วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๒๓)


ผู้ทรยศ  (ต่อ)

รุ่งขึ้น  อาจารย์ทั้ง  ๔  ถือพระแสงขรรค์ยืนอยู่ที่ประตูวังแต่เช้า  เมื่อไม่เห็นมโหสธมาก็เสียใจ  ไปเฝ้าพระราชา  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ไม่เห็นมโหสธมา  พระเจ้าข้า"

พระราชามิได้ตรัสประการใด  ประทับยืนทอดพระเนตรไปทางช่องพระแกล

ขณะนั้น  มโหสธนั่งอยู่บนรถมีมหาชนห้อมล้อมไปแน่นขนัด  พอถึงประตูวังเหลือบไปเห็นพระราชาประทับยืนอยู่ตรงช่องพระแกล  ก็ลงจากรถถวายบังคมพระราชาแล้วยืนอยู่  ณ  ที่นั้น

พระราชาทอดพระเนตรเห็นกิริยาของมโหสธดังนั้น  ทรงดำริว่า  "ถ้ามโหสธคิดทรยศต่อเรา ที่ไหนเขาจะไหว้เรา"  จึงตรัสให้เรียกมโหสธมาเฝ้า

มโหสธเข้าไปกราบถวายบังคม  แล้วนั่งในที่อันควรแก่ตน  บัณฑิตทั้ง  ๔  ก้นั่งอยู่  ณ ที่นั้นด้วย

พระราชาทำเป็นไม่ทรงทราบอะไร  ตรัสถามมโหสธว่า  "พ่อมโหสธเมื่อวานนี้  ทำไมท่านจึงกลับไปก่อน  และเพิ่งมาเดี๋ยวนี้  ท่านรังเกียจเพราะได้ฟังอะไรหรือ  หรือใครพูดอะไรแก่ท่าน  ขอให้ท่านบอกแก่เราไปเถิด  เราจะฟัง"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระจอมประชากร  พระองค์ทรงเชื่อคำกล่าวร้ายป้ายสีของบัณฑิตทั้ง  ๔  แล้วมีพระบรมราชโองการให้ฆ่าพระพุทธเจ้า  เหตุนี้แหละ  ข้าพระพุทธเจ้าจึงยังไม่มาเฝ้าตามเวลาที่กำหนดให้ฆ่าข้าพระองค์  อนึ่งเล่า  พระองค์ได้ตรัสความลับที่รับสั่งแก่บัณฑิตทั้ง  ๔  กับพระนางอุทุมพรเทวี  เมื่อตอนกลางคืน  ข้าพระบาทก็ได้ทราบความลับนั้นจนหมดสิ้นแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำของมโหสธดังนั้น ทรงรู้สึกแปลบปลาบในพระราชหฤทัยที่ความลับของพระองค์รั่วไหลไปเช่นนั้น ทรงพิโรธ  หันพระพักตร์จ้องไปทางพระนางอุทุมพรราชเทวี  เพระาทรงแน่พระทัยว่า  พระนางเป็นผู้เปิดเผยความลับให้มโหสธรู้ความ  ทรงนิ่งอึ้ง พระพักตร์หม่นหมอง

มโหสธเห็นพระอาการของพระราชาดังนั้น  ก็ทราบว่า  ทรงพิโรธพระนางอุทุมพรเทวี  จึงกราบทูลว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  พระองค์ทรงพิโรธพระราชเทวีทำไม  ข้าพระพุทธเจ้าทราบเหตุการณ์ทั้งอดีต  อนาคต  และปัจจุบันได้ดี  ข้อที่พระนางตรัสความลับของพระองค์แก่ข้าพระพุทธเจ้านั้น  เก็บไว้ก่อน  คือ  อย่าเพิ่งพูดถึง  ข้าพระพุทธเจ้าจะขอกราบทูลให้ทรงทราบว่า  ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบถึงความลับของบัณฑิตทั้ง  ๔  ได้โดยไม่มีผู้ใดบอกเล่าแก่ข้าพระพุทธเจ้าเลย"

พระราชาทรงแปลกพระทัยในถ้อยคำของมโหสธ  ที่ว่ารู้ความลับของบัณฑิตทั้ง  ๔  จึงมีพระประสงค์จะทราบว่า  บัณฑิตทั้ง  ๔  มีความลับอะไรหรือ  จึงรับสั่งว่า  "ดูก่อนมโหสธ  ที่ท่านว่าท่านรู้ความลับของบัณฑิตทั้ง  ๔  นั้นขอให้ท่านบอกมาโดยไม่ต้องเกรงกลัวใคร"

มโหสธ  "ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ  เสนกะได้ทำกรรมชั่วไว้  และปกปิดเป็นลับตลอด  คือ  ได้ฆ่าหญิงแพศยานางหนึ่งในสวนรังใกล้เมืองนี้เอง  แล้วเอาเครื่องประดับใส่ห่อผ้านำไปเก็บไว้ในเรือน  แขวนอยู่ที่ไม้ทำเป็นเหมือนงาช้าง  เสนกะได้แจ้งเรื่องนี้แก่สหายคนหนึ่ง  ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบความลับของ
เสนกะมาดังนี้  ข้าพระพุทธเจ้ามิได้เป็นกบถต่อพระองค์  เสนกะนั่นแหละเป็นขบถ  ขอพระองค์ได้รับสั่งให้จับเสนกะคนขบถเถิด  พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชาทอดพระเนตรดูเสนกะ  แล้วตรัสถามว่า  "เสนกะ  ตามที่มโหสธพูดนั้น  เป็นความจริงหรือ ?"

เสนกะ  "เป็นควมจริง  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "เอาเสนกะไปขังไว้ในเรือนจำ"

ราชบุรุษได้นำเสนกะไปขังไว้ในเรือนจำ  ตามพระกระแสรับสั่ง  แล้วพระราชาตรัสถามมโหสธว่า  "คนอื่น ๆ  มีความลับอย่างไรอีก  พ่อมโหสธจงเล่าไป ?"

มโหสธ  "ข้าแต่พระจอมวิเทหรัฐ  ปุกกุสะมีความลับอยู่อย่างหนึ่ง  คือ  เป็นโรคเรื้อนที่ขา  เขาได้บอกความลับแก่น้องชาย  อนึ่ง  พระองค์เมื่อทรงพระเยาว์  ได้เคยเอาพระเศียรพาดที่ขาปุกกุสะบ่อย ๆ  ด้วยทรงเข้าพระทัยว่าขาปุกกุสะอ่อน  ที่แท้ปุกกุสะเอาผ้าพันโรคเรื้อนไว้ที่โคนขา  ข้าพระองค์ได้ทราบ
ควมลับของปุกกุสะอย่างนี้  พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชาทอดพระเนตรดูปุกกุสะ  แล้วตรัสถามว่า  "เป็นความจริงหรือ ปุกกุสะ

ปุกกุสะสารภาพว่า  "เป็นความจริง  พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชา  "เอาปุกกุสะไปขังไว้ในเรือนจำ

มโหสธได้กราบทูลความลับของกามินท์ต่อไปว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ  กามินท์ถูกยักษ์ชื่อนรเทพสิง  ได้ร้องเสียงเหมือนสุนัขบ้า  กามินท์ได้แจ้งความลับนี้แก่บุตร  ข้าพระองค์ได้ความลับของกามินท์มาดังนี้  กามินท์จึงไม่สมควรเข้าไปภายในพระราชฐาน  พระพทุธเจ้าข้า"

พระราชาทอดพระเนตรดูกามินท์  แล้วตรัสถามว่า  "เป็นความจริงหรือกามินท์ ?"

กามินท์ทูลรับสารภาพว่า  "เป็นความจริง  พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชารับสั่งให้นำกามินท์ไปขังไว้ในเรือนจำ  แล้วรับสั่งกับมโหสธว่า  "พ่อมโหสธ  ยังเทวินท์อีกคนหนึ่งมีความลับอย่างไร  เล่าไปซิ"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  ท้าวสุขัมบดีเทวราชได้ประทานมณีรัตนมงคลมี  ๘  เกลียว  แด่ท้าวกุสราพระอัยกาของพระองค์  บัดนี้  มณีรัตน์นั้นได้ตกไปอยู่ที่เทวินท์   เทวินท์ได้บอกความลับนี้แก่มารดาของเขา  ข้าพระองค์ได้ทราบความลับของเทวินท์มาดังนี้  เทวินท์คิดคดทรยศต่อพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชาตรัสถามเทวินท์ว่า  "จริงหรือ  เทวินท์ ?"

เทวินท์กราบทูลว่า  "จริง  พระเจ้าข้า"

พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษนำเทวินท์เข้าไปขังไว้นเรือนจำรวมกับอาจารย์ทั้ง  ๓  เป็นอันว่า  อาจารย์ทั้ง  ๔ คน  ตั้งใจจะฆ่ามโหสธกลับต้องเข้าเรือนจำเสียเอง  เข้าหลักที่่า  "ให้ทุกข์แก่ท่าน  ทุกข์นั้นถึงตัว"

พระราชาตรัสกับมโหสธว่า  "พ่อมโหสธลูกรัก  ท่านมีอะไรจะพูดอีก  เชิญพูดมาเถิด"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบทูลแล้วว่า  บุคคลไม่ควรเปิดเผยความลับแก่ใคร ๆ  แต่อาจารย์ทั้ง  ๔  กลับพูดว่าความลับควรเปิดเผย  ในที่สุดอาจารย์ทั้ง  ๔  ก็ต้องได้รับโทษ  เพราะเปิดเผยความลับ  ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลยืนยันว่า

การปกปิดความลับไว้นั่นแหละดี  การเปิดเผย
ความลับ  ไม่ดีเลย  ผู้มีปัญญาพึงเปิดเผยความลับได้
ในเมื่อทำการสำเร็จแล้ว  บัณฑิตไม่ควรบอกความลับ
แก่สตรีและคนไม่ใช่มิตร"


พระเจ้าวิเทหราชทรงพิโรธอาจารย์ทั้ง  ๔  ที่ตัวเองทรยศ  แก่กลับใส่ไคล้มโหสธหาว่าทรยศกบฏต่อพระองค์  จึงรับสั่งกับเพชฌฆาตว่า  "จงไปนำตัวอาจารย์ทั้ง  ๔  ออกจากเรือนจำเอาไปนอกพระนคร  ให้นอนหงายบนหลาวแล้วตัดศีรษะเสีย"


......................................

(ยังมีต่ออีก)
















วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๒๒)



ผู้ทรยศ

อาจารย์ทั้ง  ๔  เมื่อมโหสธกลับไปแล้ว  อาจารย์เสนกะจึงกราบทูลพระราชาว่า  "ขอเดชะ  พระองค์จะทรงเชื่อพวกข้าพระบาทแล้วหรือยัง  บัดนี้ความก็ได้ปรากฏเป็นจริงตามที่พวกข้าพระบาทกราบทูลไว้แล้ว"

พระราชาได้สดับดังนั้น  ก็มิได้ทรงพิจารณาโดยถี่ถ้วน  ทรงเชื่อคำยุยงของบัณฑิตทั้ง  ๔  ว่า  มโหสธคิดทรยศเป็นแน่แล้ว  จึงตรัสถามเสนกะว่า  "อาจารย์เสนกะ  เราจะทำอย่างไรดี ?"

เสนกะได้ทีกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ฆ่าเสียเลย อย่าให้ทันรู้ตัว  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "อาจารย์เสนกะ  เราเห็นท่านคนเดียวที่มีความหวังดีต่อเรามาตลอดเวลา  คนอื่นเรามองไม่เห็นใคร  เรามอบธุระอันนี้ให้แก่ท่าน  ท่านจงไปชักชวนสหายของท่านคอยอยู่ภายในประตู  เมื่อ
มโหสธมาแต่เช้า  จงตัดศีรษะเสียด้วยพระแสงขรรค์นี้เลย  ตรัสแล้วจึงทรงส่งพระแสงขรรค์  ให้เสนกะไป"

เสนกะกราบทูลว่า  "ข้าพระพุทธเจ้าจะจัดการตามพระประสงค์ทุกประการ"  กราบทูลแล้วก็ชวนอาจารย์ทั้ง  ๓  กราบถวายบังคมลาออกไป  ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน  พอถึงถังข้าวใบใหญ่ที่เคยนั่งกันมาทุกคราว  ก็พากันขึ้นไปนั่งบนถังข้าว  ต่างดีใจที่จะได้กำจัดมโหสธให้พ้นไปเสียที

เสนกะเอ่ยขึ้นก่อนว่า  "ใครจะเป็นคนฆ่ามโหสธ "

อาจารย์ทั้ง  ๓  ตอบพร้อมกันว่า  "ท่านอาจารย์นั่นแหละ  ควรเป็นคนฆ่า"

เสนกะรับว่า  "ตกลง"  แล้วถามอาจารย์ทั้ง  ๓  ว่า  เรื่องที่ได้กราบทูลแก้ปัญหาเกี่ยวกับความลับว่า  ควรเปิดเผยแก่ใคร  แต่ละคนก็ทูลกันไปว่า  ควรบอกแก่คนนั้น ๆ  ที่ทูลไปเช่นนั้น  เพราะเกิดแก่ตนเองมาก่อน หรือได้เห็ได้ฟังมาจากที่อื่น ?"

อาจารย์ทั้ง  ๓  ย้อนถามเสนกะว่า  "ท่านอาจารย์  ก็ตามที่ท่านอาจารย์บอกว่า  ความลับควรเปิดเผยแก่สหายนั้น  ท่านอาจารย์เคยทำมาแล้ว  หรือได้เห็นได้ฟังมาอย่างไร ?"

