วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า๑๔)



แก้ปัญหา  เรื่อง  ทรัพย์กับปัญญา  (ต่อ)

เสนกะได้อ้างโครวินทเศรษฐีขึ้นมากราบทูล  เพื่อให้เห็นว่า  คนมีทรัพย์เป็นคนประเสริฐ

พระราชาได้สดับเสนกะกราบทูลดังนั้น  จึงตรัสกะมโหสธว่า  "ดูก่อนพ่อมโหสธบัณฑิต  เจ้าจะแก้อย่างไรต่อไป

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  เสนกะจะรู้อะไร  เห็นแต่ทรัพย์กับยศอย่างเดียว  ไม่แลเหลียวไม้ค้อนอันจะตกบนศีรษะ  เหมือนกาอยู่ในที่เทข้าวสุก  หรือเหมือนสุนัขอยากดื่มน้ำส้ม  ขอพระองค์อย่าได้ทรงเชื่อฟังเลย  แล้วกราบทูลต่อไปว่า

"คนเขลา  มีความสุขแล้วก็ประมาท  เมื่อถูกความทุกข์ครอบงำ  
ย่อมหวั่นไหวเหมือนปลาดิ้นในที่ร้อน  เมื่อมีสุขย่อมลุ่มหลงมัวเมา  
ข้าพระบาทเห็นอย่างนี้  จึงกล้ากราบทูลว่า  คนมีปัญญาประเสริฐ  
คนโง่  มียศ  มีทรัพย์ไม่ประเสริฐเลย"


พระราชาจึงหันพระพักตร์มาทางเสนกะอีก  แล้วตรัสว่า  "อาจารย์เสนกะจะแก้อย่างไร ?"

เสนกะกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่เทพเจ้า  มโหสธนี้จะรู้อะไร  ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่พูดถึงมนุษย์  แม้แต่นกก็ยังมาชุมนุมกันที่ต้นไม้อันสะพรั่งด้วยผล"  แล้วกราบทูลต่อไปอีกว่า

"ฝูงนกบินร่อนมาจากที่ต่าง ๆ  มาเกาะบนต้นไม้ที่สล้างด้วยผล  ฉันใด  
มหาชนย่อมคบหาสมาคมกับบุคคลผู้มั่งคั่ง  เพราะต้องการทรัพย์  ฉันนั้น  
ข้าพระบาทเห็นความดังนี้  จึงกราบทูลว่า  คนมีปัญญาเป็นคนอับโชค  
คนมีทรัพย์  มียศ  เป็นคนประเสริฐ"

พระราชาตรัสถามกับมโหสธว่า  "พ่อมโหสธ  เจ้าจะแก้เขาอย่างไร ?"

มโหสธบัณฑิตกราบทูลว่า  "อาจารย์เสนกะพุงโตจะรู้อะไร"  แล้วทูลต่อไปว่า


"คนโง่มีกำลัง  ก็ชอบแต่จะบีบบังคับขู่เข็ญผู้คนให้ได้เงินมา  
หาได้รู้ไม่ว่านายนิรยบาลพากันฉุดค่าคนเขลาผู้คร่ำครวญอยู่  เอาตัวไปลงนรก  
ซึ่งเป็นทุกข์ร้ายกาจ  ข้าพระพุทธเจ้าขอยืนยันด้วยเกล้าว่า 
คนมีปัญญาประเสริฐกว่าคนโง่  มีทรัพย์  มียศ"


พระราชารับสั่งถามเสนกะว่า  "อาจารย์เสนกะจะแก้ว่าอย่างไร ?"

