วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๒๒)



ผู้ทรยศ

อาจารย์ทั้ง  ๔  เมื่อมโหสธกลับไปแล้ว  อาจารย์เสนกะจึงกราบทูลพระราชาว่า  "ขอเดชะ  พระองค์จะทรงเชื่อพวกข้าพระบาทแล้วหรือยัง  บัดนี้ความก็ได้ปรากฏเป็นจริงตามที่พวกข้าพระบาทกราบทูลไว้แล้ว"

พระราชาได้สดับดังนั้น  ก็มิได้ทรงพิจารณาโดยถี่ถ้วน  ทรงเชื่อคำยุยงของบัณฑิตทั้ง  ๔  ว่า  มโหสธคิดทรยศเป็นแน่แล้ว  จึงตรัสถามเสนกะว่า  "อาจารย์เสนกะ  เราจะทำอย่างไรดี ?"

เสนกะได้ทีกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ฆ่าเสียเลย อย่าให้ทันรู้ตัว  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "อาจารย์เสนกะ  เราเห็นท่านคนเดียวที่มีความหวังดีต่อเรามาตลอดเวลา  คนอื่นเรามองไม่เห็นใคร  เรามอบธุระอันนี้ให้แก่ท่าน  ท่านจงไปชักชวนสหายของท่านคอยอยู่ภายในประตู  เมื่อ
มโหสธมาแต่เช้า  จงตัดศีรษะเสียด้วยพระแสงขรรค์นี้เลย  ตรัสแล้วจึงทรงส่งพระแสงขรรค์  ให้เสนกะไป"

เสนกะกราบทูลว่า  "ข้าพระพุทธเจ้าจะจัดการตามพระประสงค์ทุกประการ"  กราบทูลแล้วก็ชวนอาจารย์ทั้ง  ๓  กราบถวายบังคมลาออกไป  ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน  พอถึงถังข้าวใบใหญ่ที่เคยนั่งกันมาทุกคราว  ก็พากันขึ้นไปนั่งบนถังข้าว  ต่างดีใจที่จะได้กำจัดมโหสธให้พ้นไปเสียที

เสนกะเอ่ยขึ้นก่อนว่า  "ใครจะเป็นคนฆ่ามโหสธ "

อาจารย์ทั้ง  ๓  ตอบพร้อมกันว่า  "ท่านอาจารย์นั่นแหละ  ควรเป็นคนฆ่า"

เสนกะรับว่า  "ตกลง"  แล้วถามอาจารย์ทั้ง  ๓  ว่า  เรื่องที่ได้กราบทูลแก้ปัญหาเกี่ยวกับความลับว่า  ควรเปิดเผยแก่ใคร  แต่ละคนก็ทูลกันไปว่า  ควรบอกแก่คนนั้น ๆ  ที่ทูลไปเช่นนั้น  เพราะเกิดแก่ตนเองมาก่อน หรือได้เห็ได้ฟังมาจากที่อื่น ?"

อาจารย์ทั้ง  ๓  ย้อนถามเสนกะว่า  "ท่านอาจารย์  ก็ตามที่ท่านอาจารย์บอกว่า  ความลับควรเปิดเผยแก่สหายนั้น  ท่านอาจารย์เคยทำมาแล้ว  หรือได้เห็นได้ฟังมาอย่างไร ?"

เสนกะ  "เราเป็นผู้ทำเอง"

อาจารย์ทั้ง  ๓  "ขออาจารย์โปรดเล่าให้ฟัง"

เสนกะ  "ความลับที่เราจะเล่านี้  ถ้าพระราชาทรงทราบ  ชีวิตของเราเป็นดับแน่"

อาจารย์ทั้ง  ๓  "ไม่เป็นไรน่ะท่านอาจารย์  ที่นี่มีแต่พวกเรา  ไม่มีคนอื่นจะมาล่วงรู้ความลับของท่านอาจารย์ได้  โปรดเล่าไปเถิด"

เสนกะเคาะถังข้าวพูดขึ้นลอย ๆ  ว่า  "มโหสธแอบมาอยู่ในถังนี้เข้าก็ไม่รู้ ?"

