แก้ปัญหา เรื่อง ลา
พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า มโหสธวินิจฉัยคดีแก้ปัซญหาถูกใจเรามาก จะเชื่อเสนกะนัก เห็นจะไม่เป็นการ จะต้องนำมโหสธมาให้ได้ จึงรับสั่งให้ราชบุรุษไปบอกอำมาตย์ที่เฝ้าดูอยู่ว่า ให้นำมโหสธกับบิดาของมโหสธมาเฝ้าได้แล้ว พร้อมกับให้นำม้าอัสดรไปด้วย
ราชบุรุษจึงนำพระราชดำรัสไปแจ้งแก่อำมาตย์ อำมาตย์ได้ไปบอกมโหสธว่า "ท่านผู้มีปัญญาเลิศ บัดนี้ พระราชาทรงมีพระราชประสงค์ให้นำท่านกับบิดาของท่านเข้าเฝ้า และให้นำม้าอัสดรไปด้วย"
มโหสธได้ฟังคำอำมาตย์ จึงตอบรับที่จะไปเฝ้าพระราชากับบิดา เมื่ออำมาตย์กลับไปแล้ว มโหสธจึงไปหาบิดาแล้วพูดว่า "คุณพ่อจ๋า พระราชาทรงมีพระประสงค์จะให้คุณพ่อกับฉันไปเฝ้า ขอให้คุณพ่อไปเฝ้าก่อน เมื่อไปก็อย่าไปมือเปล่า ให้เอาผอบไม้จันทน์บรรจุเนยใสไปด้วย เมื่อคุณพ่อไปถึง พระราชาก็จะทรงปฏิสันถารตรัสให้นั่ง คุณพ่อจงนั่งในที่สมควร แล้วฉันจะตามไปทีหลัง เมื่อฉันไปถึงที่เฝ้า พระราชาจะตรัสทักทายฉัน แล้วสั่งให้ฉันนั่งในที่ที่สมควร ตอนนั้นฉันจะชำเลืองดูคุณพ่อ พอคุณพ่อเห็นฉันชำเลืองดู เป็นความหมายรู้กันเพียงสองคน คุณพ่อจงลุกจากที่นั่ง แล้วพูดว่า 'แน่ะพ่อมโหสธ เชิญพ่อนั่งบนอาสนะนี้เถิด' ในวันนี้ปัญหาอันหนึ่งจะต้องถึงที่สุดกัน ขอคุณพ่อจำข้อความที่ฉันบอกนี้ด้วย"
สิริวัฒกเศรษฐีรับคำของมโหสธ แล้วจัดเตรียมของที่จะนำไปถวายพระราชา กับเรียกเศรษฐีบริวาร ๑,๐๐๐ ไปด้วย เมื่อไปถึงจึงยืนรออยู่ที่ประตูวัง พระราชาเมื่อทรงทราบว่าเศรษฐีมา จึงรับสั่งให้เข้าไปในพระราชวัง เศรษฐีเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าถวายบังคมพระราชา แล้วยืนอยู่ก่อนพระราชารับสั่งถามว่า "ท่านเศรษฐี มโหสธบุตรท่านอยู่ไหนเล่า ?"