เสนกะ  "เราเป็นผู้ทำเอง"

อาจารย์ทั้ง  ๓  "ขออาจารย์โปรดเล่าให้ฟัง"

เสนกะ  "ความลับที่เราจะเล่านี้  ถ้าพระราชาทรงทราบ  ชีวิตของเราเป็นดับแน่"

อาจารย์ทั้ง  ๓  "ไม่เป็นไรน่ะท่านอาจารย์  ที่นี่มีแต่พวกเรา  ไม่มีคนอื่นจะมาล่วงรู้ความลับของท่านอาจารย์ได้  โปรดเล่าไปเถิด"

เสนกะเคาะถังข้าวพูดขึ้นลอย ๆ  ว่า  "มโหสธแอบมาอยู่ในถังนี้เข้าก็ไม่รู้ ?"

อาจารย์ทั้ง  ๓  "เป็นไปไม่ได้ดอกท่านอาจารย์  มโหสธเป็นคนเมายศ  คงไม่เข้าไปอยู่ในนี้ดอก  คิดมากไปได้"

เสนกะ  "เอาละ  เราจะเล่าให้ฟัง  ท่านทั้ง  ๓  เคยรู้จักหญิงแพศยาที่ชื่อวสันตีในเมืองนี้หรือไม่ ?"

อาจารย์ทั้ง  ๓  รับว่า  "รู้จัก"

เสนกะจึงถามต่อไปว่า  "เดี๋ยวนี้วสันตียังอยู่  หรือหายไป ?"

อาจารย์ทั้ง  ๓  "ไม่พบเลย  ท่านอาจารย์"

เสนกะ  "จะพบได้อย่างไรเล่า  เราได้ร่วมประเวณีกับวสันตีที่สวนต้นรัง  เสร็จแล้วเราก็ฆ่านางเสีย  เก็บเอาเครื่องประดับของนางห่อผ้าไว้  เดี๋ยวนี้ยังแขวนอยู่ที่ไม้ทำเป็นเหมือนงาช้างในห้องเรือนเรา  เพราะยังไม่กล้านำออกใช้  ทั้งเครื่องนั้นก็เป็นของเก่า  เราได้นำความลับนี้ไปบอกแก่สหายคนหนึ่ง  สหายคนนั้นก็มิได้บอกใคร  ดังนี้แหละ  เราจึงว่า  ความลับควรบอกแก่สหาย  อาจารย์ปุกกุสะ  เรื่องของท่านล่ะเป็นอย่างไร  ?"

ปุกกุสะ  "ข้าพเจ้าเป็นโรคเรื้อนที่ขา  ข้าพเจ้าไม่เคยบอกให้ใครรู้นอกจากน้องชายของข้าพเจ้าเท่านั้น ข้าพเจ้าชำระแผล  ทายา  เอาผ้าพันไว้มิดชิด  พระราชาเมื่อทรงพระเยาว์เคยบรรทมที่ขาของข้าพเจ้าบ่อย ๆ  บัดนี้ทรงทราบว่า  ข้าพเจ้าเป็นโรคเรื้อน  ชีวิตข้าพเจ้าคงไม่แน่  ข้าพเจ้าว่าความลับควรเปิดเผยแก่น้องชายเท่านั้น  เพราะไม่ทำให้ผู้อื่นได้ล่วงรู้ต่อไปอีก"

เสนกะ  "อาจารย์กามินท์  โปรดเล่าเรื่องของท่าน"

กามินท์  "วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถแรม  ๑๕  ค่ำ    ยักษ์ชื่อนรเทพมาสิงข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าก็ร้องเหมือนสุนัขบ้า  ข้าพเจ้าบอกบุตร  บุตรรู้ว่าข้าพเจ้าถูกยักษ์สิง  จึงให้ไปนอนในห้อง  ปิดประตูแล้วหาดนตรีมาประโคมหน้าประตูเพื่อกลบเสียงของข้าพเจ้า  ด้วยเหตุนี้แหละ  ข้าพเจ้าจึงว่าควรบอกความลับแก่บุตร  เพระาไม่มีวันจะแพร่งพรายไปอื่นได้"

เสนกะ  "อาจารย์เทวินท์  โปรดเล่าเรื่องของท่าน"

เทวินท์  "ข้าพเจ้านำแก้วมณีที่เป็นสิริมงคลอันเป็นของหลวงมาขัด  แล้วก็ลักมงคลมณีนั้นมามอบให้มารดา  มารดาปกปิดไม่ให้ใครรู้  พอถึงเวลาจะเข้าเฝ้าพระราชา  มารดาก็นำมงคลมณีมาให้ข้าพเจ้า มงคลมณีนี้เมื่อไปอยู่กับใคร  ก็ทำให้เกิดสิริมงคลแก่ผู้นั้น  ดังนั้น  เมื่อข้าพเจ้าไปเฝ้าพระราชา  พระราชาจึงโปรดปรานข้าพเจ้าเป็นพิเศษ  ได้พระราชทานครั้งละ  ๘  กหาปณะบ้าง  ๑๖  กหาปณะบ้าง  บางครั้งถึง  ๖๔  กหาปณะ  แก่ข้าพเจ้าทุกวัน  ถ้าพระราชาทรงทราบอานุภาพของมณีมงคลนั้น  ข้าพเจ้าคงต้องตายอย่างแน่นอน  ด้วยเหตุนี้  ข้าพเจ้าจึงว่า  ความลับควรบอกแก่มารดา  และก็ได้บอกมาแล้ว"

มโหสธแอบอยู่ในถังข้าวใบนั้น  ได้ยินคำพูดของอาจารย์ทั้ง  ๔  โดยละเอียด  จึงจดจำไว้

อาจารย์ทั้ง  ๔  เมื่อต่างฝ่ายต่างเปิดเผยความลับของกันและกันจนสิ้นแล้ว  จึงกำชับกันว่า  อย่าได้นำความลับอันนี้ไปแพร่งพรายเป็นอันขาด  แล้วก็เตือนเรื่องที่จะฆ่ามโหสธในวันพรุ่งนี้เช้า  เมื่อต่างเข้าใจกันดีแล้วก็กลับไป

คนติดตามของมโหสธเห็นอาจารย์ทั้ง  ๔  กลับไปแล้ว  จึงช่วยกันยกถังข้าวขึ้นให้มโหสธออก  มโหสธกลับถึงบ้าน  อาบน้ำแต่งตัว  บริโภคอาหารเสร็จแล้ว  ก่อนเข้านอนได้สั่งคนเฝ้าประตูว่า  "ถ้ามีคนมาจากพระราชวังมาหาเรา  ให้รีบบอกโดยไว"  สั่งเสร็จแล้วก็เข้านอน

พระเจ้าวิเทหราช  ขณะเข้าที่บรรทม  ทรงอนุสรณ์ถึงคุณของมโหสธว่ามโหสธบัณฑิตรับราชการมาตั้งแต่อายุได้  ๗  ขวบ  ไม่เคยทำความเสื่อมเสียแก่เราแม้แต่น้อย  ได้ทำแต่ความเจริญรุ่งเรืองตลอดมา  เมื่อครั้งเทวดาถามปัญหา  ถ้าเราไม่ได้มโหสธ  เราก็คงตายแน่  วันนี้เรามอบพระขรรค์ให้เสนกะไปฆ่ามโหสธตอนเช้าพรุ่งนี้  เพราะเราหลงเชื่อถ้อยคำยุยงของอาจารย์ทั้ง  ๔  เรารู้สึกตัวว่า  ได้ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ  เราไม่รู้จักคุณมโหสธ  ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเราจะไม่เห็นหน้ามโหสธอีกแล้ว  ทรงรำพึงดังนี้แล้ว  ก็เศร้าโศกจนพระเสโทไหลโซมพระกาย

พระนางอุทุมพรเทวีทอดพระเนตรเห็นพระอาการของพระสามีดังนั้น  จึงดำริว่า  "เราได้ทำผิดอะไรไปหรือ  จึงทำให้พระสามีทรงระทมไปเช่นนี้  หรือพระสามีทรงมีเรื่องราวขุ่นพระทัยอย่างไร  เกิดขึ้นแก่พระองค์"  ดำริดังนี้แล้ว  จึงทูลถามว่า  "ข้าแต่พระราชสามี  พระองค์ทรงมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นหรือ  จึงดูทรงเศร้าหมองไม่ผ่องใส  หรือหม่อมฉันทำผิดอย่างไรให้เป็นที่ไม่พอพระราชหฤทัยของพระองค์  เพคะ"

พระราชาตรัสว่า  "ความในใจของเรามีอยู่  แต่ไม่ใช่เพราะเธอทำผิดอะไร  เราเองเป็นผู้ผิด"

พระนางอุทุมพรทูลถามว่า  "พระองค์ทำผิดอย่างไรหรือ  เพคะ"

พระราชา  "เมื่อตอนกลางวันวันนี้  เรารับสั่งบัณฑิตทั้ง  ๔  คน  ให้ฆ่ามโหสธพรุ่งนี้เช้า  เพราะบัณฑิตทั้ง  ๔  ได้มาแจ้งเรื่องมโหสธคิดกบฎต่อเรา  เราเชื่อทันที  โดยไม่ได้สอบสวนข้อเท็จจริง  เราคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ไม่สบายใจเลย"

พระนางอุทุมพรเทวีพอทราบเรื่องก็ทรงโทมนัสด้วยความรักและสงสารมโหสธที่จะถูกฆ่า  พระนางดำริอุบายได้อย่างหนึ่ง  คือ  เมื่อพระราชาบรรทมหลับ  จะส่งข่าวให้มโหสธทราบเรื่องไว้  แล้วพระนางก็ทูลปลอบให้พระราชาทรงบรรเทาความกระวนกระวายพระทัย  มิให้ทรงคิดอะไรมากเกินไป  เมื่อทรงให้ประหารผู้ที่คิดร้ายเช่นมโหสธก็สมควรแล้ว  พระราชาทรงบรรเทาความวิตกลงไปได้ก็บรรทมหลับไป

พระราชเทวีเสด็จลุกจากที่บรรทมเข้าห้องทรงพระอักษรส่งข่าวให้มโหสธทราบ  มีใจความว่า  "พ่อ
มโหสธน้องรัก  เวลานี้พระราชากริ้วน้องมาก  เพราะอาจารย์ทั้ง  ๔  มากราบทูลยุยงพระราชาว่า  น้องจะคิดกบฎ  พระราชาทรงเชื่อจึงรับสั่งให้อาจารย์ทั้ง  ๔  คอยฆ่าน้องที่ประตูราชวังพรุ่งนี้  เพราะฉะนั้น  ในวันพุร่งนี้  น้องอย่าเข้าไปยังราชสำนักเลย  หากจะไปก็ควรจัดกองรักษาไว้ให้มั่นคงแข็งแรง  และอย่าไปคนเดียว  ควรมีมหาชนห้อมล้อมเป็นเกียรติยศไป"  ครั้นทรงพระอักษรเสร็จจึงสอดเข้าไปในห่อ  เอาด้ายผูกวางลงในสุวรรณภาชนะใหม่  ปิดฝาประทับพระราชสัญจกร  ประทานแก่นางข้าหลวงแล้วตรัสว่า  "เจ้าจงนำของสิ่งนี้ไปให้มโหสธน้องชายเรา"

นางข้าหลวงรับของนั้นแล้วจึงไปบ้านมโหสธในเวลากลางคืนนั้นเอง  เมื่อไปถึงจึงนำสุวรรณภาชนะเข้าไปให้มโหสธ  บอกว่า  "ของสิ่งนี้พระนางอุทุมพรเทวีพระราชทานมา"

มโหสธรับสุวรรณภาชนะ  แล้วให้นางข้าหลวงกลับ  เปิดฝาสุวรรณภาชนะ  เห็นห่อ  แก้ออกจึงพบหนังสือ  คลี่ออกอ่าน  ก็ได้ทราบความตามที่พระนางบอกมา ไม่รู้สึกวิตกแต่อย่างไร  เข้านอนหลับสนิท


...................................

(ยังมีต่ออีก)

























วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๒๑)



คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้  (ต่อ)

เทวดามีความเลื่อมใสต่อมโหสธ  ซ้องสาธุการเป็นคำรบ  ๔  และซัดผอบเต็มด้วยแก้ว  ๗  ประการมาตกลงแทบเท้าของมโหสธเป็นเครื่องสักการบูชา

พระราชาทรงเลื่อมใส  ได้พระราชทานตำแหน่งมหาเศรษฐีให้แก่มโหสธ  ตั้งแต่นั้นมามโหสธก็ปรากฏเกียรติยศยิ่งใหญ่  มีความรุ่งเรืองยิ่งกว่าบัณฑิตทั้ง ๔



ผู้ทรยศ

บัณฑิตทั้ง  ๔  เมื่อเห็นความรุ่งเรืองของมโหสธเหนือตนเช่นนั้น  จึงปรึกษากันอีกว่า  "บัดนี้  มโหสธรุ่งโรจน์ยิ่งนัก  พวกเราอับเฉาลงทุกวัน  จะทำอย่างกันดี"

เสนกะจึงพูดว่า  "เรามีอุบายอยู่อย่างหนึ่งแล้ว  คือ  เราทั้ง  ๔  ไปหามโหสธด้วยกัน  แล้วถามมโหสธดูว่า ขึ้นชื่อว่าความลับ  ควรบอกแก่ใคร  ถ้ามโหสธบอว่า  ไม่ควรบอกแก่ใคร  เราก็จะกราบทูลพระราชาว่า มโหสธทำตนเป็นข้าศึกแก่พระองค์  อุบายนี้พวกท่านจะเห็นเป็นอย่างไร"

บัณฑิตทั้ง  ๓  เห็นชอบด้วย  จึงพากันไปบ้านมโหสธทั้ง  ๔  คน  ขึ้นไปบนเรือน  เห็นมโหสธกำลังนั่งอยู่ เสนกะจึงพูดขึ้นว่า  "ท่านบัณฑิต  ข้าพเจ้าขอโอกาสถามปัญหาสักข้อเถอะ"

มโหสธ  "เชิญอาจารย์ถามได้"

เสนกะถาม   "คนที่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต  ควรตั้งอยู่ในธรรมอะไร ?"

