วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๑๓)



แก้ปัญหา  เรื่อง  แพะกับสุนัข (ต่อ)

มโหสธกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม  ข้าพระพุทธเจ้าทราบแล้ว  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "ดีแล้ว  จงว่าไป"

มโหสธกราบทูลว่า

"แพะมี  ๔  เท้า  ๘  กีบ  แฝงกายไปนำเนื้อมาให้สุนัข  
สุนัขแฝงกายไปนำหญ้ามาให้แพะ  พระเจ้าวิเทหราชประทับ
อยู่บนพื้นยาวของปราสาท  ได้ทอดพระเนตรเห็น
มิตรธรรมระหว่างแพะกับสุนัขด้วยพระองค์เอง"


พระราชาทรงพอพระทัวบการแก้ปัญหาของบัณฑิตเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง  ทรงตบพระเพลาอยู่ฉาด ๆ ด้วยความโสมนัส  ทรงสำคัญว่าบัณฑิตทั้ง  ๕  รู้ด้วยปัญญาของตนเอง  จึงตรัสขึ้นด้วยความภาคภูมิพระทัยว่า  "เป็นลาภอันประเสริฐของเรา  ที่ได้มีบัณฑิตเช่นนี้อยู่ในราชสำนัก  ทุกคนรู้แจ้งแทงตลอดในปัญหาอันลึกลับของเรา  และทุกคนกล่าวถูกต้องตามความหมายของปัญหาแล้ว  เราชอบใจ"  แล้วพระราชทานรถเทียมม้าอัสดรคนละคัน  บ้านส่วยที่มีผลประโยชน์มากคนละหมู่เป็นรางวัล

บัณฑิตทั้ง  ๕  เมื่อได้รับพระราชทานรางวัล  ต่างก็โสมนัสยินดี  กราบถวายบังคมลากลับบ้านของตน ๆ

พระนางอุทุมพรเทวีเมื่อทรงทราบว่า  พระสวามีพระราชทานรางวัลแก่บัณฑิตทั้ง  ๕  จำนวนเท่ากัน  จึงทรงดำริว่า ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พระราชทานรางวัลเท่ากัน  เพราะบัณฑิตทั้ง  ๔  มิได้คิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง  อาศัยมโหสธน้องชายเราเป็นผู้บอกให้  ครั้นแล้วพระนางจึงเสด็จไปเฝ้าพระสามี  กราบทูลว่า  "หม่อมแันได้ทราบว่า  ทูลกระหม่อมพระราชทานรางวัลแก่บัณฑิตทั้ง  ๕  เท่า ๆ  กันหรือเพคะ"

พระสวามี  "ถูกแล้ว"

พระนาง  "ทูลกระหม่อมทรงทราบหรือไม่ว่า  บัณฑิตทั้ง  ๔  แก้ปัญหาของพระองค์ได้  เพราะใคร"

พระสวามี  "เราไม่ทราบ"

พระนาง  "บัณฑิตทั้ง  ๔  ไม่ได้อาศัยความคิดของตนเองแก้ปัญหาดอกเพคะ  มโหสธเป็นผู้บอกให้  เพราะสงสารบัณฑิตทั้ง  ๔  เห็นว่าเป็นคนเก่าคนแก่ในราชสำนัก  เกรงว่าจะถูกพระองค์เนรเทศไปเสียจากแว่นแคว้น  จึงได้บอกแก้ปัญหาของพระองค์ให้  และการที่พระองค์พระราชทานรางวัลแก่เขาเท่ากันนั้นไม่สมควร  ควรจะพระราชทานรางวัลแก่มโหสธเป็นพิเศษ  นะเพคะ"

พระราชายิ่งทรงเห็นความดีของมโหสธมากขึ้น  ที่ไม่บอกว่าบัณฑิตทั้ง  ๔  รู้ปัญหาเพราะตนเป็นผู้บอกให้  จึงดำริที่จะเพิ่มพูนลาภสักการะแก่มโหสธให้ยิ่งขึ้น  แต่เรื่องนี้ก็เลยไปแล้ว  เอาไว้เรื่องใหม่  จึงตรัสกับพระนางว่า  "เราขอบใจพระนางที่มาบอกให้รู้เรื่อง  เอาเถอะ  เรื่องที่แล้วมาก็ขอให้เป็นไป  เราจะตั้งปัญหาขึ้นใหม่  หากมโหสธแก้ได้  เราจะรางวัลให้เป็นพิเศษ"





แก้ปัญหา  เรื่อง  ทรัพย์กับปัญญา

วันหนึ่ง  ขณะพระราชาประทับ  ณ  ท้องพระโรง  เหล่าบัณฑิตก็เข้าเฝ้าพร้อมหน้ากัน  พระราชารับสั่งขึ้นในที่ประชุมพวกบัณฑิตว่า  "วันนี้เรามีปัญหาที่จะถามพวกท่านอีก  เราขอถามอาจารย์เสนกะว่า

ชน  ๒  พวก  พวกหนึ่งสมบูรณ์ด้วยปัญญา  แต่ไม่มียศ
ไม่มีทรัพย์  พวกหนึ่งสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ด้วยยศ  แต่ไม่มี
ปัญญา  ทั้ง  ๒  พวกนี้  พวกไหนที่ควรยกย่องว่าเป็นผู้ประเสริฐ ?"

