วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๑๐)



แก้ปัญหา  เรื่อง  กิ้งก่า

วันหนึ่ง  พระเจ้าวิเทหราชเสด็จประพาสพระราชอุทยานกับมโหสธ  ทอดพระเนตรเห็นกิ้งก่าตัวหนึ่ง  อยู่บนซุ้มประตู  พอเสด็จใกล้เข้าไป  กิ้งก่าลงจากซุ้มประตูหมอบที่แผ่นดิน  จึงรับสั่งถามมโหสธว่า  "เจ้าบัณฑิต  กิ้งก่ามันทำอะไร ?"

มโหสธกราบทูลว่า  "กิ้งก่าถวายความเคารพ  พระเจ้าข้า"

พระราชารับสั่งว่า  "เออ  แม้สัตว์เดียรัจฉานก็ยังรู้จักทำความเคารพ  ควรสงสารมัน  กิ้งก่ามันชอบกินอะไร  เจ้าบัณฑิต"

มโหสธกราบทูลว่า  "กิ้งก่าชอบกินเนื้อ  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "มันควรจะได้สักเท่าไร  จึงจะพอปากพอท้องมัน"

มโหสธ  "เพียงราคา  ๑  กากณิก  ( ๑  ไพ)  ก็พอ  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "รางวัลของหลวงเพียงกากณิกเดียวไม่สมควร ควรให้สักครึ่งมาสกให้มันกินทุกวัน"  แล้วรับสั่งให้ราชบุรุษจัดตามพระประสงค์

ตั้งแต่วันนั้นมา  ราชบุรุษก็จัดเนื้อมาให้กิ้งก่ากินวันละครึ่งมาสก

วันหนึ่ง  เป็นวันอุโบสถ  ชาวบ้านไม่ฆ่าสัตว์กัน  ราชบุรุษก็หาซื้อเนื้อไม่ได้  เมื่อไม่ได้เนื้อ  จึงเจาะกึ่งมาสกเอาด้ายร้อย  แล้วนำไปผูกคอกิ้งก่าเป็นเครื่องประดับแทนของกิน  ตั้งแต่นั้นมา  กิ้งก่าก็เกิดจองหอง  ถือตัวขึ้นมา  เพราะกึ่งมาสกที่ผูกคอ

วันต่อมา  พระราชาเสด็จประพาสพระราชอุทยานอีก  กิ้งก่าเห็นพระราชาเสด็จมา  แทนที่จะรีบวิ่งลงมาหมอบอยู่ที่พื้นเช่นวันก่อน  กลับชะเง้อคอเชิดหัวด้วยความหยิ่ง  นึกเปรียบตนเสมอกับพระเจ้าวิเทหราชเหมือนจะเข้าใจว่า  พระเจ้าวิเทหราชหรือจะมีทรัพย์มากแต่ผู้เดียว  แม้ตัวก็มีมากเหมือนกันตั้งกึ่งมาสก

พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตเห็นอาการของกิ้งก่าดังนั้น  จึงตรัสถามมโหสธบัณฑิตว่า  "แน่ะบัณฑิต ไฉนวันนี้กิ้งก่าจึงไม่ลงจากซุ้มประตูเหมือนวันก่อน"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์  กิ้งก่าได้กึ่งมาสกผูกคอ  มันเข้าใจว่า  มันมีทรัพย์เหลือหลาย  จึงทำอาการเสมอพระองค์"

พระราชาเรียกราชบุรุษที่ทำหน้าที่ซื้อเนื้อมาตรัสถามว่า  "ทำไมจึงเอากึ่งมาสกไปผูกคอกิ้งก่า ?"

ราชบุรุษกราบทูลว่า  "วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ  เนื้อไม่มีขาย  ข้าพระพุทธเจ้าจึงเจาะกึ่งมาสกร้อยเชือกเอาไปผูกคอ"

พระราชาทรงทราบความถือตัวของกิ้งก่าดังที่มโหสธกราบทูล  ก็พอพระทัยในความฉลาดรอบรู้ขอ
มโหสธ  ซึ่งรู้จนกระทั่งอาการของสัตว์  ทรงโปรดปรานมโหสธมาก  พระราชทานส่วยที่ประตูทั้ง  ๔  เป็นรางวัลแก่มโหสธ  แต่ทรงกริ้วกิ้งก่าเป็นอันมาก  ทรงปรารภจะให้ฆ่าเสีย แต่มโหสธทูลห้ามพระราชาไว้ว่า  "ธรรมดากิ้งก่าเดียรัจฉานหาปัญญามิได้  ขอได้ทรงโปรดอภัยให้เถิด"