อาจารย์ทั้ง  ๓  "เป็นไปไม่ได้ดอกท่านอาจารย์  มโหสธเป็นคนเมายศ  คงไม่เข้าไปอยู่ในนี้ดอก  คิดมากไปได้"

เสนกะ  "เอาละ  เราจะเล่าให้ฟัง  ท่านทั้ง  ๓  เคยรู้จักหญิงแพศยาที่ชื่อวสันตีในเมืองนี้หรือไม่ ?"

อาจารย์ทั้ง  ๓  รับว่า  "รู้จัก"

เสนกะจึงถามต่อไปว่า  "เดี๋ยวนี้วสันตียังอยู่  หรือหายไป ?"

อาจารย์ทั้ง  ๓  "ไม่พบเลย  ท่านอาจารย์"

เสนกะ  "จะพบได้อย่างไรเล่า  เราได้ร่วมประเวณีกับวสันตีที่สวนต้นรัง  เสร็จแล้วเราก็ฆ่านางเสีย  เก็บเอาเครื่องประดับของนางห่อผ้าไว้  เดี๋ยวนี้ยังแขวนอยู่ที่ไม้ทำเป็นเหมือนงาช้างในห้องเรือนเรา  เพราะยังไม่กล้านำออกใช้  ทั้งเครื่องนั้นก็เป็นของเก่า  เราได้นำความลับนี้ไปบอกแก่สหายคนหนึ่ง  สหายคนนั้นก็มิได้บอกใคร  ดังนี้แหละ  เราจึงว่า  ความลับควรบอกแก่สหาย  อาจารย์ปุกกุสะ  เรื่องของท่านล่ะเป็นอย่างไร  ?"

ปุกกุสะ  "ข้าพเจ้าเป็นโรคเรื้อนที่ขา  ข้าพเจ้าไม่เคยบอกให้ใครรู้นอกจากน้องชายของข้าพเจ้าเท่านั้น ข้าพเจ้าชำระแผล  ทายา  เอาผ้าพันไว้มิดชิด  พระราชาเมื่อทรงพระเยาว์เคยบรรทมที่ขาของข้าพเจ้าบ่อย ๆ  บัดนี้ทรงทราบว่า  ข้าพเจ้าเป็นโรคเรื้อน  ชีวิตข้าพเจ้าคงไม่แน่  ข้าพเจ้าว่าความลับควรเปิดเผยแก่น้องชายเท่านั้น  เพราะไม่ทำให้ผู้อื่นได้ล่วงรู้ต่อไปอีก"

เสนกะ  "อาจารย์กามินท์  โปรดเล่าเรื่องของท่าน"

กามินท์  "วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถแรม  ๑๕  ค่ำ    ยักษ์ชื่อนรเทพมาสิงข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าก็ร้องเหมือนสุนัขบ้า  ข้าพเจ้าบอกบุตร  บุตรรู้ว่าข้าพเจ้าถูกยักษ์สิง  จึงให้ไปนอนในห้อง  ปิดประตูแล้วหาดนตรีมาประโคมหน้าประตูเพื่อกลบเสียงของข้าพเจ้า  ด้วยเหตุนี้แหละ  ข้าพเจ้าจึงว่าควรบอกความลับแก่บุตร  เพระาไม่มีวันจะแพร่งพรายไปอื่นได้"

เสนกะ  "อาจารย์เทวินท์  โปรดเล่าเรื่องของท่าน"

