วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๒๑)



คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้  (ต่อ)

เทวดามีความเลื่อมใสต่อมโหสธ  ซ้องสาธุการเป็นคำรบ  ๔  และซัดผอบเต็มด้วยแก้ว  ๗  ประการมาตกลงแทบเท้าของมโหสธเป็นเครื่องสักการบูชา

พระราชาทรงเลื่อมใส  ได้พระราชทานตำแหน่งมหาเศรษฐีให้แก่มโหสธ  ตั้งแต่นั้นมามโหสธก็ปรากฏเกียรติยศยิ่งใหญ่  มีความรุ่งเรืองยิ่งกว่าบัณฑิตทั้ง ๔



ผู้ทรยศ

บัณฑิตทั้ง  ๔  เมื่อเห็นความรุ่งเรืองของมโหสธเหนือตนเช่นนั้น  จึงปรึกษากันอีกว่า  "บัดนี้  มโหสธรุ่งโรจน์ยิ่งนัก  พวกเราอับเฉาลงทุกวัน  จะทำอย่างกันดี"

เสนกะจึงพูดว่า  "เรามีอุบายอยู่อย่างหนึ่งแล้ว  คือ  เราทั้ง  ๔  ไปหามโหสธด้วยกัน  แล้วถามมโหสธดูว่า ขึ้นชื่อว่าความลับ  ควรบอกแก่ใคร  ถ้ามโหสธบอว่า  ไม่ควรบอกแก่ใคร  เราก็จะกราบทูลพระราชาว่า มโหสธทำตนเป็นข้าศึกแก่พระองค์  อุบายนี้พวกท่านจะเห็นเป็นอย่างไร"

บัณฑิตทั้ง  ๓  เห็นชอบด้วย  จึงพากันไปบ้านมโหสธทั้ง  ๔  คน  ขึ้นไปบนเรือน  เห็นมโหสธกำลังนั่งอยู่ เสนกะจึงพูดขึ้นว่า  "ท่านบัณฑิต  ข้าพเจ้าขอโอกาสถามปัญหาสักข้อเถอะ"

มโหสธ  "เชิญอาจารย์ถามได้"

เสนกะถาม   "คนที่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต  ควรตั้งอยู่ในธรรมอะไร ?"

มโหสธตอบ   "ควรตั้งอยู่ในความจริง"

เสนกะ   "ผู้ตั้งอยู่ในความจริงแล้วจะควรทำอะไรต่อไป ?"

มโหสธ   "ควรแสวงหาทรัพย์"

เสนกะ   "เมื่อได้ทรัพย์แล้ว  ควรทำอะไร?"

มโหสธ   "ควรคบมิตร"

เสนกะ   "คบมิตรแล้ว  ควรทำอะไรอีก ?"

มโหสธ   "ควรเรียนความคิดอ่านจากมิตร"

เสนกะ   "เรียนความคิดอ่านจากมิตรได้แล้ว  ควรทำอะไรอีก ?"

มโหสธ   "ถ้าความคิดอ่านที่ได้จากมิตรเป็นความลับ  ก็ไม่ควรบอกความลับนั้นแก่ใคร"

บัณฑิตทั้ง  ๔  ดีใจที่อบายขั้นต้นสำเร็จ  จึงลากลับ  คิดกันว่า  เห็นความพินาศของมโหสธอยู่รำไร ๆ  แล้ว  ครั้นกลับมาจึงตรไปเฝ้าพระราชาทันที  เสนกะกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่พระองค์  มโหสธคิดกบฏต่อพระองค์  พระเจ้าข้า"

พระราชาตรัสห้ามว่า  "หยุด  อย่าพูดว่ามโหสธเป็นกบฎต่อเรา  เราไม่เชื่อท่านแล้ว"

บัณฑิตทั้ง  ๔  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พระอาญาไม่พ้นเกล้า  พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้ง  ๔  ขอยืนยันว่า  ที่กราบทูลไปนั้นเป็นความจริง  หากมิทรงเชื่อ  ก็ขอได้โปรดถามมโหสธดูว่า  ความลับของเขา  เขาควรบอกแก่ใคร  ถ้าเขาไม่เป็นกบฏต่อพระองค์  เขาก็จะกราบทูลว่า  ควรบอกแก่คนนั้น  ๆ  ถ้าเขาเป็นกบฏ เขาก็จะกราบทูลว่า  ไม่ควรบอกแก่ใคร ๆ  ต่อเมื่อทำการสำเร็จ  จึงควรบอก  ดังนี้แหละ  พระองค์จะหมดสงสัยและจะเชื่อข้าพระพุทธเจ้า"

พระราชารับว่า  "เอาเถอะเราจะลองถามมโหสธดู"  จึงรับสั่งให้เรีกมโหสธมาเฝ้า  ครั้นมโหสธมาเฝ้าแล้ว  จึงตนัสถามขึ้นในที่ชุมนุมบัณฑิตทั้ง  ๔  ว่า  "บุคคลควรเปิดเผยความลับแก่ใคร ?"

