ผู้ทรยศ
อาจารย์ทั้ง ๔ เมื่อมโหสธกลับไปแล้ว อาจารย์เสนกะจึงกราบทูลพระราชาว่า "ขอเดชะ พระองค์จะทรงเชื่อพวกข้าพระบาทแล้วหรือยัง บัดนี้ความก็ได้ปรากฏเป็นจริงตามที่พวกข้าพระบาทกราบทูลไว้แล้ว"
พระราชาได้สดับดังนั้น ก็มิได้ทรงพิจารณาโดยถี่ถ้วน ทรงเชื่อคำยุยงของบัณฑิตทั้ง ๔ ว่า มโหสธคิดทรยศเป็นแน่แล้ว จึงตรัสถามเสนกะว่า "อาจารย์เสนกะ เราจะทำอย่างไรดี ?"
เสนกะได้ทีกราบทูลว่า "ขอเดชะ ฆ่าเสียเลย อย่าให้ทันรู้ตัว พระเจ้าข้า"
พระราชา "อาจารย์เสนกะ เราเห็นท่านคนเดียวที่มีความหวังดีต่อเรามาตลอดเวลา คนอื่นเรามองไม่เห็นใคร เรามอบธุระอันนี้ให้แก่ท่าน ท่านจงไปชักชวนสหายของท่านคอยอยู่ภายในประตู เมื่อ
มโหสธมาแต่เช้า จงตัดศีรษะเสียด้วยพระแสงขรรค์นี้เลย ตรัสแล้วจึงทรงส่งพระแสงขรรค์ ให้เสนกะไป"
เสนกะกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าจะจัดการตามพระประสงค์ทุกประการ" กราบทูลแล้วก็ชวนอาจารย์ทั้ง ๓ กราบถวายบังคมลาออกไป ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน พอถึงถังข้าวใบใหญ่ที่เคยนั่งกันมาทุกคราว ก็พากันขึ้นไปนั่งบนถังข้าว ต่างดีใจที่จะได้กำจัดมโหสธให้พ้นไปเสียที
เสนกะเอ่ยขึ้นก่อนว่า "ใครจะเป็นคนฆ่ามโหสธ "
อาจารย์ทั้ง ๓ ตอบพร้อมกันว่า "ท่านอาจารย์นั่นแหละ ควรเป็นคนฆ่า"
เสนกะรับว่า "ตกลง" แล้วถามอาจารย์ทั้ง ๓ ว่า เรื่องที่ได้กราบทูลแก้ปัญหาเกี่ยวกับความลับว่า ควรเปิดเผยแก่ใคร แต่ละคนก็ทูลกันไปว่า ควรบอกแก่คนนั้น ๆ ที่ทูลไปเช่นนั้น เพราะเกิดแก่ตนเองมาก่อน หรือได้เห็ได้ฟังมาจากที่อื่น ?"
อาจารย์ทั้ง ๓ ย้อนถามเสนกะว่า "ท่านอาจารย์ ก็ตามที่ท่านอาจารย์บอกว่า ความลับควรเปิดเผยแก่สหายนั้น ท่านอาจารย์เคยทำมาแล้ว หรือได้เห็นได้ฟังมาอย่างไร ?"
เสนกะ "เราเป็นผู้ทำเอง"
อาจารย์ทั้ง ๓ "ขออาจารย์โปรดเล่าให้ฟัง"
เสนกะ "ความลับที่เราจะเล่านี้ ถ้าพระราชาทรงทราบ ชีวิตของเราเป็นดับแน่"
อาจารย์ทั้ง ๓ "ไม่เป็นไรน่ะท่านอาจารย์ ที่นี่มีแต่พวกเรา ไม่มีคนอื่นจะมาล่วงรู้ความลับของท่านอาจารย์ได้ โปรดเล่าไปเถิด"
เสนกะเคาะถังข้าวพูดขึ้นลอย ๆ ว่า "มโหสธแอบมาอยู่ในถังนี้เข้าก็ไม่รู้ ?"
อาจารย์ทั้ง ๓ "เป็นไปไม่ได้ดอกท่านอาจารย์ มโหสธเป็นคนเมายศ คงไม่เข้าไปอยู่ในนี้ดอก คิดมากไปได้"
เสนกะ "เอาละ เราจะเล่าให้ฟัง ท่านทั้ง ๓ เคยรู้จักหญิงแพศยาที่ชื่อวสันตีในเมืองนี้หรือไม่ ?"
อาจารย์ทั้ง ๓ รับว่า "รู้จัก"
เสนกะจึงถามต่อไปว่า "เดี๋ยวนี้วสันตียังอยู่ หรือหายไป ?"
