วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ พระมโหสธ (หน้า ๑๙)



มโหสธผจญกรรม  (ต่อ)

เสนกะบอกว่า  "เราคืออาจารย์เสนกะราชบัณฑิตในราชสำนัก  ท่านเป็นใคร ?"

ปุกกุสะ  "อะพิโธ่  อาจารย์เองดอกหรือ  ผมปุกกุสะ"

ต่อไปก็ถึงคราวของกามินท์  และเทวินท์ได้ตกลงไปในหลุมคูถ
ตามอุบายของนางอมร

บัณฑิตทั้ง  ๔  คน  เมื่อลงไปพบกันในหลุมคูถ  ซึ่งลึกขนาดท้อง  จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกันดี  มันเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง  ครั้นจะขึ้นก็ขึ้นไม่ได้  ปากหลุมอยู่สูงมาก  ทั้ง  ๔  คนอยู่ในหลุมคูถตลอดคืน

พอรุ่งเช้า  นางอมรให้คนเอาเชือกหย่อนลงไป  แล้วฉุดขึ้นมาทีละคน  เมื่อขึ้นมาพร้อมจึงให้อาบน้ำชำระกาย  แล้วเอามีดโกน  โกนผม  โกนหนวด  เอาอิฐถูกไปมาเลือดไหลซิบ ๆ  ตำข้าวสาร  ๑  ทะนานกับน้ำให้ละเอียด  เอาไปเปียกเป็นข้าวเปียก  แล้วทาจนทั่วตัวบัณฑิตทั้ง ๔  ตั้งแต่ศีรษะ  เอานุ่นโรยให้ทั่วตั้งแต่หัวตลอดกาย  เท่านี้ยังไม่พอ  นางให้เอาเสื่อลำแพนม้วนตัวบัณฑิตทั้ง ๔  เอาเชือกมัดปิดหัวปิดท้าย  เสร็จแล้วให้คนแบกไปเพื่อนำถวายพระราชา  พร้อมกันนี้นางก็นำราชาภรณ์ทั้ง  ๔  ไปถวายด้วย

พระราชาเมื่อทรงทราบว่า  นางอมรจะเข้าเฝ้า   จึงทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าได้

นางอมรกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  กระหม่อมฉันนำเครื่องบรรณาการมาทูลเกล้าถวายพระองค์  เพคะ"  แล้วนางให้คนเอาเสื่อลำแพนมาวางไว้แทบพระบาทของพระราชา

พระราชารับสั่งให้เปิดเสื่อลำแพนนั้นออก  พอทอดพระเนตรเห็นบัณฑิตทั้ง  ๔  เหมือนลิงเผือก  ทรงนิ่งอึ้งโดยมิทรงทราบต้นสายปลายเหตุประทับดุษณีภาพอยู่

มหาชนเห็นบัณฑิตทั้ง  ๔  เป็นอย่างนั้น  ก็พูดว่า  "โอ้โฮ  ลิงเผือก ๆ  งานจังเลย"  แล้วหัวเราะกันฮาใหญ่

บัณฑิตทั้ง  ๔  แสนที่จะอับอายขายหน้า  แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร  ได้แต่ก้มหน้านิ่งเฉย

นางอมรได้นำราชาภรณ์  ๔  สิ่ง คือ  พระจุฬามณี  พระสุวรรณมาลา  ผ้ากัมพลปูพระบรรทม  และฉลองพระบาท  ถวายพระราชาแล้ว  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชเจ้า  หม่อมฉันขอถวายความสัตย์จริงว่า  มโหสธมิได้เป็นโจรดังคำกล่าวหาของบัณฑิตทั้ง  ๔  ที่จริงนั้นบัณฑิตทั้ง  ๔  ของพระองค์นั่นแหละเป็นโจร  หม่อมฉันมีหลักฐานยืนยันให้เห็นเท็จจริงได้  ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานโอกาสให้หม่อมฉันได้กราบทูลความจริงเถิด  เพคะ"

