วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๒๓)


ผู้ทรยศ  (ต่อ)

รุ่งขึ้น  อาจารย์ทั้ง  ๔  ถือพระแสงขรรค์ยืนอยู่ที่ประตูวังแต่เช้า  เมื่อไม่เห็นมโหสธมาก็เสียใจ  ไปเฝ้าพระราชา  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ไม่เห็นมโหสธมา  พระเจ้าข้า"

พระราชามิได้ตรัสประการใด  ประทับยืนทอดพระเนตรไปทางช่องพระแกล

ขณะนั้น  มโหสธนั่งอยู่บนรถมีมหาชนห้อมล้อมไปแน่นขนัด  พอถึงประตูวังเหลือบไปเห็นพระราชาประทับยืนอยู่ตรงช่องพระแกล  ก็ลงจากรถถวายบังคมพระราชาแล้วยืนอยู่  ณ  ที่นั้น

พระราชาทอดพระเนตรเห็นกิริยาของมโหสธดังนั้น  ทรงดำริว่า  "ถ้ามโหสธคิดทรยศต่อเรา ที่ไหนเขาจะไหว้เรา"  จึงตรัสให้เรียกมโหสธมาเฝ้า

มโหสธเข้าไปกราบถวายบังคม  แล้วนั่งในที่อันควรแก่ตน  บัณฑิตทั้ง  ๔  ก้นั่งอยู่  ณ ที่นั้นด้วย

พระราชาทำเป็นไม่ทรงทราบอะไร  ตรัสถามมโหสธว่า  "พ่อมโหสธเมื่อวานนี้  ทำไมท่านจึงกลับไปก่อน  และเพิ่งมาเดี๋ยวนี้  ท่านรังเกียจเพราะได้ฟังอะไรหรือ  หรือใครพูดอะไรแก่ท่าน  ขอให้ท่านบอกแก่เราไปเถิด  เราจะฟัง"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระจอมประชากร  พระองค์ทรงเชื่อคำกล่าวร้ายป้ายสีของบัณฑิตทั้ง  ๔  แล้วมีพระบรมราชโองการให้ฆ่าพระพุทธเจ้า  เหตุนี้แหละ  ข้าพระพุทธเจ้าจึงยังไม่มาเฝ้าตามเวลาที่กำหนดให้ฆ่าข้าพระองค์  อนึ่งเล่า  พระองค์ได้ตรัสความลับที่รับสั่งแก่บัณฑิตทั้ง  ๔  กับพระนางอุทุมพรเทวี  เมื่อตอนกลางคืน  ข้าพระบาทก็ได้ทราบความลับนั้นจนหมดสิ้นแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำของมโหสธดังนั้น ทรงรู้สึกแปลบปลาบในพระราชหฤทัยที่ความลับของพระองค์รั่วไหลไปเช่นนั้น ทรงพิโรธ  หันพระพักตร์จ้องไปทางพระนางอุทุมพรราชเทวี  เพระาทรงแน่พระทัยว่า  พระนางเป็นผู้เปิดเผยความลับให้มโหสธรู้ความ  ทรงนิ่งอึ้ง พระพักตร์หม่นหมอง

มโหสธเห็นพระอาการของพระราชาดังนั้น  ก็ทราบว่า  ทรงพิโรธพระนางอุทุมพรเทวี  จึงกราบทูลว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  พระองค์ทรงพิโรธพระราชเทวีทำไม  ข้าพระพุทธเจ้าทราบเหตุการณ์ทั้งอดีต  อนาคต  และปัจจุบันได้ดี  ข้อที่พระนางตรัสความลับของพระองค์แก่ข้าพระพุทธเจ้านั้น  เก็บไว้ก่อน  คือ  อย่าเพิ่งพูดถึง  ข้าพระพุทธเจ้าจะขอกราบทูลให้ทรงทราบว่า  ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบถึงความลับของบัณฑิตทั้ง  ๔  ได้โดยไม่มีผู้ใดบอกเล่าแก่ข้าพระพุทธเจ้าเลย"

พระราชาทรงแปลกพระทัยในถ้อยคำของมโหสธ  ที่ว่ารู้ความลับของบัณฑิตทั้ง  ๔  จึงมีพระประสงค์จะทราบว่า  บัณฑิตทั้ง  ๔  มีความลับอะไรหรือ  จึงรับสั่งว่า  "ดูก่อนมโหสธ  ที่ท่านว่าท่านรู้ความลับของบัณฑิตทั้ง  ๔  นั้นขอให้ท่านบอกมาโดยไม่ต้องเกรงกลัวใคร"

มโหสธ  "ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ  เสนกะได้ทำกรรมชั่วไว้  และปกปิดเป็นลับตลอด  คือ  ได้ฆ่าหญิงแพศยานางหนึ่งในสวนรังใกล้เมืองนี้เอง  แล้วเอาเครื่องประดับใส่ห่อผ้านำไปเก็บไว้ในเรือน  แขวนอยู่ที่ไม้ทำเป็นเหมือนงาช้าง  เสนกะได้แจ้งเรื่องนี้แก่สหายคนหนึ่ง  ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบความลับของ
เสนกะมาดังนี้  ข้าพระพุทธเจ้ามิได้เป็นกบถต่อพระองค์  เสนกะนั่นแหละเป็นขบถ  ขอพระองค์ได้รับสั่งให้จับเสนกะคนขบถเถิด  พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชาทอดพระเนตรดูเสนกะ  แล้วตรัสถามว่า  "เสนกะ  ตามที่มโหสธพูดนั้น  เป็นความจริงหรือ ?"