อาจารย์ทั้ง ๓ "ไม่พบเลย ท่านอาจารย์"
เสนกะ "จะพบได้อย่างไรเล่า เราได้ร่วมประเวณีกับวสันตีที่สวนต้นรัง เสร็จแล้วเราก็ฆ่านางเสีย เก็บเอาเครื่องประดับของนางห่อผ้าไว้ เดี๋ยวนี้ยังแขวนอยู่ที่ไม้ทำเป็นเหมือนงาช้างในห้องเรือนเรา เพราะยังไม่กล้านำออกใช้ ทั้งเครื่องนั้นก็เป็นของเก่า เราได้นำความลับนี้ไปบอกแก่สหายคนหนึ่ง สหายคนนั้นก็มิได้บอกใคร ดังนี้แหละ เราจึงว่า ความลับควรบอกแก่สหาย อาจารย์ปุกกุสะ เรื่องของท่านล่ะเป็นอย่างไร ?"
ปุกกุสะ "ข้าพเจ้าเป็นโรคเรื้อนที่ขา ข้าพเจ้าไม่เคยบอกให้ใครรู้นอกจากน้องชายของข้าพเจ้าเท่านั้น ข้าพเจ้าชำระแผล ทายา เอาผ้าพันไว้มิดชิด พระราชาเมื่อทรงพระเยาว์เคยบรรทมที่ขาของข้าพเจ้าบ่อย ๆ บัดนี้ทรงทราบว่า ข้าพเจ้าเป็นโรคเรื้อน ชีวิตข้าพเจ้าคงไม่แน่ ข้าพเจ้าว่าความลับควรเปิดเผยแก่น้องชายเท่านั้น เพราะไม่ทำให้ผู้อื่นได้ล่วงรู้ต่อไปอีก"
เสนกะ "อาจารย์กามินท์ โปรดเล่าเรื่องของท่าน"
กามินท์ "วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถแรม ๑๕ ค่ำ ยักษ์ชื่อนรเทพมาสิงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ร้องเหมือนสุนัขบ้า ข้าพเจ้าบอกบุตร บุตรรู้ว่าข้าพเจ้าถูกยักษ์สิง จึงให้ไปนอนในห้อง ปิดประตูแล้วหาดนตรีมาประโคมหน้าประตูเพื่อกลบเสียงของข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้แหละ ข้าพเจ้าจึงว่าควรบอกความลับแก่บุตร เพระาไม่มีวันจะแพร่งพรายไปอื่นได้"
เสนกะ "อาจารย์เทวินท์ โปรดเล่าเรื่องของท่าน"
เทวินท์ "ข้าพเจ้านำแก้วมณีที่เป็นสิริมงคลอันเป็นของหลวงมาขัด แล้วก็ลักมงคลมณีนั้นมามอบให้มารดา มารดาปกปิดไม่ให้ใครรู้ พอถึงเวลาจะเข้าเฝ้าพระราชา มารดาก็นำมงคลมณีมาให้ข้าพเจ้า มงคลมณีนี้เมื่อไปอยู่กับใคร ก็ทำให้เกิดสิริมงคลแก่ผู้นั้น ดังนั้น เมื่อข้าพเจ้าไปเฝ้าพระราชา พระราชาจึงโปรดปรานข้าพเจ้าเป็นพิเศษ ได้พระราชทานครั้งละ ๘ กหาปณะบ้าง ๑๖ กหาปณะบ้าง บางครั้งถึง ๖๔ กหาปณะ แก่ข้าพเจ้าทุกวัน ถ้าพระราชาทรงทราบอานุภาพของมณีมงคลนั้น ข้าพเจ้าคงต้องตายอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงว่า ความลับควรบอกแก่มารดา และก็ได้บอกมาแล้ว"
มโหสธแอบอยู่ในถังข้าวใบนั้น ได้ยินคำพูดของอาจารย์ทั้ง ๔ โดยละเอียด จึงจดจำไว้
อาจารย์ทั้ง ๔ เมื่อต่างฝ่ายต่างเปิดเผยความลับของกันและกันจนสิ้นแล้ว จึงกำชับกันว่า อย่าได้นำความลับอันนี้ไปแพร่งพรายเป็นอันขาด แล้วก็เตือนเรื่องที่จะฆ่ามโหสธในวันพรุ่งนี้เช้า เมื่อต่างเข้าใจกันดีแล้วก็กลับไป
คนติดตามของมโหสธเห็นอาจารย์ทั้ง ๔ กลับไปแล้ว จึงช่วยกันยกถังข้าวขึ้นให้มโหสธออก มโหสธกลับถึงบ้าน อาบน้ำแต่งตัว บริโภคอาหารเสร็จแล้ว ก่อนเข้านอนได้สั่งคนเฝ้าประตูว่า "ถ้ามีคนมาจากพระราชวังมาหาเรา ให้รีบบอกโดยไว" สั่งเสร็จแล้วก็เข้านอน