เศรษฐีกราบทูลว่า "ขอเชะ มโหสธจะตามมาทีหลัง พะย่ะค่ะ"
พระราชาทรงทราบว่ามโหสธจะมาก็ดีพระทัย ตรัสว่า "ท่านเศรษฐีเชิญนั่งบนอาสนะที่สมควรแก่ท่านเถิด" เศรษฐีได้นั่งบนอาสนะที่ควรแก่ตน
เมื่อเศรษฐีพร้อมด้วยบริวารไปกันแล้ว มโหสธบัณฑิตแต่งกายงดงาม พร้อมกับเพื่อนเด็ก ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร นั่งรถที่ประดับอย่างหรูหรา เคลื่อนขบวนไปสู่พระนคร ขณะจะเข้าพระนคร เห็นลาตัวหนึ่งเดินหาอาหารอยู่ที่หลังคู จึงบอกเพื่อนเด็กที่มีกำลังแข็งแรงกว่าว่า "เจ้าจงไปจับลาตัวหนึ่ง แล้วผูกที่ปากอย่าให้ร้องได้ เอาเสื่อลำแพนห่อให้มิด แล้วจับลงนอนบนกระดานหามมา" เมื่อจับลาได้เรียบร้อยแล้ว ก็พากันเคลื่อนขบวนเข้าพระราชวัง
พระราชาเมื่อทรงทราบว่า มโหสธบัณฑิตเข้ามาถึงภายในพระราชฐานแล้ว ทรงโสมนัสปรีดาเป็นอย่างยิ่ง ตรัสว่า "ให้มโหสธบุตรเราเข้ามาเถิด"
มโหสธพร้อมด้วยเพื่อนเด็ก ๑,๐๐๐ เมื่อได้รับพระบรมราชานุมัติให้ขึ้นเฝ้าได้แล้ว จึงพากันขึ้นไปบนปราสาท ถวายบังคมพระราชา แล้วยืนอยู่ข้างหนึ่งด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
พระราชาตรัสปฏิสันถารด้วยพระดำรัสอันนุ่มนวลว่า "เชิญพ่อมโหสธนั่ง ณ ที่สมควรเถิด"
มโหสธบัณฑิตชำเลืองดูบิดา บิดาก็รู้ความหมาย จึงลุกขึ้นจากอาสนะที่ตนนั่งอยู่ แล้วกล่าวว่า "พ่อมโหสธ เจ้าจงมานั่งบนอาสนะนี้เถิด" มโหสธก็ตรงไปนั่ง ณ อาสนะของบิดาทันที
ขณะนั้น บัณฑิต ๔ คน คือ เสนกะ ปุกกุสะ กามินทะ เทวินทะ ซึ่งอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ได้เห็นพ่อลุกให้ที่นั่งแก่ลูก และลูกก็ไปนั่งแทนที่ของพ่อ จึงพากันตบมือสรวลเสเฮฮาเยาะเย้ยว่า "นี่หรือคือผู้ที่มหาชนพากันยกย่องว่าเป็นบัณฑิต ที่แท้ก็คือคนโฉดเขลานั่นเอง มีอย่างที่ไหนให้บิดาลุกจากอาสนะ ตนไปนั่งแทนเสียเอง ไม่สมควรเลยที่จะพากันงมงายยกย่องมโหสธนี้ว่าเป็นผู้ฉลาด"
พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับดังนนั้น ก็มีพระพักตร์สลด แสดงว่าทรงระทมพระทัย
มโหสธเฝ้าสังเกตพระอากัปกิริยาของพระราชา เห็นพระราชาทรงมีพระพักตร์สลดเช่นนั้น จึงกราบทูลถามว่า "ขอเดชะ พระบรมีปกเกล้าปกกระหม่อม ขณะที่ข้าพระพุทธเจ้าเข้ามาเฝ้านั้น ได้เห็นพระองค์ทรงพระสำราญ ทรงยิ้มย่องผ่องใส แต่บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นพระองค์เคร่งขรึมไป คงมีสิ่งที่ข้าพระพุทธเจ้าทำให้ไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัยกระมัง พะย่ะค่ะ"
พระราชาตรัสว่า "เออ เจ้าบัณฑิต ข้าเสียใจที่ความหวังของข้าในการที่ให้เจ้ามาเฝ้าครั้งนี้ ก็เพราะได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าว่า เป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่พอได้เห็นความเป็นไปของเจ้าในวันนี้ก็เกิดเสียใจ เพราะเจ้าให้บิดาเจ้าลุกจากอาสนะแล้วเจ้านั่งเสียเอง"
มโหสธกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจความไม่พอพระทัยของพระองค์ที่มีต่อข้าพระบาทแล้ว แต่ข้าพระบาทขอทราบว่า ธรรมดาบิดาจะเป็นผู้สำคัญกว่าบุตรเสมอไปหรือ"
พระราชาตรัสว่า "เป็นอย่างนั้น บิดาต้องสำคัญกว่าบุตร"
มโหสธกราบทูลว่า "ขอเดชะ พระองค์มีพระกระแสรับสั่งให้ข้าพระบาทนำม้าอัสดร ซึ่งดีกว่ามัาธรรมดามาถวายด้วยไม่ใช่หรือพะย่ะค่ะ"
พระราชารับสั่งว่า "ถูกแล้ว"
มโหสธจึงลุกจากที่นั่ง แล้วสั่งให้นำลาที่เอาด้วยนั้น ให้มานอนแทบพระบาทของพระเจ้าวิเทหราช
แล้วกราบทูลถามว่า "ขอเดชะ ลาตัวนี้ราคาเท่าไหร่พะย่ะค่ะ"
พระราชา "มันเป็นลาชนิดดี ราคามันก็ราว ๘ กหาปณะ"
มโสธ "ก็ถ้าม้าอัสดรอาศัยลานี้เกิดในท้อง จะมีราคาเท่าไร พ่ะย่ะค่ะ ? "
พระราชา "ก็หาค่ามิได้ซิเจ้าบัณฑิต"
มโหสธ "ข้าแต่สมมติเทพ เหตุไรจึงรับสั่งดังนั้น เมื่อกี้พระองค์รับสั่งว่าบิดาย่อมสำคัญกว่าบุตรเสมอไปมิใช่หรือ ถ้าพระราชดำรัสนั้นเป็นความจริง ลาก็สำคัญกว่าม้าอัสดรของพระองค์ ขอพระองค์ทรงรับลานั้นไว้ ถ้าม้าอัสดรสำคัญกว่าลา ก็ขอพระองค์ทรงรับม้าอัสดรไว้ เมื่อกี้นี้บัณฑิตของพระองค์ไม่รู้เหตุเพียงเท่านี้ พากันตบมือหัวเราะเยาะข้าพระพุทธเจ้า โอ พระองค์ไปได้บัณฑิตเหล่านั้นมาจากไหน ช่างมีปัญญาดีจริง"
มโหสธได้ไขคำกราบทูลนั้น ทูลต่อไปว่า "ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ หากพระองค์สำคัญว่าบิดาประเสริฐกว่าบุตร ลาตัวนี้ก็ประเสริฐกว่าม้าอัสดร เพราะว่าลาเป็นบิดาของม้าอัสดร ขอพระองค์ทรงรับบิดาของข้าพระพุทธเจ้าไว้ เพราะบิดาประเสริฐกว่าบุตร แต่ถ้าบุตรประเสริฐกว่าบิดา ก็ขอได้รับข้าพระพุทธเจ้าไว้"
พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำคมคายของมโหสธดังนั้น ก็ทรงโสมนัสยิ่งนัก ราชบริษัทก็พากันแซ่ซ้องสาธุการว่า "มโหสธบัณฑิตพูดถูกต้องแล้ว" เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วปราสาท
บัณฑิตทั้ง ๔ คน ต่างมีสีหน้าซีดเผือด มีอาการซบเซาไปตาม ๆ กัน
การที่มโหสธบัณฑิตกราบทูลกับพระราชาดังนั้น มิใช่เป็นการดูถูกบิดามารดา กราบทูลไปก็เพราะมีปัญหาเกิดขึ้น จึงแก้ปัญหาให้อีกฝ่ายหนึ่งจำนนไป
พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระพักตร์ผ่องใส แสดงความปีติโสมนัส ทรงพอพระทัยในมโหสธมาก ทรงจับพระเต้าทองคำเต็มด้วยน้ำหอม หลั่งลงในมือสิริวัฒกเศรษฐี แล้วตรัสว่า "ท่านเศรษฐีจงปกครองปราจีนยวมัชฌคามทั้งหมดเถิด" แล้วพระราชทานเครื่องประดับส่งให้นางสุมนาเทวีมารดามโหสธ กับทรงเลื่อมใสในปัญหาลา จึงตรัสกะเศรษฐีว่า "ท่านเศรษฐี เราขอมโหสธไว้เป็นราชบุตร ท่านจะขัดข้องหรือไม่ ?"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น