แก้ปัญหา เรื่อง ทรัพย์กับปัญญา (ต่อ)
เสนกะหมดปัญญาที่จะกล่าวโต้ให้เหมือนมโหสธอีกได้ เหมือนข้าวเปลือกเต็มฉางได้หมดไปสิ้นแล้ว ได้แต่นั่งก้มหน้าซบเซาอยู่
พระราชาทอดพระเนตรเห็นอาการของเสนกะดังนั้นแล้ว ก็ทรงทราบว่า อาจารย์เสนกะหมดภูมิแล้ว จึงรับสั่งกับมโหสธต่อไปว่า "พ่อมโหสธ เจ้ายังมีอะไรจะพูดหรือไม่ ?"
มโหสธกราบทูลว่า "ขอเดชะ ข้าพระองค์ยังมีเรื่องจะพูดอีก พระเจ้าข้า"
พระราชา "ถ้าอย่างนั้น ขอให้เจ้าพูดไป"
มโหสธ เมื่อจะพรรณนาให้เห็นว่าปัญญาประเสริฐยิ่ง ๆ ขึ้นไ ป จึงกราบทูลว่า
"สัตบุรุษทั้งหลายย่อมสรรเสริญปัญญา ว่าประเสริฐ
คนเขลาเท่านั้น ที่มัวเมาหลงใหลอยู่กับยศและทรัพย์
ความรู้ของนักปราชญ์ จะหาอะไรมาชั่งหรือมาเปรียบ
ไม่ได้ ย่อมอยู่เหนือทุก ๆ สิ่ง คนมีทรัพย์ มียศ จะอยู่
เหนือคนมีปัญญาไปไม่ได้"
พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับถ้อยคำของมโหสธดังนั้น ก็มีพระราชดำรัสขึ้นด้วยความโสมนัสปรีดาว่า
"ดูก่อนพ่อมโหสธบัณฑิต เราพอใจมากที่เจ้าแก้ปัญหา
ของเราได้แจ่มแจ้งชัดเจน ไม่คลุมเคลือเลย ดุจมีผู้เปิด
ภาชนะคว่ำให้พลันหงาย เราขอมอบโคอุสุภราช ๑,๐๐๐ ช้าง
พร้อมด้วยคชาภรณ์และควาญกับรถเทียมม้าอาชาไนย
๑๐ คัน บ้านส่วย ๑๖ บ้านเป็นรางวัล"
มโหสธกราบถวายบังคมรับพระราชทานรางวัลด้วยความดีใจ แล้วกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแล้ว พระเจ้าข้า"
ตั้งแต่นั้นมา มโหสธบัณฑิตก็มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองเป็นรัศมีดวงเด่นอยู่ในราชสำนัก ตราบเท่าจนมีอายุเจริญวัยได้ ๑๖ ปี
มโหสธพบคู่ครอง
พระนางอุทุมพรเทวี เมื่อเห็นมโหสธมีอายุ ๑๖ ปีแล้ว จึงดำริว่าน้องชายของเราเป็นผู้ใหญ่พอแล้ว ทั้งมียศวาสนรุ่งเรือง ควรจะทำการอาวาหมงคลแก่เธอ ครั้นดำริแล้วจึงไปเฝ้าพระสวามี กราบทูลว่า "ขอเดชะ มโหสธมีอายุ ๑๖ ปี สมควรจัดหาคู่ครองให้เธอได้แล้ว เพคะ"
พระราชาตรัสว่า "ดีแล้ว ขอมอบหน้าที่ให้เธอจัดการ"
พระนางจึงให้เรียกมโหสศธมาแล้วตรัสว่า "พ่อน้องชาย อายุน้อง ๑๖ ปี สมควรมีคู่ครองได้แล้วมิใช่หรือ ?"
มโหสธทูลว่า "สุดแต่พระพี่นางจะทรงเห็นสมควรเถิด พะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่ขัดข้อง"
พระนางตรัสว่า "ถ้าน้องไม่ขัดข้อง พี่จะจัดหาหญิงสาวมาให้ น้องจะพอใจไหม ?"