มโหสธตอบ   "ควรตั้งอยู่ในความจริง"

เสนกะ   "ผู้ตั้งอยู่ในความจริงแล้วจะควรทำอะไรต่อไป ?"

มโหสธ   "ควรแสวงหาทรัพย์"

เสนกะ   "เมื่อได้ทรัพย์แล้ว  ควรทำอะไร?"

มโหสธ   "ควรคบมิตร"

เสนกะ   "คบมิตรแล้ว  ควรทำอะไรอีก ?"

มโหสธ   "ควรเรียนความคิดอ่านจากมิตร"

เสนกะ   "เรียนความคิดอ่านจากมิตรได้แล้ว  ควรทำอะไรอีก ?"

มโหสธ   "ถ้าความคิดอ่านที่ได้จากมิตรเป็นความลับ  ก็ไม่ควรบอกความลับนั้นแก่ใคร"

บัณฑิตทั้ง  ๔  ดีใจที่อบายขั้นต้นสำเร็จ  จึงลากลับ  คิดกันว่า  เห็นความพินาศของมโหสธอยู่รำไร ๆ  แล้ว  ครั้นกลับมาจึงตรไปเฝ้าพระราชาทันที  เสนกะกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่พระองค์  มโหสธคิดกบฏต่อพระองค์  พระเจ้าข้า"

พระราชาตรัสห้ามว่า  "หยุด  อย่าพูดว่ามโหสธเป็นกบฎต่อเรา  เราไม่เชื่อท่านแล้ว"

บัณฑิตทั้ง  ๔  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พระอาญาไม่พ้นเกล้า  พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้ง  ๔  ขอยืนยันว่า  ที่กราบทูลไปนั้นเป็นความจริง  หากมิทรงเชื่อ  ก็ขอได้โปรดถามมโหสธดูว่า  ความลับของเขา  เขาควรบอกแก่ใคร  ถ้าเขาไม่เป็นกบฏต่อพระองค์  เขาก็จะกราบทูลว่า  ควรบอกแก่คนนั้น  ๆ  ถ้าเขาเป็นกบฏ เขาก็จะกราบทูลว่า  ไม่ควรบอกแก่ใคร ๆ  ต่อเมื่อทำการสำเร็จ  จึงควรบอก  ดังนี้แหละ  พระองค์จะหมดสงสัยและจะเชื่อข้าพระพุทธเจ้า"

พระราชารับว่า  "เอาเถอะเราจะลองถามมโหสธดู"  จึงรับสั่งให้เรีกมโหสธมาเฝ้า  ครั้นมโหสธมาเฝ้าแล้ว  จึงตนัสถามขึ้นในที่ชุมนุมบัณฑิตทั้ง  ๔  ว่า  "บุคคลควรเปิดเผยความลับแก่ใคร ?"

เสนกะคิดว่า  "เราจะให้พระราชาร่วมความคิดเห็นกับเราก่อน"  คิดแล้วจึงกราบทูลว่า  


"ข้าแต่พระภูมิบาล  ขอพระองค์ทรงเปิดเผยแก่
เหล่าข้าพระองค์ก่อน  ว่าความลับควรเปิดเผยแก่ใคร
ทั้งนี้  เหล่าข้าพระองค์จะขอฟังความคิดเห็นของ
พระองค์  แล้วจึงจะกราบทูลให้เป็นที่พอพระราชหฤทัย
ในภายหลัง"


พระราชา


"ภรรยาที่มีความซื่อสัตย์ต่อสามี  เป็นที่รักของสามี
สามีที่ดีควรเปิดเผยความลับแก่ภรรยานั้น"


เสนกะดีใจที่พระราชามีความเห็นร่วมกับตน  จึงกราบทูลว่า


"บุคคลควรเปิดเผยความลับแก่สหายที่ร่วมสุข
ร่วมทุกข์  มีอุปการคุณแก่ตน"


พระราชาตรัสถามปุกกุสะว่า  "อาจารย์ปุกกุสะเล่า  ท่านเห็นอย่างไร  ควรบอกความลับแก่ใคร ?"

ปุกกุสะกราบทูลว่า


"บุคคลควรเปิดเผยความลับแก่พี่ชายหรือน้องชาย
ที่ตั้งอยู่ในศีลธรรม"


ตรัสถามกามินท์ว่า  "อาจารย์กามินท์เล่า  จะว่าอย่างไร ?"

กามินท์กราบทูลว่า

"บิดาควรเปิดเผยความลับของตนแก่บุตรที่เป็นอนุชาตบุตร"

ตรัสถามเทวินท์ว่า  "อาจารย์เทวินท์  จะว่าอย่างไร ?"

เทวินท์กราบทูลว่า


"บุตรควรเปิดเผยความลับแก่มารดาที่มีความรักต่อบุตร"

พระราชาทอดพระเนตรไปทางมโหสธ  ตรัสว่า  "มโหสธลูกรัก  เจ้าเป็นอย่างไร  ความลับควรจะบอกแก่ใคร ?"

มโหสธกราบทูลว่า


"การซ่อนความลับไว้นั่นแหละเป็นความดี  การเปิดเผย
ความลับไม่ดีเลย  บุคคลผู้ฉลาดเมื่อทำการยังไม่สำเร็จ
ก็ยังไม่ควรเปิดเผยความลับแก่ใคร  ต่อเมื่อทำการสำเร็จ
แล้วนั่นแหละ  จึงควรเปิดเผย"


เมื่อมโหสธกราบทูลจบ  พระราชาทรงเศร้าพระทัย  ทรงมองดูหน้าเสนกะ  เสนกะก็มองดูพระพักตร์พระราชา  มโหสธสังเกตเห็นพระพักตร์ของพระราชาแสดงความไม่พอพระทัยในการกราบทูลของตน  ทั้งได้เห็นกิริยาของเสนกะ  และพระราชาเช่นนั้นก็รู้ว่า  อาจารย์ทั้ง  ๔  คงกราบทูลยุยงพระราชาด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเราไว้ก่อนเป็นแน่  และปัญหาที่พระราชาตรัสถามก็เพื่อทดลองเรา  การรับราชการของเราช่างยุ่งยากแก่คนอื่นเสียจริง ๆ  ขืนทำต่อไปก็ยังไม่รู้ว่า  จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นข้างหน้าอีก  เห็นจะต้องกลับก่อน  คิดดังนี้แล้วมโหสธจึงถวายบังคมลาออกไป  เดินไป  คิดไปว่า  นี่มันเรื่องอะไรกันหนอ  คนหนึ่งบอกว่า  ควรเปิดเผยความลับแก่สหาย  คนหนึ่งว่า  ควรเปิดเผยแก่พี่ชายหรือน้องชาย  คนหนึ่งว่า  ควรเปิดเผยแก่บุตร  คนหนึ่งว่า  ควรเปิดเผยแก่มารดา  เรื่องนี้คนเหล่านั้นคงได้ทำกันมาแล้วเป็นแน่  จึงได้พูดไปตามที่ปรากฏแก่ตนเอง  เอาละ  เป็นได้รู้ดีกันในวันนี้แหละ  เราจะไปนั่งในถังข้าวใบที่อาจารย์ทั้ง  ๔  เคยไปนั่งปรึกษากันบนหลังถัง  เมื่อออกจากที่เฝ้าแล้วพอเดินมาถึงถังข้าว  จึงให้คนที่ติดตามไปด้วยนำเครื่องปูลาดมาปูลง  แล้วเอาถังครอบไว้  มโหสธก็เข้าไปนั่งอยู่ในนั้น  ก่อนเข้าไปได้บอกแก่ผู้ติดตามว่า  "ถ้าอาจารย์ทั้ง  ๔  มานั่งปรึกษากันเสร็จแล้วกลับไป  ให้ช่วยกันยกถังออก"



..........................................

(ยังมีต่ออีก)












วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้าที่ ๒๐)


คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้

พระราชาเมื่อถูกคุกคามเข้าดังนั้น  ให้รู้สึกกลัวมรณภัยยิ่งนัก  รุ่งขึ้นตรัสเรียกอำมาตย์  ๔  นายมารับสั่งว่า  "เจ้าทั้ง  ๔  จงขึ้นรถไปคนละคัน  เที่ยวค้นหามโหสธบุตรของเราทั้ง  ๔  ด้าน  หากพบแล้ว  ขอให้เชิญตัวกลับโดยเร็ว"



อำมาตย์  ๔  นาย  เมื่อได้รับพระบรมราชโองการดังนั้นแล้ว  จึงพากันไปค้นหามโหสธตามที่ต่าง ๆ
อำมาย์คนหนึ่งได้ไปทางทักษิณทิศ  พบมโหสธที่บัานทักขิณยวมัชฌคาม  มโหสธกำลังขนดินเหนียวมาเพิ่งเสร็จ  เนื้อตัวเปื้อนดินเหนียว  นั่งบนตั่ง  ปั้นดินเหนียวเป็นปั้น ๆ  บริโภคข้าวไม่มีกับอยู่  ทำงานในบ้านช่างปั้นหม้อ

มโหสธเห็นอำมาตย์มา ก็รู้ว่า   จะมาหาตน  จึงดำริว่า  "นายนี่จะมาดีหรือมาร้ายแน่"  ครั้นอำมาตย์เข้าไปถึงตัว  มโหสธจึงถามว่า  "ท่านจะมาจับเราหรือ ?"

อำมาตย์  "เปล่า  ข้าพเจ้ารับพระบรมราชโองการมาเชิญให้ท่านกลับ"

มโหสธ  "ให้กลับไปทำไม  จะเอาเราเข้าตะรางหรือ ?"

อำมาตย์  "ท่านบัณฑิต  ไม่ใช่อย่างนั้น  ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง  ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการใช้ให้ข้าพเจ้ามาเชินท่านครั้งนี้  ก็เพราะคืนวันหนึ่งเทวดาผู้สิงอยู่  ณ  เศวตฉัตรได้ถามปัญหาพระราชา  ๔  ข้อ  พระราชาแก้ไขไม่ได้  ขอผัดถามบัณฑิตทั้ง  ๔  ในวันรุ่งขึ้น  บัณฑิตเหล่านั้นก็แก้ไม่ได้  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านกลับไปเพื่อเหตุนี้  และขอให้กลับไปโดยเร็วด้วย"

มโหสธดีใจที่จะได้กลับบ้านเดิมและพบนางอมร  จึงเข้าไปลานายช่างหม้อเจ้าของบ้าน  แล้วขึ้นนั่งบนรถทั้ง ๆ  ที่ตัวเปื้อนดินเหนียว  เข้าไปสู่พระนคร

อำมาตย์เข้าไปกราบทูลพระราชาว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระพุทธเจ้าได้พามโหสธเข้ามาเฝ้าแล้ว  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "เจ้าพบมโหสธที่ไหน ?"

อำมาตย์  "มโหสธทำหม้อขายเลี้ยงชีพอยู่ที่บ้านช่างหม้อ  ตำบลทักขิณยวมัชฌคาม  พอข้าพระพุทธเจ้าไปพบบอกว่าพระองค์รับสั่งให้เข้าเฝ้า  ก็มิได้อาบน้ำ  เนื้อตัวเปื้อนดินเหนียว  ขึ้นรถมากับข้าพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว พะย่ะค่ะ"

พระราชาทรงดำริว่า  "หากมโหสธจะเป็นศัตรูกับเรา  ก็คงทำตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่  เที่ยวหาพรรคพวกมาลิดรอนอำนาจเรา  คงไม่ทำตนอย่างที่เป็นอยู่นั้น  เราเชื่อแน่แล้วว่า  มโหสธมิได้เป็นศัตรูกับเรา"  ครั้นทรงดำริดังนั้นแล้ว  จึงรับสั่งแก่อำมาตย์ผู้นั้นว่า  "เจ้าจงกลับไปบอกมโหสธบุตรของเรา  ให้กลับไปบ้านอาบน้ำแต่งกายตามศักดิ์ที่เรามอบให้  เสร็จแล้วจึงมาหาเรา"

อำมาตย์ได้รับพระราชทานบัญชาแล้ว  จึงกลับไปบอกมโหสธตามที่ได้รับสั่งมา

มโหสธกลับไปบ้าน  พบนางอมรคอยมาต้อนรับอยู่  ได้เล่าความเป้นไปของตนให้นางทราบทุกประการ  แล้วขอตัวไปอาบน้ำ  แต่งกายตามศักดิ์ของตน  เสร็จแล้วไปเข้าเฝ้าพระราชา  ถวายบังคม  นั่ง  ณ  ที่ควรข้างหนึ่ง