แก้ปัญหา  เรื่อง  สิริกับกาลกิณี

มาณพนายหนึ่งชื่อปิคุตตระ  สำเร็จการศึกษาจากสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์เมืองตักกศิลา   แล้วจึงไปลาอาจารย์กลับบ้าน  อาจารย์มีธิดาสวยอยู่คนหนึ่ง  รูปงามดังเทพอัปสร  เป็นธรรมเนียมในสมัยนั้น  มีอยู่ว่า  ถ้าธิดาในสกุลเจริญวัย  อาจารย์ต้องยกให้แก่ศิษย์ผู้ใหญ่  เพราะฉะนั้น  เมื่องปิคุตตระไปลาอาจารย์จะกลับบ้าน  อาจารย์จึงบอกแก่ปิงคุตตระว่า  "ดูก่อนปิงคุตตระ  เรามีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง  เราขอยกให้เจ้าตามธรรมเนียม  ขอให้เจ้าพาไปด้วย"

นายปิงคุตตระเป็นคนกาลกิณี  ลูกสาวอาจารย์เป็นคนมีบุญมาก  ตามธรรมดาคนกาลกิณีมักอยู่ร่วมกับคนมีบุญไม่ได้  ฉะนั้น  นายปิงคุตตระมิได้มีจิตเสน่หาในเมื่อเห็นลูกสาวอาจารย์นั้นเลย  แต่ก็ไม่กล้าขัดความปรารถนาของอาจารย์  จึงจำต้องอยู่กับลูกสาวอาจารย์ที่บ้านอาจารย์  ๑  สัปดาห์

แม้จะได้ลูกสาวสวยของอาจารย์  นายปิงคุตตระก็หาความสุขเยี่ยงสามีภรรยไม่ได้เลย  แทนที่จะมีความสุข  กลับมีแต่ทุกข์ไม่เว้นวันตั้งแต่ได้นางมา  เมื่อถึงเวลานอน  นายปิงคุตตระขึ้นไปนอนบนเตียงซึ่งฟูกหมอนอ่อนนุ่ม  แต่พอเห็นภรรยาขึ้นไปนอนอยู่ด้วย  ก็ให้รู้สึกอึดอัดละอายใจตนเอง  จึงลงมานอนกับพื้น หายอึดอัดไปได้  ฝ่ายภรรยาเมื่อเห็นสามีลงจากเตียงมานอนกับพื้น  ก็ลงมานอนด้วย  นายปิงคุตตระไม่สบายใจอีกที่นางลงมานอนด้วย  จึงขึ้นไปนอนบนเตียง  นางก็ตามขึ้นไปนอนบนเตียงบ้าง  พอนางขึ้นไป  นายปิงคุตตระก็ลง  ทั้งนี้เป็นเพราะกาลกิณีย่อมไม่ร่วมกับสิริ  จึงมีอันให้เป็นไปแ่ฝ่ายที่เป็นกาลกิณี

การเป็นอย่างนี้ล่วงไป  ๑  สัปดาห์  นายปิงคุตตระพานางไปกราบลาอาจารย์ออกจากเมืองตักกศิลา  ขณะเดินทางมาด้วยกัน  ก็มิได้ปริปากพูดกันเลย  จนกระทั่งถึงกรุงมิถิลา

ทั้งสองเดินทางมารู้สึกหิวเป็นกำลัง  เมื่อเดินทางใกล้เมืองหลวงเข้ามา  นายปิงคุตตระได้เห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งมีผลสล้างเต็มต้น  ด้วยความหิว  เขาจึงปีนขึ้นไปบนต้นมะเดื่อ  ปลิดผลมะเดื่อกิน

ภรรยาสาวชะเง้อดูนายปิงคุตตระสามีกินลูกมะเดื่อ  ก็อยากกินบ้างเพราะหิวเต็มที  จึงพูดว่า  "นายจ๋า   ปลิดผลมะเดื่อส่งมาบ้างซิจ๊ะ  ฉันหิวเหลือเกิน"

นายปิงคุตตระไม่ฟังเสียงของนาง  หยิบกิน ๆ  เมื่อนางขออีกจึงพูดว่า  "มือเท้าของเจ้าไม่มีดอกหรือ  ขึ้นมาเก็บกินเองซิ"

นางคิดอยู่แต่ในใจว่า  "อีตาสามีคนนี้ใจร้ายสิ้นดี  ไม่มีเอื้อเฟื้อเราเลย  มือเท้าเราก็มี  ขึ้นไปหากินเองก็ได้  คนใจร้ายอะไรอย่างนี้"  แล้วนางก็ปีนขึ้นไปบนต้นมะเดื่อ  ปลิดมะเดื่อกินแก้หิว

