วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๑๒)



แก้ปัญหา  เรื่อง  แพะกับสุนัข  (ต่อ)

มโหสธบัณฑิตพิจารณาปัญหา  ก็ยังไม่เห็นเนื้อความ  ดำริว่า  พระราชาของเราคงทอดพระเนตรเห็อะไรเป็นแน่  คงไม่ได้คิดตั้งปัญหาขึ้นเอง  เราควรจะทูลขอโอกาสไปใคร่ครวญดูสัก  ๑  วัน  แต่เราต้องดูอาจารย์เสนกะก่อนจะคิดอย่างไร

เสนกะไม่เข้าใจในปัญหานั้น  ให้มืดมัวเหมือนอยู่ในห้องมืด  จึงอยากจะรู้ว่ามโหสธคิดอย่างไร  จึงเหลียวมองมโหสธก็พอดีกับมโหสธมองมา  เสนกะก็รู้ว่า  มโหสธก็ยังคิดไม่ออก  และรู้ความประสงค์
ของมโหสธที่อยากจะขอเลื่อนกำหนดแก้ปัญหาออกไปสัก  ๑  วัน  จึงหัวเราะขึ้นด้วยความภาคภูมิใจที่ตนเป็นคนสนิทกับพระราชามานานแล้ว  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  หากข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้  พระองค์จะทรงขับไล่ข้าพระบาททั้งหลายออกจากแว่นแคว้นจริง ๆ  หรือ  พระเจ้าข้า"

พระราชาตรัสว่า  "จริง ๆ  ซิบัณฑิต  เราเป็นกษัตริย์  ตรัสแล้วไม่คืนคำ"

เสนกะกราบทูลต่อไปว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่พระจอมประชากร  ปัญหานี้มีเงื่อนงำสลับซับซ้อน  จะต้องใช้เวลาหน่อย  และก็ควรไตร่ตรองในที่สงัดเงียบคนเดียว  หากจะคิดในเวลานี้คงไม่ถนัด  เพราะมีผู้คนมากทำให้อารมณ์ฟุ้งซ่าน  ข้าพระพุทธเจ้าหวังในพระมหากรุณาปกเกล้าปกกระหม่อม  ขอเลื่อนการแก้ปัญหานี้ในวันต่อไปเถิด  พะย่ะค่ะ"

พระราชาได้สดับถ้อยคำของเสนกะก็ดีพระทัย  ตรัสว่า  "เอาเถอะ  เรายอมเลื่อนให้  เจ้าจะได้มีเวลาคิด แต่ถ้าคิดแก้ไม่ได้  เราจะขับให้พ้นจากแว่นแคว้นโดยไม่มีเงื่อนไข"  พอตรัสเสร็จก็เสด็จออกจากท้องพระโรง

บัณฑิต  ๔  คน  ออกจากท้องพระโรงไปด้วยกัน  ต่างก็ปรึกษากันว่า  "พวกเราท่าจะแย่แล้วครั้งนี้  จะทำอย่างไรดี"

เสนกะผู้มีอาวุโสกว่าบัณฑิตเหล่านั้น  จึงพูดตัดบทว่า  "พวกเราไปนั่งคิดที่บ้านของตน ๆ  เถิด"  แล้วต่างฝ่ายต่างก็แยกไปบ้านของตน ๆ

ส่วนมโหสธเดินออกมาทีหลังไม่พูดจากับใคร  รีบตรงไปเฝ้าพระนางอุทุมพรเทวีทันที  พอไปถึงก็ทูลถามว่า "ข้าแต่พระเทวีเจ้า  ข้าพระบาทอยากทราบว่า  วันนี้หรือวานนี้  พระราชาประทับอยู่ที่ไหนนาน ?"