พระเจ้าวิเทหราชตรัสปฏิสันถารกับมโหสธพอสมควรแล้ว  จึงตรัสเพื่อจะทรงทดลองมโหสธว่า

"คนบางพวกไม่ทำความชั่ว  เพราะเห็นว่าตนสมบูรณ์ด้วยอิสริยยศ  
บางพวกไม่ทำความชั่ว  เพราะเกรงตนจะถูกติเตียนกับเพราะเกรงเจ้านายผู้ให้ยศตน
จะถูกติเตียนไปด้วย  แต่เจ้าเป็นผู้มีความสามารถมีความคิดปลอดโปร่ง  
ถ้าเจ้าจะหวังครองราชสมบัติก็ได้  เหตุไรจึงไม่ชิงราชสมบัติของเรา  
ไม่ทำความเดือดร้อนให้เรา"


มโหสธกราบทูลว่า

"บัณฑิตย่อมไม่ทำความชั่ว  เพระาเหตุแห่งความสุขของตน  
ถึงแม้จะเคยรุ่งเรืองด้วยสมบัติมาก่อน  แต่ได้ถึงวิบัติในภายหลัง  
แม้จะถูกทุกข์ทับถมก็ไม่สลัดธรรมเพระาความรักหรือความชัง"


พระราชาทรงทดลองต่อไปว่า

"บุคคลที่เคยยากเข็ญ  ต่อมาได้รับสมบัติสมบูรณ์
ก็มีโอกาสที่จะตัดไมตรีจากผู้มีอุปการคุณได้มิใช่หรือ"


มโหสธกราบทูลว่า


"บุคคลนั่งหรือนอนที่เงาต้นไม้ใด  ก็ไม่ควรหักกิ่งต้นไม้นั้น  
เพระาผู้ที่หักกิ่งต้นไม้ชื่อว่าเป็นคนทำร้ายมิตรเป็นคนชั่ว

นรชนได้ความรู้แม้เล็กน้อยจากผู้ใดหรือผู้ใดแก้ความสงสัยให้สิ้นไป  
ผู้นั้นเป็นเหมือนเกาะอันเป็นที่พึ่งของนรชนจึงไม่ควรทำไมตรีจิตให้เสียไปจากท่าน"


มโหสธได้ถวายโอวาทต่อไปว่า

"บุคคลครองเรือน  แต่เกียจคร้าน ไม่งาม  นักบวชไม่สำรวมก็ไม่งาม  
พระราชาขาดความพินิจพิจารณาก็ไม่งาม  บัณฑิตขี้โกรธก็ไม่งาม  
พระราชาธิบดีทรงพินิจรอบคอบก่อนแล้ว  จึงทรงประกอบราชกิจ  
หากขาดการพินิจก่อน  ไม่ควรประกอบกิจ

อิสริยยศ  บริวารยศ  เกียติยศ  
ย่อมปรากฏแก่พระราชาผู้ทรงพิจารณาก่อนแล้วจึงบำเพ็ญราชกรณียกิจ"


ครั้นมโหสธกราบทูลจบ  พระราชาก็ทรงโสมนัสปรีดาปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง  เมื่อจะให้มโหสธแก้ปัญหาที่เทวดาถาม  พระองค์จึงให้มโหสธนั่งในที่สูง  ส่วนพระองค์ประทับนั่งในที่ต่ำกว่า  แล้วตรัสว่า  "พ่อบัณฑิต  เทวดาผู้สิงอยู่  ณ  เศวตแัตรได้ตั้งปัญหาถามพ่อ  ๔ ข้อ  พ่อหมดปัญญา  แก้ไม่ได้  เรียกบัณฑิต  ทั้ง  ๔  มาให้แก้  ก็แก้ไม่ได้  เทวดาได้คาดโทษไว้หนักเหลือเกิน  หากแก้ไม่ได้  พ่อก็เห็นอยู่ลูกนี่แหละที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ของพ่อให้หมดไปในครั้งนี้"

มโหสธกราบทูลว่า  "ขอพระองค์จงตรัสเทวปัญหา  ๔  ข้อนั้นเถิด  พระเจ้าข้า"

พระราชาจึงตรัสเทวปัญหา  ตามข้อ  ๑  เนื้อความของปัญหานั้นก็ปรากฏแก่มโหสธดุจดวงจันทร์เต็มดวงปรากฏในท้องฟ้า  ฉะนั้น

มโหสธกราบทูลแก้ปัญหาข้อที่ ๑  ว่า  "ข้าแต่พระองค์  ทารกนอนบนตักมารดาแล้ว  ทุบตีถีบมารดาด้วยความร่าเริงยินดี  บางครั้งก็ถอนผมมารดาเล่น  บางครั้งก็ตบปากมารดา  แต่มารดากลับรักในความไม่เดียงสาของทารก  สวมกอดจูบด้วยความชื่นใจ  ทารกนั้นย่อมเป็นที่รักของมารดา  และรวมทั้งบิดาด้วย"

เทวดาได้สดับดังนั้นก็เผยกำพูฉัตรออกมาแสดงกายให้ปรากฏ  แล้วซ้องสาธุการว่า  "โอ  พ่อบัณฑิต  ท่านแก้ปัญหาได้ถูกต้องดีมาก"  แล้วบูชามโหสธด้วยดอกไม้ของหอม  ซึ่งล้วนแต่เป็นของทิพย์  แล้วอันตรธานไป

พระราชาตรัสเทวปัญหาตามข้อ  ๒  ต่อไป

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  บิดามารดาสั่งลูกอายุประมาณ  ๗-๘  ขวบ  ให้ไปนาหรือไปตลาด  ลูกกลับพูดว่า  ต้องให้ขนมหนูกินก่อน  หนูจึงจะไป  ครั้นบิดามารดาให้ขนมลูกกินเสร็จแล้วก็ไม่ไป  ไปเล่นเสียกับเพื่อน  เมื่อบังคับหนักเข้า  ลูกก็เถียงว่า  ทีพ่อแม่อยู่กับบ้าน  จะให้หนูไปตากแดด  บิดามารดาได้ยินลูกเถียงดังนั้นก็โกรธ  หาว่าลูกหลอกกินขนมแล้วไม่ไป  จึงคว้าไม้จะตี  ลูกเห็นดังนั้นก็วิ่งหนี พ่อแม่ก็วิ่งไล่  เมื่อไล่ไม่ทันจึงตะโกนด่าว่าต่าง ๆ  แล้วแช่งให้ลูกตายเพราะถูกสัตว์ทำร้ายบ้าง  คนทำร้ายบ้าง  การด่าว่าแช่งชักหักกระดูกของพ่อแม่ที่มีต่อลูก  ก็เป็นเพียงปาก  แต่ใจไม่ปรารถนาให้เป็นไปตามนั้น  ครั้นลูกหนีกระเซอะกระเซิงไป  ไม่ยอมกลับบ้าน  ไปอยู่ที่อื่น  พ่อแม่ก็คิดถึง  คอยมองดูต้นทางว่า  เมื่อไรหนอลูกที่รักจึงจะกลับบ้าน  เมื่อไม่เห็นลูกกลับก็เที่ยวตามหาจนพบ  ครั้นพบแล้วก็สวมกอดพูดจาปลอบโยนด้วยคำอ่อนหวาน  แล้วพาลูกกลับบ้าน  ดังนั้น  บุตรผู้ถูกด่าชื่อว่าเป็นที่รักของบิดามารดาผู้ด่า"

เทวดาสดับก็พอใจซ้องสาธุการอีกครั้งหนึ่ง

พระราชาตรัสเทวปัญหาตามข้อ  ๓  ต่อไป

มโหสธกราบทูลแก้ปัญหาข้อ  ๓  ว่า  "ข้อแต่พระองค์  ภรรยาสามีเมื่ออยู่ในที่ลับ  ก็แสดงความเสน่หารักใคร่ตามวิสัยของโลก  พูดจาหยอกเย้าเล่นหัวกัน  ฝ่ายหนึ่งทำเป็นหาอีกฝ่ายหนึ่งว่า  ไม่มีความรักจริง  แล้วโต้เถียงกันตามประสาคนรัก  ดังนั้น  ภรรยาและสามีชื่อว่าเป็นที่รักของกันและกัน"

เทวดาเผยกำพูฉัตรออกมาซ้อสาธุการอีกวาระหนึ่ง

พระราชาตรัสเทวปัญหาข้อ  ๔  ต่อไป

มโหสธกราบทูลแก้ว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  ปัญหานี้เทวดากล่าวหมายถึงสมณะและพราหมณ์  เพราะสมณะและพราหมณ์ ชื่อว่าเป็นผู้นำข้าว  น้ำ  ผ้าและเสนาสนะไปจากผู้มีศรัทธาถวาย  ผู้มีศรัทธาก็เลื่อมใสยินดีต่อสมณะและพราหมณ์นั้น  ดังนั้น  สมณะและพราหมณ์  จึงชื่อว่าเป็นที่รักของเจ้าของข้าวน้ำเป็นต้น"


..........................................

(ยังมีต่ออีก)




























วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ พระมโหสธ (หน้า ๑๙)



มโหสธผจญกรรม  (ต่อ)

เสนกะบอกว่า  "เราคืออาจารย์เสนกะราชบัณฑิตในราชสำนัก  ท่านเป็นใคร ?"

ปุกกุสะ  "อะพิโธ่  อาจารย์เองดอกหรือ  ผมปุกกุสะ"

ต่อไปก็ถึงคราวของกามินท์  และเทวินท์ได้ตกลงไปในหลุมคูถ
ตามอุบายของนางอมร

บัณฑิตทั้ง  ๔  คน  เมื่อลงไปพบกันในหลุมคูถ  ซึ่งลึกขนาดท้อง  จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกันดี  มันเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง  ครั้นจะขึ้นก็ขึ้นไม่ได้  ปากหลุมอยู่สูงมาก  ทั้ง  ๔  คนอยู่ในหลุมคูถตลอดคืน

พอรุ่งเช้า  นางอมรให้คนเอาเชือกหย่อนลงไป  แล้วฉุดขึ้นมาทีละคน  เมื่อขึ้นมาพร้อมจึงให้อาบน้ำชำระกาย  แล้วเอามีดโกน  โกนผม  โกนหนวด  เอาอิฐถูกไปมาเลือดไหลซิบ ๆ  ตำข้าวสาร  ๑  ทะนานกับน้ำให้ละเอียด  เอาไปเปียกเป็นข้าวเปียก  แล้วทาจนทั่วตัวบัณฑิตทั้ง ๔  ตั้งแต่ศีรษะ  เอานุ่นโรยให้ทั่วตั้งแต่หัวตลอดกาย  เท่านี้ยังไม่พอ  นางให้เอาเสื่อลำแพนม้วนตัวบัณฑิตทั้ง ๔  เอาเชือกมัดปิดหัวปิดท้าย  เสร็จแล้วให้คนแบกไปเพื่อนำถวายพระราชา  พร้อมกันนี้นางก็นำราชาภรณ์ทั้ง  ๔  ไปถวายด้วย

พระราชาเมื่อทรงทราบว่า  นางอมรจะเข้าเฝ้า   จึงทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าได้

นางอมรกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  กระหม่อมฉันนำเครื่องบรรณาการมาทูลเกล้าถวายพระองค์  เพคะ"  แล้วนางให้คนเอาเสื่อลำแพนมาวางไว้แทบพระบาทของพระราชา

พระราชารับสั่งให้เปิดเสื่อลำแพนนั้นออก  พอทอดพระเนตรเห็นบัณฑิตทั้ง  ๔  เหมือนลิงเผือก  ทรงนิ่งอึ้งโดยมิทรงทราบต้นสายปลายเหตุประทับดุษณีภาพอยู่

มหาชนเห็นบัณฑิตทั้ง  ๔  เป็นอย่างนั้น  ก็พูดว่า  "โอ้โฮ  ลิงเผือก ๆ  งานจังเลย"  แล้วหัวเราะกันฮาใหญ่

บัณฑิตทั้ง  ๔  แสนที่จะอับอายขายหน้า  แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร  ได้แต่ก้มหน้านิ่งเฉย

นางอมรได้นำราชาภรณ์  ๔  สิ่ง คือ  พระจุฬามณี  พระสุวรรณมาลา  ผ้ากัมพลปูพระบรรทม  และฉลองพระบาท  ถวายพระราชาแล้ว  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชเจ้า  หม่อมฉันขอถวายความสัตย์จริงว่า  มโหสธมิได้เป็นโจรดังคำกล่าวหาของบัณฑิตทั้ง  ๔  ที่จริงนั้นบัณฑิตทั้ง  ๔  ของพระองค์นั่นแหละเป็นโจร  หม่อมฉันมีหลักฐานยืนยันให้เห็นเท็จจริงได้  ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานโอกาสให้หม่อมฉันได้กราบทูลความจริงเถิด  เพคะ"

พระราชา  "เราอนุญาตให้เจ้านำหลักฐานมา  และจงให้การตามความจริงได้"

นางอมร  "เสนกะลักพระจุฬามณี  ปุกกุสะลักพระสุวรรณมาลา  กามินท์ลักผ้ากัมพลคลุมพระบรรทม
เทวินท์ลักฉลองพระบาททองคำ  บัณฑิตทั้ง  ๔  คนได้ให้สาวใช้ชื่อนั้น ๆ  ลูกคนนั้นนำราชาภรณ์ไปคนละสิ่ง  ส่งไปขายให้หม่อมฉันในวันนั้น  เดือนนั้น  หม่อมฉันได้บันทึกเป็นหลักฐานไว้พร้อม  ขอพระองค์ได้ทอดพระเนตรหนังสือบันทึกสำคัญนี้  แล้วขอให้ทรงรับไว้เป็นหลักฐาน  พิสูจน์หาความจริงเถิด  พระเจ้าข้า"  ครั้นกราบทูลเสร็จแล้ว  นางก็ถวายบังคมลากลับ

พระราชามิได้ตรัสอะไร ๆ  พระทัยยังนึกทรงรังเกียจมโหสธอยู่  กับทรงทราบว่า  มโหสธหนี  ก็ทรงแน่พระทัยว่า  มโหสธต้องเป็นโจรลักราชาภรณ์ไปเป็นแน่  หาไม่แล้วคงไม่หนีไป  แม้นางอมรมากราบทูลถวายข้อเท็จจริงและหลักฐานอ้างอิง  ก็เพียงแต่ทรงนิ่งอึ้งอยู่  ไม่เห็นรับสั่งให้สอบสวนแต่อย่างไร  ตรัสให้บัณฑิตทั้ง  ๔  กลับไปบ้าน

ตั้งแต่มโหสธหนีไปแล้ว  ราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราชก็เงียบเหงา  ขาดคนสำคัญที่จะถวายอรรถ
ธรรมพระราชาให้สุขุมคัมภีรภาพได้  จึงทำให้ราชสำนักหมดความครึกครื้นไป  ไม่เหมือนขณะที่มโหสธอยู่





เทพปัญหา

เทวดาผู้สิงอยู่  ณ  เศวตฉัตรของพระเจ้าวิเทหราช  เมื่อไม่ได้สดับอรรถธรรมของมโหสธ  เพราะมโหสธต้องหนีไป  เทวดาได้ทราบความสุจริตของมโหสธเป็นอย่างดี  จึงดำริที่จะให้มโหสธกลับมาอยู่บ้านตามเดิม  ครั้นถึงเวลากลางคืน  เทวดาจึงแหวกพระเศวตฉัตรออกมา  ถามปัญหาพระเจ้าวิเทหราช  ๔ ข้อ  คือ

๑.  บุคคลที่ทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยมือและเท้า  กลับเป็นที่รักของผู้ถูกทำร้าย   พระองค์ทรงเห็นว่า  ผู้เป็นที่รักนั้น ได้แก่ใคร ?