เสนกะกราบทูลทันทีว่า

"อันคนฉลาด  แม้มีชาติตระกูลสูง  แต่ไม่มียศไม่มีทรัพย์
ก็ต้องเป็นคนรับใช้ของผู้มีชาติตระกูลต่ำ  แต่มียศมีทรัพย์
ดังนั้น  ข้าพระองค์จึงเห็นว่า  คนมีปัญญาไม่ประเสริฐ  
คนมีทรัพย์  มียศ  เป็นคนประเสริฐ"  
(สิริ  คือ  ทรัพย์  ยศ  มัณฑะ  คือ  ปัญญา)

เสนกะกราบทูลไปดังนั้น  ก็เพราะตระกูลของเสนกะเป็นตระกูลที่มีทรัพย์  มียศ

พระราชาได้สดับคำกราบทูลของเสนกะดังนั้นแล้ว  ก็มิได้ตรัสถามบัณฑิตอีก  ๓  คน  ได้หันพระพักตร์มาถามมโหสธซึ่งนั่งอยู่ท้ายแถวว่า  "มโหสธบัณฑิต  เจ้าจะว่าอย่างไร  ระหว่างคนมีปัญญากับคนมีทรัพย์มียศ  ไหนจะประเสริฐกว่ากัน ?"

มโหสธกราบทูลว่า

"คนมีทรัพย์  มียศ  แต่ปราศจากปัญญา  ชื่อว่าเป็น
คนพาลคนโง่  ธรรมดาคนพาลคนโง่ย่อมสำคัญว่า  ยศ
ทรัพย์  เป็นสิ่งประเสริฐ  จึงคิดแต่ความชั่ว  เพราะอาศัย
ยศและทรัพย์นั้น  คนพาลมักเห็นแต่โลกนี้  
ไม่เห็นโลกหน้า  ชื่อว่าเป็นคนเคราะห์ร้ายในโลกทั้ง  ๒
ข้าพระบาทเห็นเหตุนี้จึงขอกราบทูลว่า  คนมีปัญญา
ประเสริฐกว่าคนโง่  มีทรัพย์  มียศ"


เมื่อมโหสธกราบทูลจบแล้ว  พระราชาจึงทอดพระเนตรไปทางเสนกะแล้วตรัสว่า  "ว่าอย่างไร  อาจารย์เสนกะ  มโหสธเขาสรรเสริญคนมีปัญญา  ว่าเป็นคนประเสริฐไม่ใช่หรือ ?"

เสนกะกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  มโหสธยังเด็กนัก  กลิ่นน้ำนมยังไม่หมดจากปากจนทุกวันนี้  เธอจะรู้อะไร"  แล้วกราบทูลต่อไปว่า

"คนมีทรัพย์  ถึงไม่มีศิลปะหรือความรู้  มหาชนก็ย่อม
นับหน้าถือตา ดังเช่นโครวินทเศรษฐี  ผู้มีน้ำลายไหล
ออกจากปากขณะพูด  เขายังมีความสุขอย่างอุดม
สมบูรณ์  ข้าพระองค์เห็นว่า  คนมีปัญญาเป็นคนต่ำ  
คนมีทรัพ์เป็นคนประเสริฐ"


เรื่องโครวินทเศรษฐีที่เสนกะยกมาอ้างกราบทูลพระราชานั้น  มีอยู่ว่า  เศรษฐีโครวินทะมีสมบัติอยู่  ๘๐ โกฏ  อยู่ในเมืองมิถิลานั่นเอง  เป็นคนมีรูปร่างวิกล  ไม่มีลูก  และไม่มีความรู้อะไรเลย  เมื่อเวลาพูด
น้ำลายก้ไหลออกมาที่คางทั้งสองข้าง  มีสตรีรูปงามดุจนางฟ้า  ๒  นาง  ถือดอกบัวเขียวที่บานแล้วยืนอยู่ทั้งสองข้าง คอยเอาดอกบัวนั้นรับน้ำลาย  แล้วทิ้งลงทางหน้าต่าง

พวกนักเลงสุราที่ต้องการจะได้ดอกบัวเขียวก่อนเข้าโรงสุรา  มักจะไปที่บ้านเศรษฐี  แล้วร้องเรียก  เมื่อเศรษฐีได้ยินเสียงนักเลงสุราร้องเรียก  ก็ไปยืนถามที่หน้าต่างว่า  "จะมาเรียกข้าทำไม ?"  ขณะพูดน้ำลายก็ไหลออกจากปาก  สตรีทั้งสองจึงเอาดอกบัวเขียวรองรับน้ำลายไว้  แล้วโยนทิ้งลงไปที่ถนน  นักเลงสุราก็หยิบเอาดอกบัวเขียวนั้นไปล้างน้ำ  แล้วประดับตัวเข้าไปในโรงสุรา


...........................

(ยังมีต่ออีก)


























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น