เทวินท์  "ข้าพเจ้านำแก้วมณีที่เป็นสิริมงคลอันเป็นของหลวงมาขัด  แล้วก็ลักมงคลมณีนั้นมามอบให้มารดา  มารดาปกปิดไม่ให้ใครรู้  พอถึงเวลาจะเข้าเฝ้าพระราชา  มารดาก็นำมงคลมณีมาให้ข้าพเจ้า มงคลมณีนี้เมื่อไปอยู่กับใคร  ก็ทำให้เกิดสิริมงคลแก่ผู้นั้น  ดังนั้น  เมื่อข้าพเจ้าไปเฝ้าพระราชา  พระราชาจึงโปรดปรานข้าพเจ้าเป็นพิเศษ  ได้พระราชทานครั้งละ  ๘  กหาปณะบ้าง  ๑๖  กหาปณะบ้าง  บางครั้งถึง  ๖๔  กหาปณะ  แก่ข้าพเจ้าทุกวัน  ถ้าพระราชาทรงทราบอานุภาพของมณีมงคลนั้น  ข้าพเจ้าคงต้องตายอย่างแน่นอน  ด้วยเหตุนี้  ข้าพเจ้าจึงว่า  ความลับควรบอกแก่มารดา  และก็ได้บอกมาแล้ว"

มโหสธแอบอยู่ในถังข้าวใบนั้น  ได้ยินคำพูดของอาจารย์ทั้ง  ๔  โดยละเอียด  จึงจดจำไว้

อาจารย์ทั้ง  ๔  เมื่อต่างฝ่ายต่างเปิดเผยความลับของกันและกันจนสิ้นแล้ว  จึงกำชับกันว่า  อย่าได้นำความลับอันนี้ไปแพร่งพรายเป็นอันขาด  แล้วก็เตือนเรื่องที่จะฆ่ามโหสธในวันพรุ่งนี้เช้า  เมื่อต่างเข้าใจกันดีแล้วก็กลับไป

คนติดตามของมโหสธเห็นอาจารย์ทั้ง  ๔  กลับไปแล้ว  จึงช่วยกันยกถังข้าวขึ้นให้มโหสธออก  มโหสธกลับถึงบ้าน  อาบน้ำแต่งตัว  บริโภคอาหารเสร็จแล้ว  ก่อนเข้านอนได้สั่งคนเฝ้าประตูว่า  "ถ้ามีคนมาจากพระราชวังมาหาเรา  ให้รีบบอกโดยไว"  สั่งเสร็จแล้วก็เข้านอน

พระเจ้าวิเทหราช  ขณะเข้าที่บรรทม  ทรงอนุสรณ์ถึงคุณของมโหสธว่ามโหสธบัณฑิตรับราชการมาตั้งแต่อายุได้  ๗  ขวบ  ไม่เคยทำความเสื่อมเสียแก่เราแม้แต่น้อย  ได้ทำแต่ความเจริญรุ่งเรืองตลอดมา  เมื่อครั้งเทวดาถามปัญหา  ถ้าเราไม่ได้มโหสธ  เราก็คงตายแน่  วันนี้เรามอบพระขรรค์ให้เสนกะไปฆ่ามโหสธตอนเช้าพรุ่งนี้  เพราะเราหลงเชื่อถ้อยคำยุยงของอาจารย์ทั้ง  ๔  เรารู้สึกตัวว่า  ได้ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ  เราไม่รู้จักคุณมโหสธ  ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเราจะไม่เห็นหน้ามโหสธอีกแล้ว  ทรงรำพึงดังนี้แล้ว  ก็เศร้าโศกจนพระเสโทไหลโซมพระกาย

พระนางอุทุมพรเทวีทอดพระเนตรเห็นพระอาการของพระสามีดังนั้น  จึงดำริว่า  "เราได้ทำผิดอะไรไปหรือ  จึงทำให้พระสามีทรงระทมไปเช่นนี้  หรือพระสามีทรงมีเรื่องราวขุ่นพระทัยอย่างไร  เกิดขึ้นแก่พระองค์"  ดำริดังนี้แล้ว  จึงทูลถามว่า  "ข้าแต่พระราชสามี  พระองค์ทรงมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นหรือ  จึงดูทรงเศร้าหมองไม่ผ่องใส  หรือหม่อมฉันทำผิดอย่างไรให้เป็นที่ไม่พอพระราชหฤทัยของพระองค์  เพคะ"

