับพูดว่า  ต้องให้ขนมหนูกินก่อน  หนูจึงจะไป  ครั้นบิดามารดาให้ขนมลูกกินเสร็จแล้วก็ไม่ไป  ไปเล่นเสียกับเพื่อน  เมื่อบังคับหนักเข้า  ลูกก็เถียงว่า  ทีพ่อแม่อยู่กับบ้าน  จะให้หนูไปตากแดด  บิดามารดาได้ยินลูกเถียงดังนั้นก็โกรธ  หาว่าลูกหลอกกินขนมแล้วไม่ไป  จึงคว้าไม้จะตี  ลูกเห็นดังนั้นก็วิ่งหนี พ่อแม่ก็วิ่งไล่  เมื่อไล่ไม่ทันจึงตะโกนด่าว่าต่าง ๆ  แล้วแช่งให้ลูกตายเพราะถูกสัตว์ทำร้ายบ้าง  คนทำร้ายบ้าง  การด่าว่าแช่งชักหักกระดูกของพ่อแม่ที่มีต่อลูก  ก็เป็นเพียงปาก  แต่ใจไม่ปรารถนาให้เป็นไปตามนั้น  ครั้นลูกหนีกระเซอะกระเซิงไป  ไม่ยอมกลับบ้าน  ไปอยู่ที่อื่น  พ่อแม่ก็คิดถึง  คอยมองดูต้นทางว่า  เมื่อไรหนอลูกที่รักจึงจะกลับบ้าน  เมื่อไม่เห็นลูกกลับก็เที่ยวตามหาจนพบ  ครั้นพบแล้วก็สวมกอดพูดจาปลอบโยนด้วยคำอ่อนหวาน  แล้วพาลูกกลับบ้าน  ดังนั้น  บุตรผู้ถูกด่าชื่อว่าเป็นที่รักของบิดามารดาผู้ด่า"

เทวดาสดับก็พอใจซ้องสาธุการอีกครั้งหนึ่ง

พระราชาตรัสเทวปัญหาตามข้อ  ๓  ต่อไป

มโหสธกราบทูลแก้ปัญหาข้อ  ๓  ว่า  "ข้อแต่พระองค์  ภรรยาสามีเมื่ออยู่ในที่ลับ  ก็แสดงความเสน่หารักใคร่ตามวิสัยของโลก  พูดจาหยอกเย้าเล่นหัวกัน  ฝ่ายหนึ่งทำเป็นหาอีกฝ่ายหนึ่งว่า  ไม่มีความรักจริง  แล้วโต้เถียงกันตามประสาคนรัก  ดังนั้น  ภรรยาและสามีชื่อว่าเป็นที่รักของกันและกัน"

เทวดาเผยกำพูฉัตรออกมาซ้อสาธุการอีกวาระหนึ่ง

พระราชาตรัสเทวปัญหาข้อ  ๔  ต่อไป

มโหสธกราบทูลแก้ว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  ปัญหานี้เทวดากล่าวหมายถึงสมณะและพราหมณ์  เพราะสมณะและพราหมณ์ ชื่อว่าเป็นผู้นำข้าว  น้ำ  ผ้าและเสนาสนะไปจากผู้มีศรัทธาถวาย  ผู้มีศรัทธาก็เลื่อมใสยินดีต่อสมณะและพราหมณ์นั้น  ดังนั้น  สมณะและพราหมณ์  จึงชื่อว่าเป็นที่รักของเจ้าของข้าวน้ำเป็นต้น"


..........................................

(ยังมีต่ออีก)




























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น