พระเจ้าวิเทหราช ขณะเข้าที่บรรทม ทรงอนุสรณ์ถึงคุณของมโหสธว่ามโหสธบัณฑิตรับราชการมาตั้งแต่อายุได้ ๗ ขวบ ไม่เคยทำความเสื่อมเสียแก่เราแม้แต่น้อย ได้ทำแต่ความเจริญรุ่งเรืองตลอดมา เมื่อครั้งเทวดาถามปัญหา ถ้าเราไม่ได้มโหสธ เราก็คงตายแน่ วันนี้เรามอบพระขรรค์ให้เสนกะไปฆ่ามโหสธตอนเช้าพรุ่งนี้ เพราะเราหลงเชื่อถ้อยคำยุยงของอาจารย์ทั้ง ๔ เรารู้สึกตัวว่า ได้ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เราไม่รู้จักคุณมโหสธ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเราจะไม่เห็นหน้ามโหสธอีกแล้ว ทรงรำพึงดังนี้แล้ว ก็เศร้าโศกจนพระเสโทไหลโซมพระกาย
พระนางอุทุมพรเทวีทอดพระเนตรเห็นพระอาการของพระสามีดังนั้น จึงดำริว่า "เราได้ทำผิดอะไรไปหรือ จึงทำให้พระสามีทรงระทมไปเช่นนี้ หรือพระสามีทรงมีเรื่องราวขุ่นพระทัยอย่างไร เกิดขึ้นแก่พระองค์" ดำริดังนี้แล้ว จึงทูลถามว่า "ข้าแต่พระราชสามี พระองค์ทรงมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นหรือ จึงดูทรงเศร้าหมองไม่ผ่องใส หรือหม่อมฉันทำผิดอย่างไรให้เป็นที่ไม่พอพระราชหฤทัยของพระองค์ เพคะ"
พระราชาตรัสว่า "ความในใจของเรามีอยู่ แต่ไม่ใช่เพราะเธอทำผิดอะไร เราเองเป็นผู้ผิด"
พระนางอุทุมพรทูลถามว่า "พระองค์ทำผิดอย่างไรหรือ เพคะ"
พระราชา "เมื่อตอนกลางวันวันนี้ เรารับสั่งบัณฑิตทั้ง ๔ คน ให้ฆ่ามโหสธพรุ่งนี้เช้า เพราะบัณฑิตทั้ง ๔ ได้มาแจ้งเรื่องมโหสธคิดกบฎต่อเรา เราเชื่อทันที โดยไม่ได้สอบสวนข้อเท็จจริง เราคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ไม่สบายใจเลย"
พระนางอุทุมพรเทวีพอทราบเรื่องก็ทรงโทมนัสด้วยความรักและสงสารมโหสธที่จะถูกฆ่า พระนางดำริอุบายได้อย่างหนึ่ง คือ เมื่อพระราชาบรรทมหลับ จะส่งข่าวให้มโหสธทราบเรื่องไว้ แล้วพระนางก็ทูลปลอบให้พระราชาทรงบรรเทาความกระวนกระวายพระทัย มิให้ทรงคิดอะไรมากเกินไป เมื่อทรงให้ประหารผู้ที่คิดร้ายเช่นมโหสธก็สมควรแล้ว พระราชาทรงบรรเทาความวิตกลงไปได้ก็บรรทมหลับไป
พระราชเทวีเสด็จลุกจากที่บรรทมเข้าห้องทรงพระอักษรส่งข่าวให้มโหสธทราบ มีใจความว่า "พ่อ
มโหสธน้องรัก เวลานี้พระราชากริ้วน้องมาก เพราะอาจารย์ทั้ง ๔ มากราบทูลยุยงพระราชาว่า น้องจะคิดกบฎ พระราชาทรงเชื่อจึงรับสั่งให้อาจารย์ทั้ง ๔ คอยฆ่าน้องที่ประตูราชวังพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้น ในวันพุร่งนี้ น้องอย่าเข้าไปยังราชสำนักเลย หากจะไปก็ควรจัดกองรักษาไว้ให้มั่นคงแข็งแรง และอย่าไปคนเดียว ควรมีมหาชนห้อมล้อมเป็นเกียรติยศไป" ครั้นทรงพระอักษรเสร็จจึงสอดเข้าไปในห่อ เอาด้ายผูกวางลงในสุวรรณภาชนะใหม่ ปิดฝาประทับพระราชสัญจกร ประทานแก่นางข้าหลวงแล้วตรัสว่า "เจ้าจงนำของสิ่งนี้ไปให้มโหสธน้องชายเรา"
นางข้าหลวงรับของนั้นแล้วจึงไปบ้านมโหสธในเวลากลางคืนนั้นเอง เมื่อไปถึงจึงนำสุวรรณภาชนะเข้าไปให้มโหสธ บอกว่า "ของสิ่งนี้พระนางอุทุมพรเทวีพระราชทานมา"
มโหสธรับสุวรรณภาชนะ แล้วให้นางข้าหลวงกลับ เปิดฝาสุวรรณภาชนะ เห็นห่อ แก้ออกจึงพบหนังสือ คลี่ออกอ่าน ก็ได้ทราบความตามที่พระนางบอกมา ไม่รู้สึกวิตกแต่อย่างไร เข้านอนหลับสนิท
...................................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น