เสนกะ  "เป็นควมจริง  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "เอาเสนกะไปขังไว้ในเรือนจำ"

ราชบุรุษได้นำเสนกะไปขังไว้ในเรือนจำ  ตามพระกระแสรับสั่ง  แล้วพระราชาตรัสถามมโหสธว่า  "คนอื่น ๆ  มีความลับอย่างไรอีก  พ่อมโหสธจงเล่าไป ?"

มโหสธ  "ข้าแต่พระจอมวิเทหรัฐ  ปุกกุสะมีความลับอยู่อย่างหนึ่ง  คือ  เป็นโรคเรื้อนที่ขา  เขาได้บอกความลับแก่น้องชาย  อนึ่ง  พระองค์เมื่อทรงพระเยาว์  ได้เคยเอาพระเศียรพาดที่ขาปุกกุสะบ่อย ๆ  ด้วยทรงเข้าพระทัยว่าขาปุกกุสะอ่อน  ที่แท้ปุกกุสะเอาผ้าพันโรคเรื้อนไว้ที่โคนขา  ข้าพระองค์ได้ทราบ
ควมลับของปุกกุสะอย่างนี้  พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชาทอดพระเนตรดูปุกกุสะ  แล้วตรัสถามว่า  "เป็นความจริงหรือ ปุกกุสะ

ปุกกุสะสารภาพว่า  "เป็นความจริง  พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชา  "เอาปุกกุสะไปขังไว้ในเรือนจำ

มโหสธได้กราบทูลความลับของกามินท์ต่อไปว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ  กามินท์ถูกยักษ์ชื่อนรเทพสิง  ได้ร้องเสียงเหมือนสุนัขบ้า  กามินท์ได้แจ้งความลับนี้แก่บุตร  ข้าพระองค์ได้ความลับของกามินท์มาดังนี้  กามินท์จึงไม่สมควรเข้าไปภายในพระราชฐาน  พระพทุธเจ้าข้า"

พระราชาทอดพระเนตรดูกามินท์  แล้วตรัสถามว่า  "เป็นความจริงหรือกามินท์ ?"

กามินท์ทูลรับสารภาพว่า  "เป็นความจริง  พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชารับสั่งให้นำกามินท์ไปขังไว้ในเรือนจำ  แล้วรับสั่งกับมโหสธว่า  "พ่อมโหสธ  ยังเทวินท์อีกคนหนึ่งมีความลับอย่างไร  เล่าไปซิ"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  ท้าวสุขัมบดีเทวราชได้ประทานมณีรัตนมงคลมี  ๘  เกลียว  แด่ท้าวกุสราพระอัยกาของพระองค์  บัดนี้  มณีรัตน์นั้นได้ตกไปอยู่ที่เทวินท์   เทวินท์ได้บอกความลับนี้แก่มารดาของเขา  ข้าพระองค์ได้ทราบความลับของเทวินท์มาดังนี้  เทวินท์คิดคดทรยศต่อพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชาตรัสถามเทวินท์ว่า  "จริงหรือ  เทวินท์ ?"

เทวินท์กราบทูลว่า  "จริง  พระเจ้าข้า"

พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษนำเทวินท์เข้าไปขังไว้นเรือนจำรวมกับอาจารย์ทั้ง  ๓  เป็นอันว่า  อาจารย์ทั้ง  ๔ คน  ตั้งใจจะฆ่ามโหสธกลับต้องเข้าเรือนจำเสียเอง  เข้าหลักที่่า  "ให้ทุกข์แก่ท่าน  ทุกข์นั้นถึงตัว"

พระราชาตรัสกับมโหสธว่า  "พ่อมโหสธลูกรัก  ท่านมีอะไรจะพูดอีก  เชิญพูดมาเถิด"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบทูลแล้วว่า  บุคคลไม่ควรเปิดเผยความลับแก่ใคร ๆ  แต่อาจารย์ทั้ง  ๔  กลับพูดว่าความลับควรเปิดเผย  ในที่สุดอาจารย์ทั้ง  ๔  ก็ต้องได้รับโทษ  เพราะเปิดเผยความลับ  ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลยืนยันว่า

การปกปิดความลับไว้นั่นแหละดี  การเปิดเผย
ความลับ  ไม่ดีเลย  ผู้มีปัญญาพึงเปิดเผยความลับได้
ในเมื่อทำการสำเร็จแล้ว  บัณฑิตไม่ควรบอกความลับ
แก่สตรีและคนไม่ใช่มิตร"


พระเจ้าวิเทหราชทรงพิโรธอาจารย์ทั้ง  ๔  ที่ตัวเองทรยศ  แก่กลับใส่ไคล้มโหสธหาว่าทรยศกบฏต่อพระองค์  จึงรับสั่งกับเพชฌฆาตว่า  "จงไปนำตัวอาจารย์ทั้ง  ๔  ออกจากเรือนจำเอาไปนอกพระนคร  ให้นอนหงายบนหลาวแล้วตัดศีรษะเสีย"


......................................

(ยังมีต่ออีก)
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น