แก้ปัญหา เรื่อง แพะกับสุนัข (ต่อ)
เสนกะไม่เข้าใจในปัญหานั้น ให้มืดมัวเหมือนอยู่ในห้องมืด จึงอยากจะรู้ว่ามโหสธคิดอย่างไร จึงเหลียวมองมโหสธก็พอดีกับมโหสธมองมา เสนกะก็รู้ว่า มโหสธก็ยังคิดไม่ออก และรู้ความประสงค์
ของมโหสธที่อยากจะขอเลื่อนกำหนดแก้ปัญหาออกไปสัก ๑ วัน จึงหัวเราะขึ้นด้วยความภาคภูมิใจที่ตนเป็นคนสนิทกับพระราชามานานแล้ว กราบทูลว่า "ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท หากข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ พระองค์จะทรงขับไล่ข้าพระบาททั้งหลายออกจากแว่นแคว้นจริง ๆ หรือ พระเจ้าข้า"
พระราชาตรัสว่า "จริง ๆ ซิบัณฑิต เราเป็นกษัตริย์ ตรัสแล้วไม่คืนคำ"
เสนกะกราบทูลต่อไปว่า "ขอเดชะ ข้าแต่พระจอมประชากร ปัญหานี้มีเงื่อนงำสลับซับซ้อน จะต้องใช้เวลาหน่อย และก็ควรไตร่ตรองในที่สงัดเงียบคนเดียว หากจะคิดในเวลานี้คงไม่ถนัด เพราะมีผู้คนมากทำให้อารมณ์ฟุ้งซ่าน ข้าพระพุทธเจ้าหวังในพระมหากรุณาปกเกล้าปกกระหม่อม ขอเลื่อนการแก้ปัญหานี้ในวันต่อไปเถิด พะย่ะค่ะ"
พระราชาได้สดับถ้อยคำของเสนกะก็ดีพระทัย ตรัสว่า "เอาเถอะ เรายอมเลื่อนให้ เจ้าจะได้มีเวลาคิด แต่ถ้าคิดแก้ไม่ได้ เราจะขับให้พ้นจากแว่นแคว้นโดยไม่มีเงื่อนไข" พอตรัสเสร็จก็เสด็จออกจากท้องพระโรง
บัณฑิต ๔ คน ออกจากท้องพระโรงไปด้วยกัน ต่างก็ปรึกษากันว่า "พวกเราท่าจะแย่แล้วครั้งนี้ จะทำอย่างไรดี"
เสนกะผู้มีอาวุโสกว่าบัณฑิตเหล่านั้น จึงพูดตัดบทว่า "พวกเราไปนั่งคิดที่บ้านของตน ๆ เถิด" แล้วต่างฝ่ายต่างก็แยกไปบ้านของตน ๆ
ส่วนมโหสธเดินออกมาทีหลังไม่พูดจากับใคร รีบตรงไปเฝ้าพระนางอุทุมพรเทวีทันที พอไปถึงก็ทูลถามว่า "ข้าแต่พระเทวีเจ้า ข้าพระบาทอยากทราบว่า วันนี้หรือวานนี้ พระราชาประทับอยู่ที่ไหนนาน ?"
พระนางอุทุมพรรับสั่งว่า "เมื่อวานนี้ พระทูลกระหม่อมเสด็จดำเนินไปมาระหว่างพื้นยาวปราสาท แล้วทอดพระเนตรออกไปข้างนอกเป็นเวลานาน"
มโหสธบัณฑิตดำริว่า "พระราชาคงทอดพระเนตรเห็นอะไร ๆ ตรงนั้นเป็นแน่" จึงทูลลาพระนางอุทุมพรเทวีไป ณ ที่นั้น แลดูออกไปข้างนอก ก็ได้เห็นอาการของแพะกับสุนัข ซึ่งแสดงความสนิทสนมชิดชอบอยู่ ก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่า "พระราชาคงทอดพระเนตรเห็นสัตว์ทั้งสองนี้เป็นแน่ จึงทรงผูกปัญหาขึ้น" เมื่อมโหสธได้เค้าความดังนี้แล้วจึงกลับไปบ้าน
ฝ่ายบัณฑิตทั้ง ๔ คือ เสนกะ ปุกกุสะ กามินทะ เทวินทะ กลับบ้านไปเดินคิดก็แล้ว นั่งคิดก็แล้ว ไม่เห็นความของปัญหานั้นเลย ทั้ง ๔ จึงมาพบกันแล้วปรับทุกข์กัน ต่างก็เกรงจะถูกขับไล่จากแว่นแคว้น จึงปรีกษากันว่า "ควรไปหามโหสธ เผื่อจะได้เค้าความของปัญหาบ้าง" เมื่อเห็นชอบพร้อมกันแล้ว จึงพากันไปบ้านมโหสธบัณฑิต
มโหสธบัณฑิตเมื่อทราบว่าบัณฑิตทั้ง ๔ มาหา จึงออกไปรับที่ประตูบ้าน แล้วเชิญเข้าข้างใน เมื่อทุกคนนั่งในที่สมควรแก่ตนเรียบร้อยแล้ว บัณฑิตทั้ง ๔ จึงเริ่มถามมโหสธว่า "ท่านบัณฑิต คิดปัญหาได้แล้วหรือยัง ?"