พระนางอุทุมพรรับสั่งว่า "เมื่อวานนี้  พระทูลกระหม่อมเสด็จดำเนินไปมาระหว่างพื้นยาวปราสาท  แล้วทอดพระเนตรออกไปข้างนอกเป็นเวลานาน"

มโหสธบัณฑิตดำริว่า  "พระราชาคงทอดพระเนตรเห็นอะไร ๆ  ตรงนั้นเป็นแน่"  จึงทูลลาพระนางอุทุมพรเทวีไป  ณ  ที่นั้น  แลดูออกไปข้างนอก  ก็ได้เห็นอาการของแพะกับสุนัข  ซึ่งแสดงความสนิทสนมชิดชอบอยู่  ก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่า  "พระราชาคงทอดพระเนตรเห็นสัตว์ทั้งสองนี้เป็นแน่  จึงทรงผูกปัญหาขึ้น"  เมื่อมโหสธได้เค้าความดังนี้แล้วจึงกลับไปบ้าน

ฝ่ายบัณฑิตทั้ง  ๔  คือ  เสนกะ  ปุกกุสะ  กามินทะ  เทวินทะ  กลับบ้านไปเดินคิดก็แล้ว  นั่งคิดก็แล้ว  ไม่เห็นความของปัญหานั้นเลย  ทั้ง  ๔  จึงมาพบกันแล้วปรับทุกข์กัน  ต่างก็เกรงจะถูกขับไล่จากแว่นแคว้น จึงปรีกษากันว่า  "ควรไปหามโหสธ  เผื่อจะได้เค้าความของปัญหาบ้าง"  เมื่อเห็นชอบพร้อมกันแล้ว  จึงพากันไปบ้านมโหสธบัณฑิต

มโหสธบัณฑิตเมื่อทราบว่าบัณฑิตทั้ง  ๔  มาหา  จึงออกไปรับที่ประตูบ้าน แล้วเชิญเข้าข้างใน  เมื่อทุกคนนั่งในที่สมควรแก่ตนเรียบร้อยแล้ว  บัณฑิตทั้ง  ๔  จึงเริ่มถามมโหสธว่า  "ท่านบัณฑิต  คิดปัญหาได้แล้วหรือยัง ?"

มโหสธตอบว่า  "ขอรับ  ผมคิดได้แล้ว"

บัณฑิตทั้ง  ๔  ถามว่า  "ถ้าเช่นนั้น  ท่านจงบอกข้าพเจ้าบ้างซิ"

มโหสธดำริว่า  "ถ้าเราไม่บอก  บัณฑิตทั้ง  ๔  ก็จะถูกพระราชากริ้ว  จะต้องถูกขับออกจากแว่นแคว้น เพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม  จึงไม่ควรต้องให้บัณฑิตทั้ง  ๔  ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ในราชสำนักต้องได้รับความเดือดร้อนถึงเพียงนั้นเลย"  ดำริแล้วมโหสธจึงพูดว่า  "เอาเถอะขอรับ  ผมจะบอกให้"  แล้วให้บัณฑิตทั้ง  ๔  นั่งอาสนะที่ต่ำกว่าตน  เพราะแม้มโหสธมีอายุอ่อนกว่าบัณฑิตทั้ง  ๔  แต่ก็สูงกว่าในทางปัญญา  ผู้มีปัญญาแม้มีอายุน้อย  ก็ควรที่ผู้ใหญ่จะต้องแสดงความเคารพ  เพื่อรับความรู้จากผู้น้อย

เมื่อบัณฑิตทั้ง  ๔  นั่ง  ณ  อาสนะที่ต่ำกว่าแล้ว  มโหสธจึงให้เรียนข้อแก้ปัญหาคนละข้อ

บัณฑิตทั้ง  ๔  เมื่อเรียนได้คล่องแล้วต่างก็ดีใจ  ลามโหสธกลับบ้าน

รุ่งขึ้น  พวกบัณฑิตก็พากันไปประชุม  ณ  ท้องพระโรง  รอเข้าเฝ้าพระราชา พอได้เวลาพระราชาก็เสด็จสู่ท้องพระโรง  ประทับนั่งบนพระแท่นที่ประทับ  เมื่อทอดพระเนตรเห็นบัณฑิตและหมู่ข้าเฝ้าอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว  จึงมีพระราชดำริถามเสนกบัณฑิตผู้ใหญ่ก่อนว่า  "ท่านอาจารย์เสนกะ  ท่านคิดแก้ปัญหาได้แล้วหรือยัง ?"

