แก้ปัญหา เรื่อง สิริกับกาลกิณี (ต่อ)
พระนางกราบทูลว่า "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ชายที่กำลังทำงานอยู่ข้างทางโน้นอย่างไรเล่า เพคะ ที่เป็นสามีของหม่อมฉัน ซึ่งเขาได้เอาหนามสะล้อมต้นมะเดื่อขณะที่หม่อมฉันอยู่บนต้นมะเดื่อ แล้วหนีหม่อมฉันไป หม่อมฉันเห็นเขาก็มาคิดว่า อนิจจา บุรุษกาลกิณีนี้ช่างไม่มีบุญวาสนาที่จะได้ครองสิริเสียเลย หม่อมฉันนึกขันแต่ในใจ อดไม่ได้ก็หัวเราะขึ้นมา การเป็นดังนี้แหละ เพคะ"
พระราชาไม่เชื่อจึงตรัสอย่างกริ้วว่า "เธอพูดปด เธอต้องเห็นอะไรอย่างอื่น ให้บอกมาตรง ๆ ไม่เช่นนั้นเราจะฆ่าเสียเดี๋ยวนี้แหละ" ตรัสแล้วก็ชักพระแสงดาบออกมาจากฝัก หมายจะฟาดฟันพระมเหสีให้ขาดสะบั้นไป
พระมเหสีทรงเกรงกลัวพระราชอาญา จนพระวรกายสั่นเทา กราบทูลว่า "โอ พระทูลกระหม่อม อย่าเพิ่งทรงประหารหม่อมฉันเสียเลย ขอได้โปรดตรัสถามบัณฑิตก่อนเถิด เพคะ"
พระราชายั้งพระทัยได้ จึงตรัสถามเสนกะว่า "ท่านอาจารย์เสนกะ ท่านเชื่อคำพูดของมเหสีเราหรือไม่ ?"
เสนกะกราบทูลว่า "ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าไม่เชื่อ คงไม่มีชายใดโง่พอที่จะทอดทิ้งสตรีที่มีความงามอย่างหาที่ติมิได้เช่นพระนางนี้แน่ พระเจ้าข้า"
พระนางอุทุมพรได้สดับดังนั้น ก็ยิ่งกลัวพระราชอาญาหนักขึ้นอีก พระพักตร์ซีดเผือดลงทันที ซบพระพักตร์ลงกับพระหัตถ์ ทรงกรรแสงสะอื้นไห้
พระราชาทรงดำริว่า "ควรถามมโหสธบัณฑิตดูอีกคน" แล้วหันพระพักตร์ไปทางที่มโหสธเฝ้าอยู่ ตรัสถามว่า "ดูก่อนมโหสธบัณฑิต อันสตรีรูปงาม สมบูรณ์ด้วยมารยาท จะมีบ้างไหมที่บุรุษไม่ปรารถนา ?"
มโหสธบัณฑิตกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์เชื่อว่ามี เพราะบุรุษเป็นผู้ไม่มีบุญวาสนา เป็นกาลกิณี แต่สตรีเป็นผู้มีสิริ สิริกับกาลกิณีอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไกลแสนไกลกันเช่นฟ้ากับดิน พระเจ้าข้า"
พระราชาทรงสดับคำกราบทูลของมโหสธบัณฑิตดังนั้น ก็ทรงทราบเหตุการณ์เป็นอย่างดี และทรงเห็นด้วยกับถ้อยคำของมโหสธ หายพิโรธทันที หันมาปลอบพระอัครมเหสี เชยพระพักตร์ของพระนางให้เงยขึ้น แล้วตรัสว่า "อย่ากรรแสงไห้ไปเลยนะพระน้อง เราเชื่อแล้วว่า ที่พระน้องทูลนั้นเป็นความจริง"
พระนางอุทุมพรเทวีดีพระทัย กราบถวายบังคมลงบนพระเพลา
พระราชาทรงยินดีที่มโหสธกราบทูลให้สิ้นสงสัย จึงตรัสว่า "ดูก่อนมโหสธบัณฑิต วันนี้ถ้าไม่ได้เจ้า เราจะต้องเสื่อมจากหญิงแก้วที่เรารักดังดวงใจไปเป็นแน่ เราได้ชีวิตของนางไว้เพราะอาศัยเจ้า" แล้วพระราชทางกหปณะแก่มโหสธ ๑๐๐,๐๐๐ เป็นรางวัล
พระนางอุทุมพรดำริว่า มโหสธบัณฑิตมีบุญคุณแก่พระนางมากที่กราบทูลพระสามีให้ทรงเชื่อ เพื่อทดแทนบุญคุณของมโหสธที่มีต่อพระนาง จึงกราบทูลพระสามีว่า "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ข้าพระบาทได้ชีวิตเพราะมโหสธบัณฑิต นับว่ามโหสธบัณฑิตได้ทำบุญคุณไว้แก่ข้าพระบาทเป็นอย่างมาก เพื่อทดแทนบุคุณอันนี้ ข้าพระบาทขอพระพรจากพระองค์ คือ ขอพระองค์ทรงตั้งมโหสธบัณฑิตไว้ในตำแหน่งน้องชายของข้าพระบาทเถิด เพคะ"
พระเจ้าวิเทหราชพระราชทานพระแก่พระนางว่า "เราขอให้พรนั้นแก่เธอ"
พระนางอุทุมพรเทวีดีพระทัยกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพระองค์จะไปบริโภคของมีรสอร่อย ต้องได้บริโภคร่วมกับน้องชายด้วย และขอให้ได้เปิดประตูส่งของมีรสอร่อยไปให้น้องชายได้ทุกเวลา"
พระราชาทรงอนุญาตตามความประสงค์ของพระนางทุกประการ.