มโหสธตอบว่า "ขอรับ ผมคิดได้แล้ว"
บัณฑิตทั้ง ๔ ถามว่า "ถ้าเช่นนั้น ท่านจงบอกข้าพเจ้าบ้างซิ"
มโหสธดำริว่า "ถ้าเราไม่บอก บัณฑิตทั้ง ๔ ก็จะถูกพระราชากริ้ว จะต้องถูกขับออกจากแว่นแคว้น เพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม จึงไม่ควรต้องให้บัณฑิตทั้ง ๔ ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ในราชสำนักต้องได้รับความเดือดร้อนถึงเพียงนั้นเลย" ดำริแล้วมโหสธจึงพูดว่า "เอาเถอะขอรับ ผมจะบอกให้" แล้วให้บัณฑิตทั้ง ๔ นั่งอาสนะที่ต่ำกว่าตน เพราะแม้มโหสธมีอายุอ่อนกว่าบัณฑิตทั้ง ๔ แต่ก็สูงกว่าในทางปัญญา ผู้มีปัญญาแม้มีอายุน้อย ก็ควรที่ผู้ใหญ่จะต้องแสดงความเคารพ เพื่อรับความรู้จากผู้น้อย
เมื่อบัณฑิตทั้ง ๔ นั่ง ณ อาสนะที่ต่ำกว่าแล้ว มโหสธจึงให้เรียนข้อแก้ปัญหาคนละข้อ
บัณฑิตทั้ง ๔ เมื่อเรียนได้คล่องแล้วต่างก็ดีใจ ลามโหสธกลับบ้าน
รุ่งขึ้น พวกบัณฑิตก็พากันไปประชุม ณ ท้องพระโรง รอเข้าเฝ้าพระราชา พอได้เวลาพระราชาก็เสด็จสู่ท้องพระโรง ประทับนั่งบนพระแท่นที่ประทับ เมื่อทอดพระเนตรเห็นบัณฑิตและหมู่ข้าเฝ้าอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว จึงมีพระราชดำริถามเสนกบัณฑิตผู้ใหญ่ก่อนว่า "ท่านอาจารย์เสนกะ ท่านคิดแก้ปัญหาได้แล้วหรือยัง ?"
เสนกะกราบทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า เมื่อข้าพระบาทคิดแก้ไม่ได้ คนอื่นใครเล่าจักแก้ได้ พระเจ้าข้า"
พระราชา "ดีแล้ว ท่านอาจารย์ว่าไปเถิด"
เวยกะจึงกราบทูลไปตามที่ตนได้เรียนมากับมโหสธว่า
"คนทั้งหลายชอบรับประทานเนื้อแพะ แต่ไม่ชอบ
รับประทานเนื้อสุนัข บัดนี้แพะกับสุนัขก็ได้มีมิตรธรรต่อกันแล้ว"
เสนกะแม้กราบทูลข้อความนี้ไป ก็หาได้รู้ความหมายของถ้อยคำที่ตนกราบทูลนั้นไม่
ส่วนพระราชาทรงทราบความหมายได้ดี เพราะเหตุการณ์ได้ปรากฏแก่พระองค์ตรงกับที่เสนกะกราบทูล เพราะฉะนั้น พระองค์จึงเข้าพระทัยว่าเสนกะรู้ แล้วตรัสถามปุกกุสะต่อไปว่า "ท่านปุกกุสะ "
ปุกกุสะกราบทูลว่า "ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ ข้าพระบาทได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตประจำราชสำนักของพระองค์ ปัญหาเพียงเท่านี้จะแก้ไม่ได้เทียวหรือ พระเจ้าข้า"
พระราชา "ขอให้ท่านอาจารย์ว่าไป"
ปุกกุสะ จึงกราบทูลไปตามที่ได้เรียนมาจากมโหสธว่า
"ชนทั้งหลาย ใช้หนังแพะสำหรับปูบนหลังม้า เพราะ
นั่งสบายไม่ใช่หนังสุนัข บัดนี้แพะกับสุนัขก็ได้มีมิตรธรรมต่อกันแล้ว"
ปุกกุสะมิได้เข้าใจความหมายของข้อความที่ตนกราบทูลไปนั้น เพราะมิได้เกิดจากความคิดของตนเอง
ส่วนพระราชาทรงทราบความหมายและทรงเข้าพระทัยว่า ปุกกุสะรู้ จึงตรัสแก่กามินทะต่อไปว่า "อาจารย์กามินทะว่าต่อไปซิ"
กามินทะจึงกราบทูลความตามที่ได้เรียนมาจากมโหสธว่า
"แพะมีเขาโค้ง สุนัขไม่มีเขา แพะกินหญ้า สุนัขกินเนื้อ
บัดนี้ แพะกับสุนัขก็ได้มีมิตรธรรมต่อกันแล้ว"
กามินทะหาได้รู้ความหมายที่ตนกราบทูลไปนั้นไม่ พระราชาเข้าพระทัยว่ากามินทะก็รู้เนื้อความ จึงรับสั่งแก่เทวินทะต่อไปว่า "เอ้า อาจารย์เทวินทะว่าไปบ้าง"
เทวินทะจึงกราบทูลตามที่ได้เรียนรู้มาจากมโหสธเหมือนกันว่า
"แพะกินหญ้ากินใบไม้ ไม่ไล่กระต่ายหรือแมว สุนัข
ไม่กินหญ้า ไม่กินใบไม้ แต่ไล่กระต่าย ไล่แมว
บัดนี้แพะกับสุนัขก็ได้มีมิตรธรรมต่อกันแล้ว"
เทวินทะมิได้รู้ความหมายที่ตนได้กราบทูลไปนั้น พระราชาทรงทราบและเข้าพระทัยว่าเทวินทะนี้รู้เนื้อความ จึงรับสั่งถามมโหสธต่อไปว่า "มโหสธบัณฑิต เจ้ารู้แก้ปัญหานี้แล้วหรือ ?"
.................................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น