พระราชาตรัสว่า  "ความในใจของเรามีอยู่  แต่ไม่ใช่เพราะเธอทำผิดอะไร  เราเองเป็นผู้ผิด"

พระนางอุทุมพรทูลถามว่า  "พระองค์ทำผิดอย่างไรหรือ  เพคะ"

พระราชา  "เมื่อตอนกลางวันวันนี้  เรารับสั่งบัณฑิตทั้ง  ๔  คน  ให้ฆ่ามโหสธพรุ่งนี้เช้า  เพราะบัณฑิตทั้ง  ๔  ได้มาแจ้งเรื่องมโหสธคิดกบฎต่อเรา  เราเชื่อทันที  โดยไม่ได้สอบสวนข้อเท็จจริง  เราคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ไม่สบายใจเลย"

พระนางอุทุมพรเทวีพอทราบเรื่องก็ทรงโทมนัสด้วยความรักและสงสารมโหสธที่จะถูกฆ่า  พระนางดำริอุบายได้อย่างหนึ่ง  คือ  เมื่อพระราชาบรรทมหลับ  จะส่งข่าวให้มโหสธทราบเรื่องไว้  แล้วพระนางก็ทูลปลอบให้พระราชาทรงบรรเทาความกระวนกระวายพระทัย  มิให้ทรงคิดอะไรมากเกินไป  เมื่อทรงให้ประหารผู้ที่คิดร้ายเช่นมโหสธก็สมควรแล้ว  พระราชาทรงบรรเทาความวิตกลงไปได้ก็บรรทมหลับไป

พระราชเทวีเสด็จลุกจากที่บรรทมเข้าห้องทรงพระอักษรส่งข่าวให้มโหสธทราบ  มีใจความว่า  "พ่อ
มโหสธน้องรัก  เวลานี้พระราชากริ้วน้องมาก  เพราะอาจารย์ทั้ง  ๔  มากราบทูลยุยงพระราชาว่า  น้องจะคิดกบฎ  พระราชาทรงเชื่อจึงรับสั่งให้อาจารย์ทั้ง  ๔  คอยฆ่าน้องที่ประตูราชวังพรุ่งนี้  เพราะฉะนั้น  ในวันพุร่งนี้  น้องอย่าเข้าไปยังราชสำนักเลย  หากจะไปก็ควรจัดกองรักษาไว้ให้มั่นคงแข็งแรง  และอย่าไปคนเดียว  ควรมีมหาชนห้อมล้อมเป็นเกียรติยศไป"  ครั้นทรงพระอักษรเสร็จจึงสอดเข้าไปในห่อ  เอาด้ายผูกวางลงในสุวรรณภาชนะใหม่  ปิดฝาประทับพระราชสัญจกร  ประทานแก่นางข้าหลวงแล้วตรัสว่า  "เจ้าจงนำของสิ่งนี้ไปให้มโหสธน้องชายเรา"

นางข้าหลวงรับของนั้นแล้วจึงไปบ้านมโหสธในเวลากลางคืนนั้นเอง  เมื่อไปถึงจึงนำสุวรรณภาชนะเข้าไปให้มโหสธ  บอกว่า  "ของสิ่งนี้พระนางอุทุมพรเทวีพระราชทานมา"

มโหสธรับสุวรรณภาชนะ  แล้วให้นางข้าหลวงกลับ  เปิดฝาสุวรรณภาชนะ  เห็นห่อ  แก้ออกจึงพบหนังสือ  คลี่ออกอ่าน  ก็ได้ทราบความตามที่พระนางบอกมา ไม่รู้สึกวิตกแต่อย่างไร  เข้านอนหลับสนิท


...................................

(ยังมีต่ออีก)

























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น