๒.  บุคคลด่าผู้อื่นด้วยความรัก  ไม่อยากให้ผู้ถูกด่านั้นได้รับอันตราย  คนผู้ถูกด่าย่อมเป็นที่รักของผู้ด่า  พระองค์ทรงเห็นว่า  ใครเป็นที่รักของผู้ด่า ?"

๓.  บุคคลที่กล่าวตู่กันด้วยถ้อยคำไม่เป็นจริง  โต้เถียง  ทักท้วงกันด้วยถ้อยคำเหลาะแหละ  แต่เป็นที่รักของกันและกัน  พระองค์ทรงเห็นว่า  ได้แก่ใคร ?

๔.  บุคคลที่นำข้าว  น้ำ  ผ้า  และเสนาสนะของผู้อื่นไป  แต่กลับเป็นที่รักของผู้เป็นเจ้าของ  พระองค์ทรงเห็นว่า  ได้แก่ใคร ?

พระราชาได้ทรงสดับเทวปัญหานั้น  หมดปัญญาที่จะทรงแก้ได้  จึงขอผัดว่า  จะแก้ปัญหาทั้ง  ๔  ข้อนี้ในวันรุ่งขึ้น

เทวดาอนุญาตและกำชับว่า  "หากพระองค์แก้ปัญหานี้ด้วยพระองค์เองไม่ได้  หรือหาผู้อื่นมาแก้ไม่ได้  จะต้องได้รับเทวทัณฑ์อย่างหนัก

พระราชาทรงหวาดหวั่นต่อเทวทัณฑ์เป็นอย่างยิ่ง  ตลอดคืนมิได้ทรงบรรทมหลับเลย  ครั้นรุ่งเช้าตรัสเรียกบัณฑิตทั้ง  ๔  มาเฝ้า  ครั้นบัณฑิตมาเฝ้ากันพร้อมหน้าแล้ว  พระองค์จึงตรัสกับอาจารย์เสนกะว่า  "ท่านอาจารย์  เมื่อคืนนี้เทวดาผู้สิงอยู่  ณ  เศวตฉัตร  ได้มาถามปัญหาเรา  ๔  ข้อ  เราขอผัดว่าจะรอถามพวกท่านดูก่อน  อาจารย์เสนกะช่วยตอบปัญหาข้อ  ๑  ก่อน"  แล้วพระราชาก็ตรัสเทวปัญหาข้อ  ๑  ให้เสนกะแก้

เสนกะได้ฟังเทวปัญหาข้อ ๑  แล้ว  ก็บ่นอุบอิบ ๆ  ว่า  "ใครทำร้ายอะไร  รักอะไร"  เป็นอันไม่เห็นเงื่อนงำของปัญหานั้น  นั่งเหม่อตาลอย  หันไปปรึกษากับอาจารย์อีก  ๓  คน  ก็ไม่ได้ความเช่นเดียวกัน  จึงกราบทูลว่า  "หมดปัญญา  พระพุทธเจ้าข้า" แล้วพากัยก้มกราบถวายบังคมลากลับไป

พระราชากระวนกระวายพระทัยอย่างยิ่ง  จะอาศัยอาจารย์ทั้ง  ๔  ก็ไม่มีหวังแล้ว  ทรงเกรงจะถูกลงเทวทัณฑ์  หากแแก้เทวปัญหาไม่ได้  ทรงครุ่นคิดอยู่จนกระทั่งถึงกลางคืน

ตอนกลางคืนนั้นเอง  เทวดาได้ออกมาถามอีกว่า  "พระองค์ทรงแก้ปัญหานั้นได้หรือยัง ?"

พระราชา  "ข้าพเจ้านำปัญหาไปถามกับบัณฑิตทั้ง  ๔  แล้ว  เขาก็ไม่รู้  ข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้เหมือนกัน"  ตรัสออกไปอย่างประวั่นพรั่นพรึง

เทวดาขู่ว่า  "อาจารย์ทั้ง  ๔  จะไปรู้อะไร  ข้าพเจ้าจะบอกให้  ปัญหานี้เว้นจากมโหสธบัณฑิตแล้วจะไม่มีใครแก้ได้  ขอพระองค์ตรัสเรียกมโหสธให้มาแก้ปัญหานี้  ถ้าไม่เรียกมโหสธมากล่าวแก้  ข้าพเจ้าจะเอาค้อนเหล็กติดไฟแดงโพลงนี้ประหารบนเศียรของพระองค์ให้แหลกเหลวไปทีเดียว"

เทวดาได้ทูลเตือนสติต่อไปว่า  "อะไร  พระองค์ช่างงมงายเสียเหลือเกิน  ในเมื่อไฟมีอยู่ดีแล้ว  ไม่ควรจะเป่าแสงหิ่งห้อยอีกเลย"



...............................


(ยังมีต่ออีก)



















วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๑๘)


มโหสธผจญกรรม  (ต่อ)

นางอมรได้รับของทั้ง  ๔  ไว้โดยไม่ต้องเสียเงิน  และได้บันทึกวัน  เดือน  ชื่อคนนำมาขาย  ตลอดจนผู้ให้นำมาขาย  คือ  ปุกกุสะให้นำดอกไม้มาขาย  ข้างในมีสุวรรณมาลา  เทวินท์ให้นำข้าวโพดมาขาย  ข้างในมีฉลองพระบาท  นางได้นำความไปแจ้งแก่มโหสธ  แล้วเก็บบันทึกนั้นไว้  มโหสธได้ส่งคนไปคอยฟังข่าวอยูู่ตลอดเวลา

ฝ่ายบัณฑิตทั้ง  ๔  ได้พากันไปเฝ้าพระราชา  แล้วกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พระองค์ไม่ทรงประดับพระจุฬามณีหรือ  พระพุทธเจ้าข้า "

พระราชา  "จริงซินะท่านอาจารย์  เราจะประดับ  ท่านจงไปนำมา"

บัณฑิตทั้ง  ๔  พากันไปดู  ไม่เห็นพระจุฬามณีในสถานที่เก็บ  กับดูราชาภรณ์อีก  ๓  สิ่งก็ไม่เห็น  จึงรีบมากราบทูลพระราชาว่า  "ขอเดชะ  ราชาภรณ์  ๔  สิ่ง  คือ  พระจุฬามณี  พระสุวรรณมาลา  ผ้ากัมพลคลุมที่พระบรรทม  ฉลองพระบาท  ได้หายไปจากที่เก็บ  พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชาทรงกริ้วมากที่มีผู้บังอาจเข้าไปลักราชาภรณ์อันเป็นของคู่ควรแก่กษัตริย์  จึงตรัสถามอาจารย์ทั้ง  ๔  ว่า  "พวกท่านสงสัยใครที่บังอาจถึงเช่นนี้ ?"

บัณฑิตทั้ง  ๔  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ตามที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถามพระองค์ว่า  ไม่ทรงประดับพระจุฬามณีหรือนั้น  ก็เพราะมีเหตุผลที่จะกราบทูลให้ทรงทราบ  พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชา  "เหตุผลอะไร  พูดไปโดยเร็ว"

บัณฑิตทั้ง  ๔   "ขอเดชะ  ได้มีผู้มาบอกเล่าว่า  มโหสธได้นำราชาภรณ์ทั้ง  ๔  สิ่งไปประดับ  ขณะนี้ยังเก็บไว้ที่บ้าน  มโหสธต้องคิดเป็นศัตรูกับพระองค์  พะย่ะค่ะ"

ขณะนั้น  คนที่มโหสธส่งไปคอยฟังข่าว  ได้มาส่งข่าวให้มโหสธทราบ

มโหสธได้ทราบข่าวเช่นนั้น  จึงคิดว่า  "จักต้องไปเฝ้าพระราชา  จึงจะรู้เรื่อง"  ครั้นแต่งตัวเสร็จแล้วจึงมุ่งตรงไปยังพระราชฐาน

พระราชาทรงทราบว่า  มโหสธกำลังจะมาเฝ้า  ยังทรงกริ้วมโหสธกรุ่นอยู่ในพระทัย  กับทรงระแวงว่า มโหสธอาจจะมาในทางมิดีมิร้ายก็ได้  จึงรับสั่งด้วยความพิโรธว่า   "อย่าให้มโหสธเข้ามาเป็นอันขาด"

มโหสธทราบว่า  พระราชาทรงกริ้วมากและไม่ยอมให้เข้าเฝ้า  จึงกลับไปบ้าน  เมื่อกลับถึงบ้านก็มีคนส่งข่าวว่า  พระราชารับสั่งให้จับ  จึงบอกกับนางอมรว่า  "พี่เห็นจะต้องออกจากเมืองนี้ไปชั่วคราวก่อน  น้องคอยดูเหตุการณ์และคอยแก้ไขอยู่ทางนี้ก่อน"

มโหสธได้ปลอมตัวออกจากเมืองไปสู่ทักขิณยวมัชฌคาม  หาเลี้ยงชีพในทางเป็นช่างหม้ออยู่  ณ  ตำบลนั้น

มหาชนเมื่อทราบว่า  มโหสธบัณฑิตหนีไป  จึงเกิดโกลาหลอลหม่านกันยกใหญ่  เสียงปริเทวนาการ
สงสารมโหสธกันอยู่เซ็งแซ่  บัณฑิตทั้ง  ๔  จึงพูดปลอบว่า  "ท่านทั้งหลายอย่าเป็นทุกข์ถึงมโหสธคนร้ายลักราชาภรณ์ของในหลวงเลย  เราทั้ง  ๔  ก็เป็นบัณฑิตอยู่ในราชสำนักนี้มานานแล้ว  พอจะเป็นที่พึ่งของท่านทั้งหลายได้  สงบใจกันเสียทีเถิด"

มหาชนได้ฟังดังนั้นต่างก็ไม่พอใจบัณฑิตทั้ง  ๔  เสียงตะโกนโห่ร้องแสดงความเกลียดชังอยู่อึงมี่

บัณฑิตทั้ง  ๔  เมื่อเห็นนางอมรอยู่ผู้เดียว  ต่างก็คิดหมายมั่นที่จะได้นางอมรมาเป็นของตน ๆ  แต่ไม่บอกให้กันทราบ  ต่างส่งสิ่งของไปให้นางอมรเพื่อขอความรัก

นางอมรเมื่อได้รับสิ่งของจากบัณฑิตทั้ง  ๔  จึงคิดว่า  "เราจะต้องทำให้อีตาบ้าทั้ง  ๔  คนนี้ได้อาย"  คิดแล้วจึงนัดให้มาคนละเวลา  นางได้ให้สาวใช้ช่วยกันขุดหลุมหนึ่งหลุม  ล้อมรั้วที่หลุมนั้น  เทคูถกับน้ำลงในหลุม  แล้วทำกระดานยนต์ปิดที่ปากหลุมนั้น  ปกปิดด้วยเสื่อลำแพน  มีลิ่มสลัก  ๒  ข้าง  เอาพวงดอกไม้ห้องที่เรือนทำให้ดูร่ารื่นรมย์  ตั้งน้ำไว้ข้างแผ่นกระดานนั้นด้วย

พอค่ำลง  เสนกะแต่งตัวเสียงามหรู  ไปหานางอมรตามนัด

นางอมรทำเป็นดีใจที่เห็นเสนกะ  พูดว่า  "แหม  ช่างมาตรงเวลาดีจริงนะ"

เสนกะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  พูดว่า  "เวลาที่นัดไว้มันช่างช้าเหลือเกิน  กว่าจะถึงกำหนด  พอได้เวลาก็รีบมาทันที  นับเป็นบุญพี่เสียนี่กระไร  ที่เธอไม่รังเกียจ"

นางอมรรู้สึกหมั่นไส้เต็มทน  แต่ก็ฝืนทำเป็นยิ้ม  พูดว่า  "วันนี้อาจารย์มาตามนัด  ก็คงต้องพักผ่อนหลับนอนที่นี่  ก่อนจะนอนใคร่ขอเชิญท่านไปอาบน้ำหอมเสียก่อน  จะได้นอนสบาย เชิญซิคะ  เชิญทางนี้"  แล้วนางก็ชี้ทางให้เสนกะ  พร้อมกับเดินตามไปด้วย

เสนกะเดินไปเหยียบบนแผ่นกระดาน  นางอมรก็ทำเป็นจะตักน้ำรดให้  แล้วนางเหยียบบนแผ่นกระดานยนต์ถอดสลักออก  กระดานกระดำ  เสนกะก็ตกลงไปในหลุมคูถ  นางนึกว่าเสร็จไปหนึ่งละยังอีก  ๓

พอถึงเวลานัดของปุกกุสะ  ปุกกุสะก็มาตามนัดแล้วก็ตกลงไปในหลุมคูถตามกลอุบายของนาง  เสร็จไปอีกหนึ่งละ  ยังเหลืออีก  ๒  นางคิดอย่างสนุกใจ

เมื่อปุกุกุสะตกลงไป  ก็กระแทกเข้ากับเสนกะอย่างแรง  ถามขึ้นด้วยความตกใจว่า  "นี่ผีหรือคน ?"