พระราชา  "เราอนุญาตให้เจ้านำหลักฐานมา  และจงให้การตามความจริงได้"

นางอมร  "เสนกะลักพระจุฬามณี  ปุกกุสะลักพระสุวรรณมาลา  กามินท์ลักผ้ากัมพลคลุมพระบรรทม
เทวินท์ลักฉลองพระบาททองคำ  บัณฑิตทั้ง  ๔  คนได้ให้สาวใช้ชื่อนั้น ๆ  ลูกคนนั้นนำราชาภรณ์ไปคนละสิ่ง  ส่งไปขายให้หม่อมฉันในวันนั้น  เดือนนั้น  หม่อมฉันได้บันทึกเป็นหลักฐานไว้พร้อม  ขอพระองค์ได้ทอดพระเนตรหนังสือบันทึกสำคัญนี้  แล้วขอให้ทรงรับไว้เป็นหลักฐาน  พิสูจน์หาความจริงเถิด  พระเจ้าข้า"  ครั้นกราบทูลเสร็จแล้ว  นางก็ถวายบังคมลากลับ

พระราชามิได้ตรัสอะไร ๆ  พระทัยยังนึกทรงรังเกียจมโหสธอยู่  กับทรงทราบว่า  มโหสธหนี  ก็ทรงแน่พระทัยว่า  มโหสธต้องเป็นโจรลักราชาภรณ์ไปเป็นแน่  หาไม่แล้วคงไม่หนีไป  แม้นางอมรมากราบทูลถวายข้อเท็จจริงและหลักฐานอ้างอิง  ก็เพียงแต่ทรงนิ่งอึ้งอยู่  ไม่เห็นรับสั่งให้สอบสวนแต่อย่างไร  ตรัสให้บัณฑิตทั้ง  ๔  กลับไปบ้าน

ตั้งแต่มโหสธหนีไปแล้ว  ราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราชก็เงียบเหงา  ขาดคนสำคัญที่จะถวายอรรถ
ธรรมพระราชาให้สุขุมคัมภีรภาพได้  จึงทำให้ราชสำนักหมดความครึกครื้นไป  ไม่เหมือนขณะที่มโหสธอยู่





เทพปัญหา

เทวดาผู้สิงอยู่  ณ  เศวตฉัตรของพระเจ้าวิเทหราช  เมื่อไม่ได้สดับอรรถธรรมของมโหสธ  เพราะมโหสธต้องหนีไป  เทวดาได้ทราบความสุจริตของมโหสธเป็นอย่างดี  จึงดำริที่จะให้มโหสธกลับมาอยู่บ้านตามเดิม  ครั้นถึงเวลากลางคืน  เทวดาจึงแหวกพระเศวตฉัตรออกมา  ถามปัญหาพระเจ้าวิเทหราช  ๔ ข้อ  คือ

๑.  บุคคลที่ทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยมือและเท้า  กลับเป็นที่รักของผู้ถูกทำร้าย   พระองค์ทรงเห็นว่า  ผู้เป็นที่รักนั้น ได้แก่ใคร ?

๒.  บุคคลด่าผู้อื่นด้วยความรัก  ไม่อยากให้ผู้ถูกด่านั้นได้รับอันตราย  คนผู้ถูกด่าย่อมเป็นที่รักของผู้ด่า  พระองค์ทรงเห็นว่า  ใครเป็นที่รักของผู้ด่า ?"

๓.  บุคคลที่กล่าวตู่กันด้วยถ้อยคำไม่เป็นจริง  โต้เถียง  ทักท้วงกันด้วยถ้อยคำเหลาะแหละ  แต่เป็นที่รักของกันและกัน  พระองค์ทรงเห็นว่า  ได้แก่ใคร ?

๔.  บุคคลที่นำข้าว  น้ำ  ผ้า  และเสนาสนะของผู้อื่นไป  แต่กลับเป็นที่รักของผู้เป็นเจ้าของ  พระองค์ทรงเห็นว่า  ได้แก่ใคร ?