เสนกะกราบทูลว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  เมื่อข้าพระบาทคิดแก้ไม่ได้  คนอื่นใครเล่าจักแก้ได้  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "ดีแล้ว  ท่านอาจารย์ว่าไปเถิด"

เวยกะจึงกราบทูลไปตามที่ตนได้เรียนมากับมโหสธว่า


"คนทั้งหลายชอบรับประทานเนื้อแพะ  แต่ไม่ชอบ
รับประทานเนื้อสุนัข  บัดนี้แพะกับสุนัขก็ได้มีมิตรธรรต่อกันแล้ว"


เสนกะแม้กราบทูลข้อความนี้ไป  ก็หาได้รู้ความหมายของถ้อยคำที่ตนกราบทูลนั้นไม่

ส่วนพระราชาทรงทราบความหมายได้ดี  เพราะเหตุการณ์ได้ปรากฏแก่พระองค์ตรงกับที่เสนกะกราบทูล เพราะฉะนั้น  พระองค์จึงเข้าพระทัยว่าเสนกะรู้  แล้วตรัสถามปุกกุสะต่อไปว่า  "ท่านปุกกุสะ "

ปุกกุสะกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่พระองค์  ข้าพระบาทได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตประจำราชสำนักของพระองค์  ปัญหาเพียงเท่านี้จะแก้ไม่ได้เทียวหรือ  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "ขอให้ท่านอาจารย์ว่าไป"

ปุกกุสะ  จึงกราบทูลไปตามที่ได้เรียนมาจากมโหสธว่า


"ชนทั้งหลาย  ใช้หนังแพะสำหรับปูบนหลังม้า  เพราะ
นั่งสบายไม่ใช่หนังสุนัข  บัดนี้แพะกับสุนัขก็ได้มีมิตรธรรมต่อกันแล้ว"


ปุกกุสะมิได้เข้าใจความหมายของข้อความที่ตนกราบทูลไปนั้น  เพราะมิได้เกิดจากความคิดของตนเอง

ส่วนพระราชาทรงทราบความหมายและทรงเข้าพระทัยว่า  ปุกกุสะรู้  จึงตรัสแก่กามินทะต่อไปว่า  "อาจารย์กามินทะว่าต่อไปซิ"

กามินทะจึงกราบทูลความตามที่ได้เรียนมาจากมโหสธว่า


"แพะมีเขาโค้ง  สุนัขไม่มีเขา  แพะกินหญ้า  สุนัขกินเนื้อ  
บัดนี้  แพะกับสุนัขก็ได้มีมิตรธรรมต่อกันแล้ว"


กามินทะหาได้รู้ความหมายที่ตนกราบทูลไปนั้นไม่  พระราชาเข้าพระทัยว่ากามินทะก็รู้เนื้อความ  จึงรับสั่งแก่เทวินทะต่อไปว่า  "เอ้า  อาจารย์เทวินทะว่าไปบ้าง"

เทวินทะจึงกราบทูลตามที่ได้เรียนรู้มาจากมโหสธเหมือนกันว่า  


"แพะกินหญ้ากินใบไม้  ไม่ไล่กระต่ายหรือแมว  สุนัข
ไม่กินหญ้า  ไม่กินใบไม้  แต่ไล่กระต่าย  ไล่แมว  
บัดนี้แพะกับสุนัขก็ได้มีมิตรธรรมต่อกันแล้ว"


เทวินทะมิได้รู้ความหมายที่ตนได้กราบทูลไปนั้น  พระราชาทรงทราบและเข้าพระทัยว่าเทวินทะนี้รู้เนื้อความ  จึงรับสั่งถามมโหสธต่อไปว่า  "มโหสธบัณฑิต  เจ้ารู้แก้ปัญหานี้แล้วหรือ ?"


.................................

(ยังมีต่ออีก)






















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น