มโหสธดำริว่า "หญิงสาวที่พระพี่นางจะจัดหามาให้เรา บางทีอาจไม่ถูกใจเรา เราควรหาดูเองก่อนดีกว่า" ครั้นดำริดังนี้แล้ว จึงกราบทูลว่า "ข้าแต่พระพี่นาง เป็นพระมหากรุณาแก่ข้าพระบาทยิ่งนักที่จะทรงจัดหาหญิงมาพระราชทานแก่ข้าพระบาท แต่ขอพระพี่นางพระราชทานวโรกาสให้แก่ข้าพระบาทได้สืบเสาะหาหญิงสาวที่ถูกใจด้วยตนเองก่อน เมื่อได้แล้วจะนำมากราบทูลให้ทรงทราบในภายหลัง"
พระนางอุทุมพรเทวีตรัสว่า "ถ้าน้องปรารถนาอย่างนั้น พี่ก็ไม่ขัดข้องและอนุญาตให้น้องเสาะหาหญิงสาวได้ตามความประสงค์"
มโหสธเมื่อได้รับอนุญาตจากพระนางแล้ว จึงถวายบังคมลากกลับเรือนของตน แจ้งเรื่องราวให้บรรดาสหายทราบ แล้วจึงปลอมตัวเป็นช่างชุนผ้าออกบ้าน มุ่งตรงไปยังอุตรยวมัชฌาคาม
ณ บ้านอุตรยวมัชฌคามนั้น มีเศรษฐีสกุลเก่าแก่อยู่สกุลหนึ่ง บัดนี้ได้ยากจนลง สกุลนั้นมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง ซึ่อ อมร เป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างงดงาม สมบูรณ์ด้วยบุญสิริลักษณะทุกประการ
ในวันเดียวกันกับที่มโหสธเดินทางไปถึง ณ ที่นั้น นางได้นำข้าวต้มออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อไปส่งบิดาซึ่งกำลังไถนาอยู่ พอดีสวนทางกันกับมโหสธ
มโหสธเห็นนางเดินมา คิดแต่ในใจว่า "หญิงสาวคนนี้งามไม่ใช่เล่น ลักษณะทุกอย่างของนางแสดงว่าเป็นสิริมงคลยิ่ง หากนางยังไม่มีสามีก็คู่ควรแก่เราอย่างยิ่ง"
ฝ่ายนางอมรพอเห็นมโหสธบัณฑิต ก็คิดแต่ในใจว่า "ชายผู้นี้ท่าทางเป็นสง่า ลักษณะทั่วไปแสดงว่ามีบุญมีปัญญา หากเขายังไม่มีภรรยา ก็คู่ควรแก่เราอย่างยิ่ง"
ทั้งสองมีความคิดตรงกัน หากได้สนทนากันก็คงถูกใจเป็นแน่ แต่ใครจะเป็นผู้เริ่มก่อน ตามธรรมดาต้องเป็นฝ่ายชายเริ่มก่อน ดังนั้นมโหสธจึงคิดจะถามนางให้รู้แน่ว่า นางมีสามีหรือยัง แต่ควรจะถามด้วยการใช้ใบ้ เพื่อดูเชาว์ปัญญาของนางด้วย แล้วมโหสธก็ยืนอยู่ห่าง ๆ กำมือออกไป (หมายความว่า มีเจ้าของหรือยัง)
นางอมรรู้ความหมาย จึงแบมือออกไป (หมายความว่า ยังว่างเปล่าอยู่)
มโหสธทราบความนั้นแล้ว จึงเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย ถามว่า "ขอโทษ เธอชื่ออะไรจ๊ะ ?"
นางอมรไม่บอกตรง ๆ กลับพูดเป็นปริศนาว่า "สิ่งที่ดิฉันไม่มีทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบันนั้นแหละ เป็นชื่อของดิฉัน"
มโหสธคิดอยู่สักประเดี๋ยวจึงตอบว่า "ความไม่ตาย เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในโลก ถ้าเช่นนั้น เธอชื่ออมร" (อมร แปลว่า ไม่ตาย)
มโหสธ "เธอจะนำข้าวต้มไปให้ใครจ๊ะ ?"
นางอมร "ดิฉันจะนำไปให้บุรพเทวดาจ้ะ"
มโหสธ "บิดามารดาชื่อว่า เป็นบุรพเทวดา เธอนำข้าวต้มไปให้บิดากระมังจ๊ะ ?"
นางอมร "ถูกต้องจ้ะ"
มโหสธ "บิดาของเธอกำลังทำงานอะไรจ้ะ ?"
นางอมร "บิดาของฉันกำลังทำสิ่ง ๑ โดยส่วน ๒"
มโหสธ "ทำสิ่ง ๑ โดยส่วน ๒ ได้แก่ การไถ่นา ไถไปรอยเดียวดินแยกออกสองข้าง บิดาของเธอกำลังไถนาใช่ไหมจ้ะ ?"
นางอมร "ถูกแล้วจ้ะ"
มโหสธ "บิดาของเธอไถนาอยู่ที่ไหนจ๊ะ ?"
นางอมร "ชนทั้งหลายไปในที่ใดครั้งเดียวแล้วไม่กลับ บิดาของดิฉันไปไถนา ณ ที่นั้นจ้ะ"
มโหสธ "ที่ที่คนไปครั้งเดียวแล้วไม่กลับคือไปป่าช้า บิดาของเธอคงไถนาใกล้ป่าช้าใช่ไหมจ๊ะ ?"
นางอมร "ถูกแล้วจ้ะ"
มโหสธ "วันนี้เธอจะกลับหรือไม่กลับ ?"
นางอมร "ถ้ามา ดิฉันจะยังไม่กลับ ถ้าไม่มา ดิฉันจะกลับ"
มโหสธ "บิดาของเธอถ้าจะไถนาใกล้แม่น้ำ เมื่อน้ำหลากมา เธอจะยังไม่กลับ เมื่อน้ำไม่หลากมา เธอจึงจะกลับ"
นางอมร "ถูกแล้วจ้ะ"
เมื่อได้โต้ตอบกันพอสมควรแล้วนางอมร จึงเชิญมโหสธว่า "เชิญรับประทานข้าวต้มซิคะ"
มโหสธคิดว่า "ถ้าปฏิเสธก็เสียมารยาท" จึงรับว่า "ดีซิจ๊ะ ฉันกำลังหิวอยู่ทีเดียว
........................................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น