นายปิงคุตตระเมื่อเห็นนางขึ้นมา  ก็รีบลงจากต้นมะเดื่อไปหาหนามพุงดอ  หนามไผ่มาสะล้อมต้นมะเดื่อไว้  เพื่อมิให้นางลงมาตามตนได้สะดวก  เสร็จแล้วก็พูดว่า  "เชิญแม่นางกาลกิณีอยู่ให้สบายเถิด  เราไปละ"  แล้วนายปิงคุตตระก็หนีไป

นางจะลงก็ไม่ได้  เพราะกลัวหนามที่ปิงคุตตระสะล้อมไว้  จึงนั่งอยู่บนต้นมะเดื่อนั่นเอง

ในวันนั้น  พระเจ้าวิเทหราชได้เสด็จประพาทพระราชอุทยานพร้อมด้วยข้าราชบริพาร  กับเหล่าบัณฑิตประจำพระองค์  เมื่อทรงพระสำราญในอุทยานพอสมควรแล้ว  เวลาเย็นเสด็จประทับนั่งบนคอช้างจะกลับเข้าพระนคร  พอขบวนเสด็จผ่านมาถึงต้นมะเดื่อ  ก็ทอดพระเนตรเห็นนางกุมารีรูปงามนั่งอยู่บนต้นมะเดื่อคนเดียว  ทรงมีพระทัยงงงวยในความงามของนาง  ขณะเดียวกันก็ทรงปฏิพทธ์ในนาง  อยากทรงทราบว่า  นางมีสามีหรือยัง  จึงรับสั่งให้ราชบุรุษไปถาม

ราชบุรุษถามว่า  "แม่นางจ๋า  ในหลวงอยากทราบว่า  แม่นางมีคู่ครองหรือยังจ๊ะ ?"

นางตอบว่า  "มีแล้วจ้ะ  แต่เขาทิ้งฉันให้อยู่บนนี้  แล้วเอาหนามมาสะล้อมต้นไว้  ท่านดูบ้างซิ  แล้วเขาก็หนีไป"

ราชบุรุษกลับมากราบทูลให้ทรงทราบตามที่นางบอก

พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า  "ธรรมดาภัณฑะที่ไม่มีเจ้าของ  ย่อมตกเป็นของหลวง"  แล้วรับสั่งให้ราชบุรุษไปขนหนามที่สะล้อมไว้ใต้ต้นมะเดื่อออกให้หมด  แล้วให้ไสช้างทรงไปรับนางใต้ต้นมะเดื่อนั้น  เมื่อนางขึ้นหลังช้าง  ได้รับราชานุญาตให้นั่งข้างเคียงกับพระราชา  นางจึงกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พระบารมีปกเกล้ากปกกระหม่อม  พระองค์จะทรงพาหม่อมฉันไปไหน เพคะ ?"

พระราชา  "นางบอกว่า  สามีเขาทอดทิ้งไม่ใช่หรือ ?

นาง  "ใช่  เพคะ"

พระราชา  "เราจะรับนางเข้าไปอยู่ในพระราชวัง  แล้วอภิเษกให้เป็นเอกอักครมเหสี  นางจะพอใจไหม ?"

นาง  "เป็นพระมหากรุณาแก่หม่อมฉัน  ซึ่งจะหาอะไรเปรียบมิได้  เพคะ"

เมื่อนางกราบทูลเป็นที่พอพระทัยแล้ว  พระราชาจึงนำนางเข้าพระราชนิเวศน์  จัดการอภิเษกนางให้เป็นเอกอัครมเหสี  นางเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าวิเทหราชมาก  ตั้งแต่นางได้มาเป็นเอกอัครมเหสี  จึงมีชื่อตามที่มหาชนตั้งให้ว่า  อุทุมพรเทวี  เพราะพระราชาได้นางมาแต่ต้นมะเดื่อ

ต่อมาวันหนึ่ง  ราชบุรุษได้ให้ชาวบ้านมาทำการแผ้วถางทางเสด็จพระราชดำเนินไปยังสวนหลวง  โดยให้ค่าจ้างแรงงานตามสมควร  นายปิงคุตตระก็มารับจ้างอยู่ด้วย

ขณะที่นายปิงคุตตระกำลังถกเขมรหยักรั้ง ถือจอบก้มหน้าก้มตาถางทาง  เกลี่ยดินอยู่นั้น  พระราชาประทับบนรถพระที่นั่งกับพระนางอุทุมพรเทวี  เสด็จออกจากพระนครถึงที่ที่นายปิงคุตตระทำงานอยู่  พระนางอุทุมพรเทวีได้ทอดพระเนตรเห็นนายปิงคุตตระกาลกิณีกำลังทำงานอยู่ข้างทาง  จึงทรงดำริว่า  "โธ่เอ๋ย  บุรุษาลกิณีนี้ช่างไม่มีบุญวาสนาจะได้ครองสิริมงคลเสียเลย"  แล้วพระนางก็ทรงพระสรวล


(ยังมีต่ออีก)



























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น