เสนกะกราบทูลว่า

"แม่น้ำน้อยใหญ่ย่อมไหลไปสู่คงคา  แม่น้ำเหล่านั้นก็หมดชื่อเดิม  
กลับพากันเรียกว่า  คงคา  ครั้นคงคาไหลไปสู่สมุทร  ชื่อว่า  คงคาก็หมดไป  
ได้ชื่อใหม่ว่า  มหาสมุทร  ฉันใด  ผู้ที่มีปัญญาเลิศในโลก  ครั้นมาถึงถิ่นของผู้มีทรัพย์  
มียศ  ชื่อเสียงของเขาก็หมดไป  เหมือนชื่อของคงคาหมดไป  ฉันนั้น  
ข้าพระพุทธเจ้าขอยืนยันความเห็นว่า  
คนมีทรัพย์  มียศ  ประเสริฐกว่าคนมีปัญญา"


พระราชาตรัสถามมโหสธอีกว่า  "พ่อมโหสธจะแก้อย่างไรก็ว่าไป"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าพระพุทธเจ้าจะแก้ปัญหาอาจารย์เสนกะกล่าวเมื่อกี้นี้


"ธรรมดาแม่น้ำน้อยใหญ่ย่อมไหลไปสู่มหาสมุทร  มหาสมุทรก็รับแม่น้ำเหล่านั้นไว้ได้  
แม้จะถูกคลื่นซัดสาดสักเพียงไร  ก็สะกัดไว้อยู่  ฉันใด  กิจการหรือวิชาการทั้งหลายแหล่
ที่แพร่หลายอยู่นี้  ก็ไม่พ้นคนฉลาดไปได้  คนโง่ต้องไปพินอบพิเทา
อยู่กับคนฉลาดตลอดเวลา  จะพ้นคนมีปัญญาไปหาได้ไม่  ฉันนั้น  
ข้าพระพุทธเจ้าเห็นความดังนี้  จึงกล้าที่จะยืนยันว่า  
คนมีปัญญาเป็นคนประเสริฐ  คนโง่มียศไม่ประเสริฐเลย"


เสนกะโต้ว่า 


"คนมียศ  มีทรัพย์  ถึงไม่มีปัญญา  หากวินิจฉัยข้อความใด ๆ  แม้จะเป็นเท็จ  
ก็เป็นที่เชื่อถือของคน  ถ้อยคำของเขาพอที่จะจูงใจคนให้เห็นด้วยโดยง่าย  
เพราะใช้ยศและทรัพย์เป็นเครื่องจูงใจ  แต่คนมีปัญญา  ไม่อาจจะให้คนที่ไร้ทรัพย์  
ทำอะไรตามถ้อยคำของตนได้  เพราะไม่มีทรัพย์  ไม่มียศเป็นแรงหนุน  
ข้าพระองค์เห็นความดังนี้  จึงขอทูลยืนยันว่า  
คนมีปัญญาจะดีไปกว่ามีทรัพย์  มียศ  ไม่ได้"


มโหสธได้โต้ว่า


"คนเขลามักพูดปดทั้งแก่ผู้อื่นและแก่ตนเอง  เพราะคนเขลาย่อมไม่รู้ผิดรู้ถูก  
เพ้อเจ้อไปตามเรื่อง  มักถูกติเตียนในกลางประชุมชน  และจะต้องไปทุคติในที่สุด  
ข้าพระองค์เห็นความนี้  จึงขอกราบทูลว่า  คนฉลาดเป็นผู้ประเสริฐ  
คนเขลาถึงมีทรัพย์มียศ  ก็ไม่ประเสริฐเลย"


เสนกะแก้ว่า 


 "อันคนมีปัญญาดุจแผ่นดิน  แต่ไม่มีที่อยู่  ไม่มีทรัพย์เป็นคนยากไร้  
คำพูดของเขาย่อมไม่เป็นที่เชื่อถือในท่ามกลางบริษัท  
เป็นคนหมดสง่าราศี  ข้าพระองค์เห็นดังนี้  
จึงว่า  คนมีปัญญาไม่ประเสริฐเลย"


