มโหสธผจญกรรม (ต่อ)
เสนกะบอกว่า "เราคืออาจารย์เสนกะราชบัณฑิตในราชสำนัก ท่านเป็นใคร ?"
ปุกกุสะ "อะพิโธ่ อาจารย์เองดอกหรือ ผมปุกกุสะ"
ต่อไปก็ถึงคราวของกามินท์ และเทวินท์ได้ตกลงไปในหลุมคูถ
ตามอุบายของนางอมร
บัณฑิตทั้ง ๔ คน เมื่อลงไปพบกันในหลุมคูถ ซึ่งลึกขนาดท้อง จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกันดี มันเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง ครั้นจะขึ้นก็ขึ้นไม่ได้ ปากหลุมอยู่สูงมาก ทั้ง ๔ คนอยู่ในหลุมคูถตลอดคืน
พอรุ่งเช้า นางอมรให้คนเอาเชือกหย่อนลงไป แล้วฉุดขึ้นมาทีละคน เมื่อขึ้นมาพร้อมจึงให้อาบน้ำชำระกาย แล้วเอามีดโกน โกนผม โกนหนวด เอาอิฐถูกไปมาเลือดไหลซิบ ๆ ตำข้าวสาร ๑ ทะนานกับน้ำให้ละเอียด เอาไปเปียกเป็นข้าวเปียก แล้วทาจนทั่วตัวบัณฑิตทั้ง ๔ ตั้งแต่ศีรษะ เอานุ่นโรยให้ทั่วตั้งแต่หัวตลอดกาย เท่านี้ยังไม่พอ นางให้เอาเสื่อลำแพนม้วนตัวบัณฑิตทั้ง ๔ เอาเชือกมัดปิดหัวปิดท้าย เสร็จแล้วให้คนแบกไปเพื่อนำถวายพระราชา พร้อมกันนี้นางก็นำราชาภรณ์ทั้ง ๔ ไปถวายด้วย
พระราชาเมื่อทรงทราบว่า นางอมรจะเข้าเฝ้า จึงทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าได้
นางอมรกราบทูลว่า "ขอเดชะ กระหม่อมฉันนำเครื่องบรรณาการมาทูลเกล้าถวายพระองค์ เพคะ" แล้วนางให้คนเอาเสื่อลำแพนมาวางไว้แทบพระบาทของพระราชา
พระราชารับสั่งให้เปิดเสื่อลำแพนนั้นออก พอทอดพระเนตรเห็นบัณฑิตทั้ง ๔ เหมือนลิงเผือก ทรงนิ่งอึ้งโดยมิทรงทราบต้นสายปลายเหตุประทับดุษณีภาพอยู่
มหาชนเห็นบัณฑิตทั้ง ๔ เป็นอย่างนั้น ก็พูดว่า "โอ้โฮ ลิงเผือก ๆ งานจังเลย" แล้วหัวเราะกันฮาใหญ่
บัณฑิตทั้ง ๔ แสนที่จะอับอายขายหน้า แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ก้มหน้านิ่งเฉย
นางอมรได้นำราชาภรณ์ ๔ สิ่ง คือ พระจุฬามณี พระสุวรรณมาลา ผ้ากัมพลปูพระบรรทม และฉลองพระบาท ถวายพระราชาแล้ว กราบทูลว่า "ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชเจ้า หม่อมฉันขอถวายความสัตย์จริงว่า มโหสธมิได้เป็นโจรดังคำกล่าวหาของบัณฑิตทั้ง ๔ ที่จริงนั้นบัณฑิตทั้ง ๔ ของพระองค์นั่นแหละเป็นโจร หม่อมฉันมีหลักฐานยืนยันให้เห็นเท็จจริงได้ ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานโอกาสให้หม่อมฉันได้กราบทูลความจริงเถิด เพคะ"
พระราชา "เราอนุญาตให้เจ้านำหลักฐานมา และจงให้การตามความจริงได้"
นางอมร "เสนกะลักพระจุฬามณี ปุกกุสะลักพระสุวรรณมาลา กามินท์ลักผ้ากัมพลคลุมพระบรรทม
เทวินท์ลักฉลองพระบาททองคำ บัณฑิตทั้ง ๔ คนได้ให้สาวใช้ชื่อนั้น ๆ ลูกคนนั้นนำราชาภรณ์ไปคนละสิ่ง ส่งไปขายให้หม่อมฉันในวันนั้น เดือนนั้น หม่อมฉันได้บันทึกเป็นหลักฐานไว้พร้อม ขอพระองค์ได้ทอดพระเนตรหนังสือบันทึกสำคัญนี้ แล้วขอให้ทรงรับไว้เป็นหลักฐาน พิสูจน์หาความจริงเถิด พระเจ้าข้า" ครั้นกราบทูลเสร็จแล้ว นางก็ถวายบังคมลากลับ
พระราชามิได้ตรัสอะไร ๆ พระทัยยังนึกทรงรังเกียจมโหสธอยู่ กับทรงทราบว่า มโหสธหนี ก็ทรงแน่พระทัยว่า มโหสธต้องเป็นโจรลักราชาภรณ์ไปเป็นแน่ หาไม่แล้วคงไม่หนีไป แม้นางอมรมากราบทูลถวายข้อเท็จจริงและหลักฐานอ้างอิง ก็เพียงแต่ทรงนิ่งอึ้งอยู่ ไม่เห็นรับสั่งให้สอบสวนแต่อย่างไร ตรัสให้บัณฑิตทั้ง ๔ กลับไปบ้าน
ตั้งแต่มโหสธหนีไปแล้ว ราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราชก็เงียบเหงา ขาดคนสำคัญที่จะถวายอรรถ
ธรรมพระราชาให้สุขุมคัมภีรภาพได้ จึงทำให้ราชสำนักหมดความครึกครื้นไป ไม่เหมือนขณะที่มโหสธอยู่
เทพปัญหา
เทวดาผู้สิงอยู่ ณ เศวตฉัตรของพระเจ้าวิเทหราช เมื่อไม่ได้สดับอรรถธรรมของมโหสธ เพราะมโหสธต้องหนีไป เทวดาได้ทราบความสุจริตของมโหสธเป็นอย่างดี จึงดำริที่จะให้มโหสธกลับมาอยู่บ้านตามเดิม ครั้นถึงเวลากลางคืน เทวดาจึงแหวกพระเศวตฉัตรออกมา ถามปัญหาพระเจ้าวิเทหราช ๔ ข้อ คือ
๑. บุคคลที่ทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยมือและเท้า กลับเป็นที่รักของผู้ถูกทำร้าย พระองค์ทรงเห็นว่า ผู้เป็นที่รักนั้น ได้แก่ใคร ?