พระราชาได้ทรงสดับเทวปัญหานั้น  หมดปัญญาที่จะทรงแก้ได้  จึงขอผัดว่า  จะแก้ปัญหาทั้ง  ๔  ข้อนี้ในวันรุ่งขึ้น

เทวดาอนุญาตและกำชับว่า  "หากพระองค์แก้ปัญหานี้ด้วยพระองค์เองไม่ได้  หรือหาผู้อื่นมาแก้ไม่ได้  จะต้องได้รับเทวทัณฑ์อย่างหนัก

พระราชาทรงหวาดหวั่นต่อเทวทัณฑ์เป็นอย่างยิ่ง  ตลอดคืนมิได้ทรงบรรทมหลับเลย  ครั้นรุ่งเช้าตรัสเรียกบัณฑิตทั้ง  ๔  มาเฝ้า  ครั้นบัณฑิตมาเฝ้ากันพร้อมหน้าแล้ว  พระองค์จึงตรัสกับอาจารย์เสนกะว่า  "ท่านอาจารย์  เมื่อคืนนี้เทวดาผู้สิงอยู่  ณ  เศวตฉัตร  ได้มาถามปัญหาเรา  ๔  ข้อ  เราขอผัดว่าจะรอถามพวกท่านดูก่อน  อาจารย์เสนกะช่วยตอบปัญหาข้อ  ๑  ก่อน"  แล้วพระราชาก็ตรัสเทวปัญหาข้อ  ๑  ให้เสนกะแก้

เสนกะได้ฟังเทวปัญหาข้อ ๑  แล้ว  ก็บ่นอุบอิบ ๆ  ว่า  "ใครทำร้ายอะไร  รักอะไร"  เป็นอันไม่เห็นเงื่อนงำของปัญหานั้น  นั่งเหม่อตาลอย  หันไปปรึกษากับอาจารย์อีก  ๓  คน  ก็ไม่ได้ความเช่นเดียวกัน  จึงกราบทูลว่า  "หมดปัญญา  พระพุทธเจ้าข้า" แล้วพากัยก้มกราบถวายบังคมลากลับไป

พระราชากระวนกระวายพระทัยอย่างยิ่ง  จะอาศัยอาจารย์ทั้ง  ๔  ก็ไม่มีหวังแล้ว  ทรงเกรงจะถูกลงเทวทัณฑ์  หากแแก้เทวปัญหาไม่ได้  ทรงครุ่นคิดอยู่จนกระทั่งถึงกลางคืน

ตอนกลางคืนนั้นเอง  เทวดาได้ออกมาถามอีกว่า  "พระองค์ทรงแก้ปัญหานั้นได้หรือยัง ?"

พระราชา  "ข้าพเจ้านำปัญหาไปถามกับบัณฑิตทั้ง  ๔  แล้ว  เขาก็ไม่รู้  ข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้เหมือนกัน"  ตรัสออกไปอย่างประวั่นพรั่นพรึง

เทวดาขู่ว่า  "อาจารย์ทั้ง  ๔  จะไปรู้อะไร  ข้าพเจ้าจะบอกให้  ปัญหานี้เว้นจากมโหสธบัณฑิตแล้วจะไม่มีใครแก้ได้  ขอพระองค์ตรัสเรียกมโหสธให้มาแก้ปัญหานี้  ถ้าไม่เรียกมโหสธมากล่าวแก้  ข้าพเจ้าจะเอาค้อนเหล็กติดไฟแดงโพลงนี้ประหารบนเศียรของพระองค์ให้แหลกเหลวไปทีเดียว"

เทวดาได้ทูลเตือนสติต่อไปว่า  "อะไร  พระองค์ช่างงมงายเสียเหลือเกิน  ในเมื่อไฟมีอยู่ดีแล้ว  ไม่ควรจะเป่าแสงหิ่งห้อยอีกเลย"



...............................


(ยังมีต่ออีก)



















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น