มโหสธแก้ว่า

"อันคนมีปัญญาดุจแผ่นดิน  เขาก็ไม่พูดจาเหลาะแหละเหลวไหล  
เพื่อผู้อื่นหรือเพื่อตน  เขาย่อมได้รับบูชาในท่ามกลางชุมชน  
ทั้งยังจะได้ไปสู่สุคติในภายหลัง  ข้าพระองค์เห็นอย่างนี้  จึงกราบทูลว่า  
คนมีปัญญานั่นแหละประเสริฐกว่า  
คนเขลามียศ  มีทรัพย์  ไม่ประเสริฐเลย" 

เสนกะได้ว่า


"ช้าง  โค  ม้า  แก้วมณี  กุณฑล  และนารี  ล้วนเกิดในสกุลของผู้มั่งคั่ง  
เป็นอุปโภคของคนมีทรัพย์มียศ  คนมีปัญญาแต่ไม่มีทรัพย์  
ก็เป็นอุปโภคของคนมีทรัพย์  มียศ  ข้าพระองค์เห็นความจริงดังนี้  
จึงกราบทูลว่า  คนมีปัญญาเป็นคนต่ำ  คนมีทรัพย์  มียศ  เป็นคนประเสริฐ"


มโหสธแก้ว่า


"สิริมงคลย่อมจะไม่อยู่แก่คนพาลสันดานโง่  ไม่มีความคิด  
เหมือนงูลอกทิ้งคราบเก่าเสีย  ฉะนั้น  ข้าพระองค์ขอยืนยันว่า  
คนมีปัญญาประเสริฐกว่าคนเขลา  มีทรัพย์  มียศ"


เสนกะคิดแก้ต่อไป  โดยหวังจะให้มโหสธอับขนให้จงได้  กราบทูลว่า


"ขอเดชะ  ข้าพระองค์ทั้ง ๕  ชื่อว่าเป็นบัณฑิต  แต่ก็ต้องมารับราชการ
กับพระองค์ผู้ทรงมีอิสริยะ  คือทรงมีทั้งทรัพย์ทั้งยศปกเกล้า
ปกกระหม่อมข้าพระองค์ทั้งหมด  ดุุจท้าวสักกเทวราชผู้เป็นใหญ่ในหมู่สัตว์  
ฉะนั้น  ข้าพระองค์เห็นความดังนี้  จึงกราบทูลว่า  
คนฉลาดเป็นคนต่ำ  คนมีทรัพย์มียศเป็นคนประเสริฐ"


พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำของเสนกะดังนั้น  จึงทรงดำริว่า  คำแก้ของอาจารย์เสนกะนี้เข้าที  ชักจะเห็นจริงด้วยแล้ว  มโหสธบุตรของเราจะสามารถทำลายวาทะของเสนกะได้หรือไม่หนอ  ทรงดำริดังนี้แล้ว  จึงตรัสถามมโหสธว่า  "พ่อมโหสธจะแก้เขาว่าอย่างไร ?"


มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  เสนกะนี้จะรู้อะไร  เอาแต่ยศขึ้นหน้า  ไม่รู้จักความวิเศษของปัญญา  ขอพระองค์ทรงสดับคำของข้าพระบาท


"คนเขลาถึงมียศ  ก็เป็นเหมือนทาสของคนฉลาด
เพราะเมื่อมีปัญหาที่สุขุมลึกซึ้งเกิดขึ้น  คนฉลาดเท่านั้น
ที่จะวินิจฉัยชี้ขาด  เหมือนส่องไฟในที่มืด  ส่วนคนเขลามียศมีทรัพย์  
จะไม่สามารถวินิจฉัยได้เลย  เหมือนคนอยู่ในที่มืดมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น  
ข้าพระบาทเห็นความอย่างนี้  จึงขอยืนยันกราบทูลว่า  
คนมีปัญญานั่นแหละประเสริฐ  คนพาลมียศ  มีทรัพย์  ไม่ประเสริฐเลย"


.........................................

(ยังมีต่ออีก)

























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น