....................................

(ยังมีต่ออีก)
























วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๑๗)




มโหสธพบคู่ครอง  (ต่อ)

นางอมรลงจากต้นพุทรา  เอาหม้อน้ำไปตักน้ำมาให้มโหสธดื่ม  แล้วทั้งสองก็เดินทางต่อไปจนถึงพระนคร  มโหสธให้นางอมรอยู่ที่เรือนคนเฝ้าประตู  แจ้งเรื่องราวให้ภรรยาคนเฝ้าประตูทราบ  หวังจะทดลองความซื่อสัตย์ของนาง  แล้วไปเรือนของตน  มโหสธได้เรียกชายหนุ่มมาหลายคน  แล้วแจ้งว่า "เราพาหญิงสาวคนหนึ่งมาฝากไว้ที่บ้านคนเฝ้าประตู  พวกท่านคนหนึ่งลองไปเกี้ยวดู  หากนางยินดีด้วย  ก็เอาทรัพย์  ๑,๐๐๐  กหาปณะนี้ให้นางไป"  แล้วมโหสธก็ให้ทรัพย์แก่ชายหนุ่มที่ไปก่อน  ๑,๐๐๐  กหาปณะ

ชายหนุ่มคนที่ ๑  ไปถึงที่ที่นางอมรพักอยู่  แล้วพูดเกี้ยวประกอบกับทำท่าทางกรุ้มกริ่มหวังจะให้นางเอออวยด้วย  แต่นางอมรไม่ปรารถนา  คิดเสียว่า  ชายที่มานี้จะเปรียบเพียงเท่าละอองเท้าของมโหสธสามีเราก็ไม่ได้  ชายผู้นั้นก็กลับมาบอกแก่มโหสธถึงความหมดหวังของตน

มโหสธได้ส่งชายหนุ่มเปลี่ยนหน้ากันไปถึง  ๓  ครั้ง  ทุกครั้งชายหนุ่มที่ไปก็ผิดหวังกลับมา  พอครั้งที่  ๔  ก็ส่งไปอีกคนหนึ่ง  และสั่งว่า  "เจ้าจงไปฉุดนางมาหาเรา"

ชายคนที่  ๔  ไป  พอถึงบ้านที่นางพักอยู่  ก็ตรงเข้าฉุดนางคร่าตัวมาหามโหสธ

นางอมรถูกชายหนุ่มฉุดคร่ามา  พอเห็นมโหสธก็จำไม่ได้  เพราะตอนนั้นมโหสธแปลงเป็นช่างชุนไป  ยิ่งนางได้เห็นความมั่งคั่งสมบูรณ์ของผู้ที่นางได้พบ  ก็ไม่เฉลียวใจเลย  นางแลดูมโหสธแล้วก็หัวเราะ  แล้วก็ร้องไห้

มโหสธเห็นอาการของนางดังนั้นจึงถามว่า  "น้องพี่  วันนี้เป็นอย่างไรไป  เดี๋ยวหัวเราะ  เดี๋ยวร้องไห้ ?"

นางอมรจึงแจ้งแก่มโหสธว่า  "ข้าพเจ้าเห็นสมบัติของท่านแล้ว  ก็นึกปลื้มใจว่า  การที่ท่านได้สมบัติมหาศาลถึงเพียงนี้ก็เพราะบุญญาธิการของท่าน  ข้าพเจ้าชอบใจในผลแห่งบุญที่ท่านได้บำเพ็ญมา  นึกในใจอย่างนี้  จึงได้หัวเราะ  แต่แล้วข้าพเจ้าก็ต้องร้องไห้ด้วยความสงสารตัวท่าน  เพราะท่าน
จะทำกรรมชั่วขึ้นแล้ว  โดยท่านคิดมิดีมิร้ายต่อสตรีที่มีผู้หวงแหน  เกรงว่าท่านจะได้รับทุกข์ต่อไป"

มโหสธทดลองดูนางอมร  เห็นว่า  นางเป็นผู้บริสุทธิ์และมีความสัตย์ซื่อ  จึงเกิดความรักความเอ็ดดูขึ้นอีกมาก  ได้สั่งชายคนที่แฉุดนางมาว่า  "เจ้าจงพานางไปอยู่ที่เดิม"  เมื่อชายผู้นั้นพาไปแล้ว  มโหสธจึงปลอมตัวเป็นช่างชุนผ้าอย่างเดิมไปหานาง  พักอยู่กับนางคืนหนึ่ง  รุ่งขึ้นจึงไปเฝ้าพระนางอุทุมพรเทวี
กราบทูลให้ทรงทราบถึงการได้หญิงที่ถูกใจตน  และเวลานี้มาพักอยู่ที่บ้านคนเฝ้าประตู

พระนางอุทุมพรเทวีนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าวิเทหราช  แล้วรับสั่งให้นางกำนัลนำเครื่องประดับอันมีค่าไปให้นางอมร  เสร็จแล้วให้ขึ้นวอใหญ่นำมาบ้านมโหสธ  ทำพิธีมงคลสมรสอย่างสมเกียรติ

ชาวพระนครต่างก็พากันจัดของขวัญมาให้  เนื่องในการสมรสระหว่างมโหสธบัณฑิตกับนางอมร  มีจำนวนมากมาย

นางอมรได้นำของขวัญทั้งหมดส่งไปสงเคราะห์ชาวพระนครที่ยากจน

มโหสธกับนางอมรได้อยู่ร่วมกันผาสุกตลอดมา  และมโหสธได้รับราชการเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าวิเทหราชยิ่งนัก.





มโหสธผจญกรรม

อยู่มาวันหนึ่ง  อาจารย์เสนกะได้พูดปรึกษากับอาจารย์ทั้ง  ๓  ว่า  "เราทั้ง  ๔  คน  ตั้งแต่มโหสธมาอยู่ในราชสำนัก  ได้อับเฉาลง  ไม่รุ่งเรืองเหมือนมโหสธเขา  บัดนี้มโหสธเขาก็ไปหาภรรยาทที่ฉลาดมาด้วยตนเอง   ตกลงว่าทั้งผัวทั้งเมียเป็นคนฉลาดด้วยกันทั้งคู่  พวกเราเห็นทีจะแย่หนักลงไป  เราควรคิดกำจัดมโหสธเสียเถิด"

อาจารยทั้ง  ๓  ถามว่า  "เราจะทำกัยอย่างไร ?"

เสนกะพูดว่า  "พวกท่านอย่าวิตก  เรามีอุบายแล้ว"

อาจารย์ทั้ง  ๓  "อุบายอะไรท่านอาจารย์ ?"

เสนกะ  "พวกท่านทั้ง  ๓  ต้องร่วมมือด้วยจึงะสำเร็จ"

อาจารย์ทั้ง  ๓  "เอาอย่างไรก็เอากัน  ขอให้อาจารย์บอกมาเถอะ"

เสนกะ  "คืออย่างนี้  เราจะลักพระจุฬามณี  (ปิ่น)  ท่านปุกกุสะจงลักพระสุวรรณมาลา  (ดอกไม้ทอง)  ท่าน
กามินท์จงลักผ้ากัมพลคลุมพระบรรทม  ท่านเทวินท์จงลักฉลองพระบาททองคำ  แล้วนำราชาภรณ์ทั้ง  ๔  อย่างนี้ไปไว้ในเรือนมโหสธ  เมื่อสำเร็จตามอุบายนี้แล้ว  พระราชาก็จะต้องทรงลงทัณฑ์มดหสอย่างหนัก  พวกท่านจะเห็นด้วยกับเราหรือไม่ ?"

อาจารย์ทั้ง  ๓  รับว่า  "อุบายนี้วิเศษจริง  จะลงมือกันเมื่อไร  ให้อาจารย์บอกมาเถิด

เสนกะบอกอุบายอื่น ๆ  ให้อาจารย์ทั้ง  ๓  รับรู้เป็นอย่างดีแล้ว  ตนเองได้ไปนำพระจุฬามณีมาใส่ไว้ในหม้อเปรียง  ให้สาวใช้นำหม้อเปรียงนั้นไปขาย  พร้อมกับสั่งว่า  "เจ้าจงนำหม้อเปรียงนี้ไปขาย  แต่อย่าขายให้คนอื่น  ถ้าคนในบ้านของมโหสธมาซื้อ  เจ้าจงยกให้ทั้งหมดเลย"

สาวใช้ก็ตรงไปที่ประตูบ้านมโหสธร้องขาย  "เปรียงแม่เอ๊ย  เปรียงเจ้าค่ะ"  เดินกลับไปกลับมาที่ประตูบ้าน
มโหสธนั่นเอง

นางอมรยืนอยู่ที่ประตู  เห็นแม่ค้าเปรียงเดินกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้น  ก็นึกว่า  "แม่ค้าร้องขายเปรียงเดินไปมาอยู่ตรงอประตูบ้านเรา  ไม่เห็นไปที่อืน  น่าจะมีเลสนัยอะไรอยู่"  จึงเรียกแม่ค้าเปรียงมา  พูดว่า  "ฉันจะซื้อเปรียง  อ้อ  แม่ค้าจ๊ะ  ฉันไม่ได้เอาเงินติดตัวมาด้วย  แม่ค้าช่วยไปเรียกสาวใช้ให้มาหาฉันสักคนหนึ่งเถิด"

เมื่อแม่ค้าเปรียงไป  นางจึงล้วงลงไปในหม้อเปรียงพบพระจุฬามณีแล้วใส่ไว้ตามเดิม  พอแม่ค้าเปรียงกลับมา  นางจึงถามว่า  "แม่มาจากไหนจ๊ะ ? "

แม่ค้าเปรียง    "ดิฉันเป็นสาวใช้ของท่านเสนกะ  เจ้าค่ะ"

นางอมรจึงถามชื่อและบิดามารดาของแม่ค้าเปรียง  เมื่อนางตอบว่าชื่อนั้น ๆ  จึงถามต่อไปว่า  "เปรียงนี้แม่จะขายเท่าไร ?"

แม่ค้าเปรียงตอบว่า  "เท่าราคาข้าว  ๔  ทะนาน  เจ้าค่ะ"

นางอมร  "ถ้าเช่นนั้นฉันจะซื้อไว้"

แม่ค้า  "หากแม่เจ้ารับซื้อ  ก็ขอให้ไว้ทั้งหม้อเลย  ไม่คิดเอาราคา"

นางอมรตกลงรับไว้ทั้งหม้อ  แล้วแม่ค้าก็กลับไป  นางอมรได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษาไว้ว่า  "วันนั้นเดือนนั้น  อาจารย์เสนกะให้สาวไช้ชื่อนั้นลูกคนนั้น  นำพระจุฬามณีของพระราชามาขายไว้"  เมื่อแม่ค้าเปรียงกลับไปก็มีแม่ค้าดอกไม้ถือผอบสุวรรณมาลา  มีดอกไม้อยู่ภายนอกมาร้องขายที่ประตูบ้านมโหสธ  เมื่อแม่ค้าดอกไม้กลับไป  แม่ค้าผักก็นำผักใส่กระเช้ามาร้องขาย  แต่ข้างในมีผ้ากัมพลคลุมพระบรรทมอยู่  เมื่อแม่ค้าผักกลับไป  แม่ค้าข้าวโพดก็มาร้องขาย  ข้างในมัดข้าวโพดมีฉลองพระบาททองคำอยู่



............................


(ยังมีต่ออีก)


































วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๑๖)


มโหสธพบคู่ครอง  (ต่อ)


นางอมรจึงเอาหม้อข้าวต้มวางลง  แล้วล้างชามก่อนตักข้าวต้มใส่  เอาน้ำใส่ภาชนะมาวางไว้  ให้มโหสธล้างมือ  คนหม้อข้ามต้ม  แล้วตักข้าวต้มลงในชามที่ล้างสะอาดแล้วจนเต็ม  มีน้ำมากแต่เนื้อข้าวต้มน้อย

มโหสธรับประทานข้าวต้มอิ่ม  บ้วนปาก  แล้วพูดกับนางว่า  "ฉันอยากจะไปเรือนของเธอ  เธอจงบอกทางให้ฉันด้วย"

นางอมรได้บอกทางไปบ้านของเธอแก่มโหสธ  เสร็จแล้วจึงนำข้าวต้มไปส่งบิดา

มโหสธเดินทางมุ่งตรงไปเรือนที่นางบอก  เมื่อถึงแล้วก็ขึ้นไปบนเรือน  มารดาของนางอมรเฝ้าบ้านอยู่คนเดียว  เห็นชายแปลกหน้ามาจึงเชิญให้นั่งแล้วถามว่า  "รับประทานอาหารแล้วหรือยัง ?"