๒. บุคคลด่าผู้อื่นด้วยความรัก ไม่อยากให้ผู้ถูกด่านั้นได้รับอันตราย คนผู้ถูกด่าย่อมเป็นที่รักของผู้ด่า พระองค์ทรงเห็นว่า ใครเป็นที่รักของผู้ด่า ?"
๓. บุคคลที่กล่าวตู่กันด้วยถ้อยคำไม่เป็นจริง โต้เถียง ทักท้วงกันด้วยถ้อยคำเหลาะแหละ แต่เป็นที่รักของกันและกัน พระองค์ทรงเห็นว่า ได้แก่ใคร ?
๔. บุคคลที่นำข้าว น้ำ ผ้า และเสนาสนะของผู้อื่นไป แต่กลับเป็นที่รักของผู้เป็นเจ้าของ พระองค์ทรงเห็นว่า ได้แก่ใคร ?
พระราชาได้ทรงสดับเทวปัญหานั้น หมดปัญญาที่จะทรงแก้ได้ จึงขอผัดว่า จะแก้ปัญหาทั้ง ๔ ข้อนี้ในวันรุ่งขึ้น
เทวดาอนุญาตและกำชับว่า "หากพระองค์แก้ปัญหานี้ด้วยพระองค์เองไม่ได้ หรือหาผู้อื่นมาแก้ไม่ได้ จะต้องได้รับเทวทัณฑ์อย่างหนัก
พระราชาทรงหวาดหวั่นต่อเทวทัณฑ์เป็นอย่างยิ่ง ตลอดคืนมิได้ทรงบรรทมหลับเลย ครั้นรุ่งเช้าตรัสเรียกบัณฑิตทั้ง ๔ มาเฝ้า ครั้นบัณฑิตมาเฝ้ากันพร้อมหน้าแล้ว พระองค์จึงตรัสกับอาจารย์เสนกะว่า "ท่านอาจารย์ เมื่อคืนนี้เทวดาผู้สิงอยู่ ณ เศวตฉัตร ได้มาถามปัญหาเรา ๔ ข้อ เราขอผัดว่าจะรอถามพวกท่านดูก่อน อาจารย์เสนกะช่วยตอบปัญหาข้อ ๑ ก่อน" แล้วพระราชาก็ตรัสเทวปัญหาข้อ ๑ ให้เสนกะแก้
เสนกะได้ฟังเทวปัญหาข้อ ๑ แล้ว ก็บ่นอุบอิบ ๆ ว่า "ใครทำร้ายอะไร รักอะไร" เป็นอันไม่เห็นเงื่อนงำของปัญหานั้น นั่งเหม่อตาลอย หันไปปรึกษากับอาจารย์อีก ๓ คน ก็ไม่ได้ความเช่นเดียวกัน จึงกราบทูลว่า "หมดปัญญา พระพุทธเจ้าข้า" แล้วพากัยก้มกราบถวายบังคมลากลับไป
พระราชากระวนกระวายพระทัยอย่างยิ่ง จะอาศัยอาจารย์ทั้ง ๔ ก็ไม่มีหวังแล้ว ทรงเกรงจะถูกลงเทวทัณฑ์ หากแแก้เทวปัญหาไม่ได้ ทรงครุ่นคิดอยู่จนกระทั่งถึงกลางคืน
ตอนกลางคืนนั้นเอง เทวดาได้ออกมาถามอีกว่า "พระองค์ทรงแก้ปัญหานั้นได้หรือยัง ?"
พระราชา "ข้าพเจ้านำปัญหาไปถามกับบัณฑิตทั้ง ๔ แล้ว เขาก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้เหมือนกัน" ตรัสออกไปอย่างประวั่นพรั่นพรึง
เทวดาขู่ว่า "อาจารย์ทั้ง ๔ จะไปรู้อะไร ข้าพเจ้าจะบอกให้ ปัญหานี้เว้นจากมโหสธบัณฑิตแล้วจะไม่มีใครแก้ได้ ขอพระองค์ตรัสเรียกมโหสธให้มาแก้ปัญหานี้ ถ้าไม่เรียกมโหสธมากล่าวแก้ ข้าพเจ้าจะเอาค้อนเหล็กติดไฟแดงโพลงนี้ประหารบนเศียรของพระองค์ให้แหลกเหลวไปทีเดียว"
เทวดาได้ทูลเตือนสติต่อไปว่า "อะไร พระองค์ช่างงมงายเสียเหลือเกิน ในเมื่อไฟมีอยู่ดีแล้ว ไม่ควรจะเป่าแสงหิ่งห้อยอีกเลย"
...............................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น