เสนกะคิดว่า  "เราจะให้พระราชาร่วมความคิดเห็นกับเราก่อน"  คิดแล้วจึงกราบทูลว่า  


"ข้าแต่พระภูมิบาล  ขอพระองค์ทรงเปิดเผยแก่
เหล่าข้าพระองค์ก่อน  ว่าความลับควรเปิดเผยแก่ใคร
ทั้งนี้  เหล่าข้าพระองค์จะขอฟังความคิดเห็นของ
พระองค์  แล้วจึงจะกราบทูลให้เป็นที่พอพระราชหฤทัย
ในภายหลัง"


พระราชา


"ภรรยาที่มีความซื่อสัตย์ต่อสามี  เป็นที่รักของสามี
สามีที่ดีควรเปิดเผยความลับแก่ภรรยานั้น"


เสนกะดีใจที่พระราชามีความเห็นร่วมกับตน  จึงกราบทูลว่า


"บุคคลควรเปิดเผยความลับแก่สหายที่ร่วมสุข
ร่วมทุกข์  มีอุปการคุณแก่ตน"


พระราชาตรัสถามปุกกุสะว่า  "อาจารย์ปุกกุสะเล่า  ท่านเห็นอย่างไร  ควรบอกความลับแก่ใคร ?"

ปุกกุสะกราบทูลว่า


"บุคคลควรเปิดเผยความลับแก่พี่ชายหรือน้องชาย
ที่ตั้งอยู่ในศีลธรรม"


ตรัสถามกามินท์ว่า  "อาจารย์กามินท์เล่า  จะว่าอย่างไร ?"

กามินท์กราบทูลว่า

"บิดาควรเปิดเผยความลับของตนแก่บุตรที่เป็นอนุชาตบุตร"

ตรัสถามเทวินท์ว่า  "อาจารย์เทวินท์  จะว่าอย่างไร ?"

เทวินท์กราบทูลว่า


"บุตรควรเปิดเผยความลับแก่มารดาที่มีความรักต่อบุตร"

พระราชาทอดพระเนตรไปทางมโหสธ  ตรัสว่า  "มโหสธลูกรัก  เจ้าเป็นอย่างไร  ความลับควรจะบอกแก่ใคร ?"

มโหสธกราบทูลว่า


"การซ่อนความลับไว้นั่นแหละเป็นความดี  การเปิดเผย
ความลับไม่ดีเลย  บุคคลผู้ฉลาดเมื่อทำการยังไม่สำเร็จ
ก็ยังไม่ควรเปิดเผยความลับแก่ใคร  ต่อเมื่อทำการสำเร็จ
แล้วนั่นแหละ  จึงควรเปิดเผย"


เมื่อมโหสธกราบทูลจบ  พระราชาทรงเศร้าพระทัย  ทรงมองดูหน้าเสนกะ  เสนกะก็มองดูพระพักตร์พระราชา  มโหสธสังเกตเห็นพระพักตร์ของพระราชาแสดงความไม่พอพระทัยในการกราบทูลของตน  ทั้งได้เห็นกิริยาของเสนกะ  และพระราชาเช่นนั้นก็รู้ว่า  อาจารย์ทั้ง  ๔  คงกราบทูลยุยงพระราชาด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเราไว้ก่อนเป็นแน่  และปัญหาที่พระราชาตรัสถามก็เพื่อทดลองเรา  การรับราชการของเราช่างยุ่งยากแก่คนอื่นเสียจริง ๆ  ขืนทำต่อไปก็ยังไม่รู้ว่า  จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นข้างหน้าอีก  เห็นจะต้องกลับก่อน  คิดดังนี้แล้วมโหสธจึงถวายบังคมลาออกไป  เดินไป  คิดไปว่า  นี่มันเรื่องอะไรกันหนอ  คนหนึ่งบอกว่า  ควรเปิดเผยความลับแก่สหาย  คนหนึ่งว่า  ควรเปิดเผยแก่พี่ชายหรือน้องชาย  คนหนึ่งว่า  ควรเปิดเผยแก่บุตร  คนหนึ่งว่า  ควรเปิดเผยแก่มารดา  เรื่องนี้คนเหล่านั้นคงได้ทำกันมาแล้วเป็นแน่  จึงได้พูดไปตามที่ปรากฏแก่ตนเอง  เอาละ  เป็นได้รู้ดีกันในวันนี้แหละ  เราจะไปนั่งในถังข้าวใบที่อาจารย์ทั้ง  ๔  เคยไปนั่งปรึกษากันบนหลังถัง  เมื่อออกจากที่เฝ้าแล้วพอเดินมาถึงถังข้าว  จึงให้คนที่ติดตามไปด้วยนำเครื่องปูลาดมาปูลง  แล้วเอาถังครอบไว้  มโหสธก็เข้าไปนั่งอยู่ในนั้น  ก่อนเข้าไปได้บอกแก่ผู้ติดตามว่า  "ถ้าอาจารย์ทั้ง  ๔  มานั่งปรึกษากันเสร็จแล้วกลับไป  ให้ช่วยกันยกถังออก"



..........................................

(ยังมีต่ออีก)












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น