แก้ปัญหา เรื่อง แพะกับสุนัข
จะเล่าเรื่องแพะกับสุนัขสนิทสนมกันได้อย่างไร ให้ผู้อ่านได้ทราบไว้ก่อน เรื่องมีอยู่ว่า แพะไปกินหญ้าในโรงช้าง ถูกคนเลี้ยงช้างไล่ตีจนหลังแอ่น หนีไปนอนข้างเรือนตรงข้ามกับพระราชวัง ในวันเดียวกันนั้นสุนัขได้แอบเข้าไปในห้องเครื่อง พอพ่อครัวได้ยินจึงปิดประตูตีสุนัข สุนัขร้องหนีออกไปได้ พ่อครัวก็ไล่ตีจนหลังแอ่นไป สุนัขหนีเข้าไปในที่ที่แพะนอน แพะเห็นสุนัขหลังแอ่นมา จึงถามว่า "เพื่อนเป็นอะไรไปหรือจึงวิ่งหลังแอ่นมา หรือปวดท้องไป ?"
สุนัขก็ถามแพะบ้างว่า "ก็เพื่อนเล่าเป็นอะไร จึงนอนซึมหลังแอ่นไปเหมือนกัน ?"
ทั้งสองจึงบอกเรื่องที่เกิดขึ้นแก่กันและกัน เข้าแบบหัวอกอันเดียวกัน
แพะจึงถามสุนัขว่า "เพื่อนยังจะไปโรงครัวได้อีกหรือ ?"
สุนัขตอบว่า "เห็นจะไม่ไปแล้วเพื่อน ขืนไปชีวิตดับแน่ ก็เพื่อนเล่ายังจะไปโรงช้างได้อีกหรือ ?"
แพะ "ก็เหมือนกันแหละเพื่อน ไปไม่ได้แน่ที่โรงช้าง ขืนไปเป็นดับ"
สัตว์ทั้งสองปรึกษากันว่า ทำอย่างไรดีจึงจะได้อาหารมากิน แพะเจ้าปัญญาจึงออกความเห็นว่า "เอาอย่างนี้เถอะเพื่อนรัก เราทั้งสองมาช่วยกัน ข้าคิดอุบายได้แล้ว"
สุนนัขคะยั้นคะยอถามว่า "อุบายอย่างไร ?"
แพะบอกว่า "ตั้งแต่นี้ไป เจ้าไปอยู่ที่ดรงช้าง คนเลี้ยงช้างคงไม่สงสัยเจ้า เพราะเจ้าไม่กินหญ้า แล้วเจ้าก็เอาหญ้ามาให้ข้ากิน ส่วนข้าจะไปอยู่ในโรงครัว พ่อครัวคงไม่รังเกียจ เพราะข้าไม่กินเนื้อ แล้วข้าก็จะนำเนื้อมาให้เจ้า อุบายนี้เป็นอย่างไร เห็นด้วยไหม"
สุนัขเห็นดีด้วย ตอบว่า "ตกลง"
ตั้งแต่นั้นมา สัตว์ทั้งสองก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน อยู่ด้วยกันตลอดมา
จะกล่าวถึงพระเจ้าวิเทหราช พอรุ่งขึ้นเหล่าบัณฑิตได้มาเฝ้าตามปรกติ ณ ท้องพระโรง ต่างก็นั่งบนอาสนะตามลำดับ คือ ท่านเสนกะอยู่ใกล้กับที่ประทับ ถัดมาปุกกุสะ กามินทะ เทวินทะ และมโหสธ
นั่งอยู่ท้าย นอกนั้นก็มีข้าราชบริพารเฝ้าตามตำแหน่ง เมื่อทุกคนพร้อมกันแล้ว พระองค์จึงตรัสว่า "วันนี้ เรามีปัญหาให้พวกท่านคิดแก้ หากผู้ใดแก้ไม่ได้ เราจะขับออกจากแคว้นของเรา เพราะเราต้องการแต่คนฉลาดไว้ใช้ ไม่ต้องการคนโง่ ทุกคนคงเข้าใจคำพูดของเรานะ"
พวกบัณฑิตกราบทูลว่า "เข้าใจแล้ว พะย่ะค่ะ"
พระราชา "ถ้ากระนั้นจงตั้งใจฟัง เราจะถามละ
สัตว์เดียรัจฉาในโลกนี้มันมักไม่ค่อยจะเป็นมิตรกัน
ต่างเป็นศัตรูกัน ไม่เคยเดินทางร่วมกันได้แม้เพียง
๗ ก้าว ถ้ามันเห็นกันเข้า ก็ต้องวิวาทกัน แต่เดี๋ยวนี้
เกิดมีศัตรูคู่อริกันนั้นกลับมาเป็นเพื่อนกัน มีความ
สนิทชิดชอบกัน นี่เป็นเพราะอะไร ?"
มโหสธบัณฑิตพิจารณาปัญหา ก็ยังไม่เห็นเนื้อความ ดำริว่า พระราชาของเราคงทอดพระเนตรเห็นอะไรเป็นแน่ คงไม่ได้คิดตั้งปัญหาขึ้นเอง เราควรจะทูลขอโอกาสไปใคร่ครวญดูสัก ๑ วัน แต่เราต้องดูอาจารย์เสนกะก่อนจะคิดอย่างไร"
..........................................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น