มโหสธบอกว่า  "ฉันรับประทานข้ามต้มจากนางอมรไปหน่อยหนึ่งแล้วจ้ะ"

มารดานางอมรรู้ในทีว่า  ชายผู้นี้คงมาต้องการลูกสาวเราเป็นแน่  แต่นางก็ยังไม่พูดอะไร  คงนั่งนิ่งอยู่

มโหสธ  เมื่อมองดูทั่วไปภายในเรือน  ก็ทราบว่า  สกุลนี้เข็ญใจ  จึงถามว่า  มีผ้าเก่า ๆ  ที่ต้องการจะเย็บหรือชุนบ้างหรือไม่  ฉันเป็นช่างชุนผ้าจ้ะ"

 มารดานางอมรตอบว่า  "ผ้าน่ะมีดอก  แต่ค่าจ้างไม่มีให้นะจ๊ะ"

มโหสธ  "ฉันไม่ต้องการค่าจ้างดอกแม่  ฉันจะทำให้เปล่า ๆ "

มารดานางอมรนำผ้าเก่า ๆ  มาให้มโหสธชุน  มโหสธทำได้คล่องแคล่วมาก  ประเดี๋ยวเดียวเสร็จด้วยความชำนาญ  ผู้มีบุญมีปัญญาจะทำอะไรก็สำเร็จง่ายดาย  มโหสธได้บอกแก่มารดานางอมรว่า  "แม่จงประกาศให้คนนำผ้ามาจ้างฉันชุนถิด"

มารดานางอมรได้บอกไปตามชาวบ้านให้นำผ้าเก่า ๆ  มาจ้างชุน

ชาวบ้านพากันนำผ้ามาจ้างมโหสธชน  เย็บ  เป็นจำนวนมาก  มโหสธก็ทำได้รวดเร็วและประณีต  ในวันเดียวได้ค่าจ้างถึง  ๑,๐๐๐  กหาปณะ

มารดานางอมร  ได้หุงหาอาหารให้มโหสธรับประทาน

นางอมรกลับจากส่งข้าวต้าให้บิดา  เอามัดฟืนทูนศีรษะและกระเดียดใบไม้มาด้วย  ส่วนบิดากลับภายหลัง  นางปรนนิบัติบิดามารดาบังเกิดเกล้าด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี

มโหสธได้สังเกตอากับปกิริยาของนางอมรอยู่  ๒-๓  วัน  รู้สึกพอใจมาก  แต่เพื่อทดลองดูนางอีกต่อไป วันหนึ่งมโหสธพูดว่า  "อมรจ๋า  เธอช่วยเอาข้าวสารครึ่งทะนานต้มข้าวต้ม  ทำขนม  หุงข้าวสวยให้ฉันด้วยเถิด"

นางอมรรับว่า  "จ้ะ  ฉันจะทำให้"  แล้วนางเอาข้าวมาตำ  เลือกเอาข้าวสารที่เป็นตัว  ไม่หักมากนัก  ต้มข้าวต้ม  เอากลางข้าวที่มีเมล็ดหักส่วนมากหุงเป็นข้าวสวย  เอาปลายข้าวสารที่เกือบป่นทำขนม  เสร็จแล้วทำกับข้าวสำหรับข้าวต้ม  ข้าวสวย  ยกข้าวต้มไปให้มโหสธก่อน

มโหสธรับประทานข้าวต้ม พอข้าวต้มถึงปาก  เพื่อทดลองนางอมร  จึงคายข้าวต้มทิ้ง  แล้วพูดว่า  "อะไรนี่  เธอทำข้าวต้มให้เสียเปล่า ๆ  ไม่รู้จักต้มข้าวเลยนี่"

นางอมรมิได้ถือโกรธ  พูดว่า  "ถ้าข้าวต้มไม่อร่อย  ก็ขอให้รับประทานขนม"  แล้วนางก็ยกขนมส่งให้

มโหสธก็ทำอย่างเก่าอีก

นางอมรพูดว่า  "ถ้าขนมไม่อร่อย  ก็ขอให้รับประทานข้าวสวยเถิด"  แล้วยกข้าวสวยส่งให้

คราวนี้มโหสธทำเป็นเคืองจัด  ขยำข้าวทั้ง  ๓  รวมกันละเลงตัวนางอมรตั้งแต่ศีรษะ  ไล่ให้นางไปยืนอยู่ที่ประตู

นางอมรก็ไม่โกรธ  ออกไปยืนที่ประตูตามคำสั่งของมโหสธด้วยกิริยาอ่อนน้อม

มโหสธเห็นนางไม่โกรธ  จึงเรียกกลับมา  นางก็เดินอ่อนน้อมเข้าไปหามโหสธ  แล้วนั่งลงใกล้ ๆ   เหมือนทารกว่าง่าย

มโหสธเมื่ออกจากบ้านของตนก็มีผ้าสาฎกไปด้วย  ๑  ผืน  กับเงิน  ๑,๐๐๐  กหาปณะ  บรรจุไว้ในถุง  จึงนำผ้าสาฎกออกจากถุงมอบให้นางอมรแล้วพูดว่า  "เธอจงไปอาบน้ำแล้วนุ่งผ้าสาฎกนี้มา"  นางอมรก็ทำตามคำสั่ง

มโหสธนำทรัพย์  ๒,๐๐๐  กหาปณะ  คือ  ที่เอามาจากบ้าน  ๑,๐๐๐  และที่ได้จากการรับจ้างชุนผ้าอีก  ๑,๐๐๐  มอบให้แก่บิดามารดาของนางอมร  แล้วพูดขอนางอมรกับบิดามารดาของนาง  เมื่อบิดามารดาของนางนางให้แล้ว  จึงพานางอมรลาพ่อตาแม่ยายกลับไปบ้านของตน

มโหสธได้ให้ร่มกับรองเท้าแก่นางอมร  แล้วพูดว่า  "เธอจงกางร่มและสวมรองเท้าเดินไป"

นางอมรรับของทั้งสองอย่าง  แล้วก็พากันเดินทางไป  พอถึงคราวมีแดดจ้า  นางก็หุบร่มเสีย  พอถึงที่ดอน  นางก็ถอดรองเท้าถือไป  พอถึงที่ลุ่มมีน้ำ  นางก็สวมรองเท้าเดินไป

มโหสธเห็นอาการของนางดังนั้น  จึงถามว่า  "ทำไมเธอจึงทำอย่างนั้น ?"

นางอมรตอบว่า  "ดิฉันมองเห็นเครื่องกีดขวางหนามเป็นต้นบนที่ดอนได้  จึงไม่สวมรองเท้าในที่ดอน  ดิฉันมองไม่เห็นสัตว์ร้ายและอันตรายในน้ำได้  จึงต้องสวมรองเท้าในน้ำ"

มโหสธได้ฟังก็พอใจคิดว่า  "หญิงผู้นี้ฉลาดมาก"

พอเข้าเขตป่าที่มีร่มไม้  นางอมรจึงกางร่มเดินไป  มโหสธเห็นดังนั้น  จึงถามว่า  "คนทั้งหลายเขากางร่มในที่แจ้งมีแดดจ้า  แต่ทำไมเธอกลับหุบร่มในที่เช่นนั้น  และกางร่มในเวลาเข้าป่าทึบที่ไม่มีแดด ?"

นางอมรตอบว่า  "ในกลางแจ้งดิฉันไม่เห็นว่า  จะมีอะไรตกโดนศีรษะ  จึงไม่กางร่ม  ส่วนในป่าทึบอาจมีไม้แห้ง  หรือท่อนไม้ตกโดนศีรษะได้  ดิฉันจึงต้องกางร่ม"

มโหสธมีความพอใจในความฉลาดของนางยิ่งขึ้น  เมื่อทั้งสองเดินมาตามทาง  มโหสธเห็นต้นพุทรามีผลดกต้นหนึ่ง  จึงเข้าไปนั่งพักใต้ต้นพุทรานั้น  นางอมรเห็นพุทรามีผลดก  จึงพูดว่า  "พี่จ๋า  น้องอยากกินลูกพุทรา  พี่ขึ้นไปเก็บให้น้องหน่อยซิจ๊ะ"



มโหสธพูดว่า  "ที่รัก  พี่เหนื่อยเหลือเกิน  เห็นจะขึ้นไม่ไหว  น้องขึ้นไปเก็บเองเถิด"

นางอมรจึงปีนขึ้นต้นพุทราเลือกเก็บผลพุทรา

มโหสธแหงนขึ้นไปข้างบนพูดว่า  "ที่รัก  เก็บมาให้พี่บ้างซิจ๊ะ"

นางอมรคิดจะทดลองไหวพริบของมโหสธ  จึงถามไปว่า  "พี่ต้องการผลร้อน  หรือผลเย็นจ๊ะ ?"

มโหสธรู้ความที่นางถาม  แต่ทำเป็นไม่รู้เพื่อทดลองนาง  จึงตอบว่า  "พี่ต้องการผลร้อน ๆ "

นางอมรจึงเก็บผลโยนลงที่พื้นดิน  แล้วพูดว่า  "พี่  พุทราร้อน ๆ  เชิญเก็บรับประทานเถิด"

มโหสธจึงเก็บผลพุทราที่ตกอยู่กับดินมาเป่าเพื่อให้หมดผุ่น  แล้วรับประทาน  จับเคล็ดว่า  พุทราร้อนต้องเป่า  เมื่อจะทดลองนางอีก  จึงพูดว่า  ไที่รัก  พี่ต้องการผลเย็น ๆ "

นางอมรจึงเก็บพุทราโยนลงไปบนหญ้า  มโหสธเก็บพุทรานั้นรับประทานโดยมิต้องเป่า  จับเคล็ดว่า พุทราเย็น  เพราะไม่ต้องเป่า

มโหสธนึกชมนางอมรว่า  เป็นหญิงที่มีความฉลาดเหลือเกิน  แล้วเรียกนางลงจากต้นพุทรา


................................

(ยังมีต่ออีก)






























วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๑๕)


แก้ปัญหา  เรื่อง  ทรัพย์กับปัญญา  (ต่อ)

เนื้อความที่มโหสธบัณฑิตกราบทูลไปนั้น  ปรากฏเป็นเหมือนผู้วิเศษคุ้ยทรายทองขึ้นจากเชิงเขาพระสุเมรุ  หรือเป็นเหมือนผู้มีฤทธิ์ศักดานุภาพบันดาลให้ดวงจันทร์เต็มดวง  ตั้งขึ้นบนท้องฟ้า  ฉะนั้น ทำให้พระราชาซึ่งวิตกแทนมโหสธ  ถึงกับทรงยิ้มแย้มขึ้นมาได้เมื่อมโหสธกราบทูลจบ  แล้วตรัสว่า  "พ่อมโหสธ  เจ้าแก้ปัญหานี้ถูกใจเรามาก"  ทรงหันไปทางเสนกะตรัสถามว่า  "อาจารย์เสนกะ  ท่านจะมีคำกล่าวอย่างไรให้เหนือมโหสธอีกหรือไม่ ?"

เสนกะหมดปัญญาที่จะกล่าวโต้ให้เหมือนมโหสธอีกได้  เหมือนข้าวเปลือกเต็มฉางได้หมดไปสิ้นแล้ว  ได้แต่นั่งก้มหน้าซบเซาอยู่

พระราชาทอดพระเนตรเห็นอาการของเสนกะดังนั้นแล้ว  ก็ทรงทราบว่า  อาจารย์เสนกะหมดภูมิแล้ว  จึงรับสั่งกับมโหสธต่อไปว่า  "พ่อมโหสธ  เจ้ายังมีอะไรจะพูดหรือไม่ ?"

มโหสธกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระองค์ยังมีเรื่องจะพูดอีก  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "ถ้าอย่างนั้น  ขอให้เจ้าพูดไป"

มโหสธ  เมื่อจะพรรณนาให้เห็นว่าปัญญาประเสริฐยิ่ง ๆ  ขึ้นไ ป จึงกราบทูลว่า


"สัตบุรุษทั้งหลายย่อมสรรเสริญปัญญา  ว่าประเสริฐ  
คนเขลาเท่านั้น  ที่มัวเมาหลงใหลอยู่กับยศและทรัพย์
ความรู้ของนักปราชญ์  จะหาอะไรมาชั่งหรือมาเปรียบ
ไม่ได้  ย่อมอยู่เหนือทุก ๆ  สิ่ง  คนมีทรัพย์ มียศ  จะอยู่
เหนือคนมีปัญญาไปไม่ได้"


พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับถ้อยคำของมโหสธดังนั้น  ก็มีพระราชดำรัสขึ้นด้วยความโสมนัสปรีดาว่า


"ดูก่อนพ่อมโหสธบัณฑิต  เราพอใจมากที่เจ้าแก้ปัญหา
ของเราได้แจ่มแจ้งชัดเจน  ไม่คลุมเคลือเลย  ดุจมีผู้เปิด
ภาชนะคว่ำให้พลันหงาย  เราขอมอบโคอุสุภราช  ๑,๐๐๐  ช้าง
พร้อมด้วยคชาภรณ์และควาญกับรถเทียมม้าอาชาไนย
๑๐  คัน  บ้านส่วย  ๑๖  บ้านเป็นรางวัล"


มโหสธกราบถวายบังคมรับพระราชทานรางวัลด้วยความดีใจ  แล้วกราบทูลว่า  "ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแล้ว  พระเจ้าข้า"

ตั้งแต่นั้นมา  มโหสธบัณฑิตก็มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองเป็นรัศมีดวงเด่นอยู่ในราชสำนัก  ตราบเท่าจนมีอายุเจริญวัยได้  ๑๖  ปี





มโหสธพบคู่ครอง

พระนางอุทุมพรเทวี  เมื่อเห็นมโหสธมีอายุ  ๑๖  ปีแล้ว  จึงดำริว่าน้องชายของเราเป็นผู้ใหญ่พอแล้ว  ทั้งมียศวาสนรุ่งเรือง  ควรจะทำการอาวาหมงคลแก่เธอ  ครั้นดำริแล้วจึงไปเฝ้าพระสวามี  กราบทูลว่า   "ขอเดชะ  มโหสธมีอายุ  ๑๖  ปี  สมควรจัดหาคู่ครองให้เธอได้แล้ว  เพคะ"

พระราชาตรัสว่า  "ดีแล้ว  ขอมอบหน้าที่ให้เธอจัดการ"

พระนางจึงให้เรียกมโหสศธมาแล้วตรัสว่า  "พ่อน้องชาย  อายุน้อง  ๑๖  ปี  สมควรมีคู่ครองได้แล้วมิใช่หรือ ?"

มโหสธทูลว่า  "สุดแต่พระพี่นางจะทรงเห็นสมควรเถิด  พะย่ะค่ะ  หม่อมฉันไม่ขัดข้อง"

พระนางตรัสว่า  "ถ้าน้องไม่ขัดข้อง  พี่จะจัดหาหญิงสาวมาให้  น้องจะพอใจไหม ?"

มโหสธดำริว่า  "หญิงสาวที่พระพี่นางจะจัดหามาให้เรา  บางทีอาจไม่ถูกใจเรา  เราควรหาดูเองก่อนดีกว่า"   ครั้นดำริดังนี้แล้ว  จึงกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระพี่นาง  เป็นพระมหากรุณาแก่ข้าพระบาทยิ่งนักที่จะทรงจัดหาหญิงมาพระราชทานแก่ข้าพระบาท  แต่ขอพระพี่นางพระราชทานวโรกาสให้แก่ข้าพระบาทได้สืบเสาะหาหญิงสาวที่ถูกใจด้วยตนเองก่อน  เมื่อได้แล้วจะนำมากราบทูลให้ทรงทราบในภายหลัง"

พระนางอุทุมพรเทวีตรัสว่า   "ถ้าน้องปรารถนาอย่างนั้น  พี่ก็ไม่ขัดข้องและอนุญาตให้น้องเสาะหาหญิงสาวได้ตามความประสงค์"

มโหสธเมื่อได้รับอนุญาตจากพระนางแล้ว  จึงถวายบังคมลากกลับเรือนของตน  แจ้งเรื่องราวให้บรรดาสหายทราบ  แล้วจึงปลอมตัวเป็นช่างชุนผ้าออกบ้าน  มุ่งตรงไปยังอุตรยวมัชฌาคาม

ณ  บ้านอุตรยวมัชฌคามนั้น  มีเศรษฐีสกุลเก่าแก่อยู่สกุลหนึ่ง   บัดนี้ได้ยากจนลง  สกุลนั้นมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง  ซึ่อ  อมร  เป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างงดงาม  สมบูรณ์ด้วยบุญสิริลักษณะทุกประการ

ในวันเดียวกันกับที่มโหสธเดินทางไปถึง  ณ  ที่นั้น  นางได้นำข้าวต้มออกจากบ้านแต่เช้า  เพื่อไปส่งบิดาซึ่งกำลังไถนาอยู่  พอดีสวนทางกันกับมโหสธ

มโหสธเห็นนางเดินมา  คิดแต่ในใจว่า  "หญิงสาวคนนี้งามไม่ใช่เล่น  ลักษณะทุกอย่างของนางแสดงว่าเป็นสิริมงคลยิ่ง  หากนางยังไม่มีสามีก็คู่ควรแก่เราอย่างยิ่ง"

ฝ่ายนางอมรพอเห็นมโหสธบัณฑิต  ก็คิดแต่ในใจว่า  "ชายผู้นี้ท่าทางเป็นสง่า  ลักษณะทั่วไปแสดงว่ามีบุญมีปัญญา  หากเขายังไม่มีภรรยา  ก็คู่ควรแก่เราอย่างยิ่ง"

ทั้งสองมีความคิดตรงกัน  หากได้สนทนากันก็คงถูกใจเป็นแน่  แต่ใครจะเป็นผู้เริ่มก่อน  ตามธรรมดาต้องเป็นฝ่ายชายเริ่มก่อน  ดังนั้นมโหสธจึงคิดจะถามนางให้รู้แน่ว่า  นางมีสามีหรือยัง  แต่ควรจะถามด้วยการใช้ใบ้  เพื่อดูเชาว์ปัญญาของนางด้วย  แล้วมโหสธก็ยืนอยู่ห่าง ๆ  กำมือออกไป  (หมายความว่า  มีเจ้าของหรือยัง)

นางอมรรู้ความหมาย  จึงแบมือออกไป (หมายความว่า  ยังว่างเปล่าอยู่)

มโหสธทราบความนั้นแล้ว  จึงเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย  ถามว่า  "ขอโทษ  เธอชื่ออะไรจ๊ะ ?"

นางอมรไม่บอกตรง ๆ  กลับพูดเป็นปริศนาว่า  "สิ่งที่ดิฉันไม่มีทั้งในอดีต  อนาคต และปัจจุบันนั้นแหละ  เป็นชื่อของดิฉัน"

มโหสธคิดอยู่สักประเดี๋ยวจึงตอบว่า  "ความไม่ตาย  เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในโลก  ถ้าเช่นนั้น เธอชื่ออมร"  (อมร  แปลว่า  ไม่ตาย)

มโหสธ  "เธอจะนำข้าวต้มไปให้ใครจ๊ะ ?"

นางอมร  "ดิฉันจะนำไปให้บุรพเทวดาจ้ะ"

มโหสธ  "บิดามารดาชื่อว่า  เป็นบุรพเทวดา  เธอนำข้าวต้มไปให้บิดากระมังจ๊ะ ?"

นางอมร  "ถูกต้องจ้ะ"

มโหสธ  "บิดาของเธอกำลังทำงานอะไรจ้ะ ?"

นางอมร  "บิดาของฉันกำลังทำสิ่ง ๑ โดยส่วน ๒"  

มโหสธ  "ทำสิ่ง  ๑  โดยส่วน  ๒  ได้แก่  การไถ่นา  ไถไปรอยเดียวดินแยกออกสองข้าง  บิดาของเธอกำลังไถนาใช่ไหมจ้ะ ?"

นางอมร  "ถูกแล้วจ้ะ"

มโหสธ  "บิดาของเธอไถนาอยู่ที่ไหนจ๊ะ ?"

นางอมร  "ชนทั้งหลายไปในที่ใดครั้งเดียวแล้วไม่กลับ  บิดาของดิฉันไปไถนา  ณ  ที่นั้นจ้ะ"

มโหสธ  "ที่ที่คนไปครั้งเดียวแล้วไม่กลับคือไปป่าช้า  บิดาของเธอคงไถนาใกล้ป่าช้าใช่ไหมจ๊ะ ?"

นางอมร  "ถูกแล้วจ้ะ"

มโหสธ  "วันนี้เธอจะกลับหรือไม่กลับ ?"

นางอมร  "ถ้ามา  ดิฉันจะยังไม่กลับ  ถ้าไม่มา  ดิฉันจะกลับ"

มโหสธ  "บิดาของเธอถ้าจะไถนาใกล้แม่น้ำ  เมื่อน้ำหลากมา  เธอจะยังไม่กลับ  เมื่อน้ำไม่หลากมา  เธอจึงจะกลับ"

นางอมร  "ถูกแล้วจ้ะ"

เมื่อได้โต้ตอบกันพอสมควรแล้วนางอมร  จึงเชิญมโหสธว่า  "เชิญรับประทานข้าวต้มซิคะ"

มโหสธคิดว่า  "ถ้าปฏิเสธก็เสียมารยาท"  จึงรับว่า  "ดีซิจ๊ะ  ฉันกำลังหิวอยู่ทีเดียว


........................................

(ยังมีต่ออีก)






















วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า๑๔)



แก้ปัญหา  เรื่อง  ทรัพย์กับปัญญา  (ต่อ)

เสนกะได้อ้างโครวินทเศรษฐีขึ้นมากราบทูล  เพื่อให้เห็นว่า  คนมีทรัพย์เป็นคนประเสริฐ

พระราชาได้สดับเสนกะกราบทูลดังนั้น  จึงตรัสกะมโหสธว่า  "ดูก่อนพ่อมโหสธบัณฑิต  เจ้าจะแก้อย่างไรต่อไป

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  เสนกะจะรู้อะไร  เห็นแต่ทรัพย์กับยศอย่างเดียว  ไม่แลเหลียวไม้ค้อนอันจะตกบนศีรษะ  เหมือนกาอยู่ในที่เทข้าวสุก  หรือเหมือนสุนัขอยากดื่มน้ำส้ม  ขอพระองค์อย่าได้ทรงเชื่อฟังเลย  แล้วกราบทูลต่อไปว่า

"คนเขลา  มีความสุขแล้วก็ประมาท  เมื่อถูกความทุกข์ครอบงำ  
ย่อมหวั่นไหวเหมือนปลาดิ้นในที่ร้อน  เมื่อมีสุขย่อมลุ่มหลงมัวเมา  
ข้าพระบาทเห็นอย่างนี้  จึงกล้ากราบทูลว่า  คนมีปัญญาประเสริฐ  
คนโง่  มียศ  มีทรัพย์ไม่ประเสริฐเลย"


พระราชาจึงหันพระพักตร์มาทางเสนกะอีก  แล้วตรัสว่า  "อาจารย์เสนกะจะแก้อย่างไร ?"

เสนกะกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่เทพเจ้า  มโหสธนี้จะรู้อะไร  ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่พูดถึงมนุษย์  แม้แต่นกก็ยังมาชุมนุมกันที่ต้นไม้อันสะพรั่งด้วยผล"  แล้วกราบทูลต่อไปอีกว่า

"ฝูงนกบินร่อนมาจากที่ต่าง ๆ  มาเกาะบนต้นไม้ที่สล้างด้วยผล  ฉันใด  
มหาชนย่อมคบหาสมาคมกับบุคคลผู้มั่งคั่ง  เพราะต้องการทรัพย์  ฉันนั้น  
ข้าพระบาทเห็นความดังนี้  จึงกราบทูลว่า  คนมีปัญญาเป็นคนอับโชค  
คนมีทรัพย์  มียศ  เป็นคนประเสริฐ"

พระราชาตรัสถามกับมโหสธว่า  "พ่อมโหสธ  เจ้าจะแก้เขาอย่างไร ?"

มโหสธบัณฑิตกราบทูลว่า  "อาจารย์เสนกะพุงโตจะรู้อะไร"  แล้วทูลต่อไปว่า


"คนโง่มีกำลัง  ก็ชอบแต่จะบีบบังคับขู่เข็ญผู้คนให้ได้เงินมา  
หาได้รู้ไม่ว่านายนิรยบาลพากันฉุดค่าคนเขลาผู้คร่ำครวญอยู่  เอาตัวไปลงนรก  
ซึ่งเป็นทุกข์ร้ายกาจ  ข้าพระพุทธเจ้าขอยืนยันด้วยเกล้าว่า 
คนมีปัญญาประเสริฐกว่าคนโง่  มีทรัพย์  มียศ"


พระราชารับสั่งถามเสนกะว่า  "อาจารย์เสนกะจะแก้ว่าอย่างไร ?"

เสนกะกราบทูลว่า

"แม่น้ำน้อยใหญ่ย่อมไหลไปสู่คงคา  แม่น้ำเหล่านั้นก็หมดชื่อเดิม  
กลับพากันเรียกว่า  คงคา  ครั้นคงคาไหลไปสู่สมุทร  ชื่อว่า  คงคาก็หมดไป  
ได้ชื่อใหม่ว่า  มหาสมุทร  ฉันใด  ผู้ที่มีปัญญาเลิศในโลก  ครั้นมาถึงถิ่นของผู้มีทรัพย์  
มียศ  ชื่อเสียงของเขาก็หมดไป  เหมือนชื่อของคงคาหมดไป  ฉันนั้น  
ข้าพระพุทธเจ้าขอยืนยันความเห็นว่า  
คนมีทรัพย์  มียศ  ประเสริฐกว่าคนมีปัญญา"


พระราชาตรัสถามมโหสธอีกว่า  "พ่อมโหสธจะแก้อย่างไรก็ว่าไป"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าพระพุทธเจ้าจะแก้ปัญหาอาจารย์เสนกะกล่าวเมื่อกี้นี้


"ธรรมดาแม่น้ำน้อยใหญ่ย่อมไหลไปสู่มหาสมุทร  มหาสมุทรก็รับแม่น้ำเหล่านั้นไว้ได้  
แม้จะถูกคลื่นซัดสาดสักเพียงไร  ก็สะกัดไว้อยู่  ฉันใด  กิจการหรือวิชาการทั้งหลายแหล่
ที่แพร่หลายอยู่นี้  ก็ไม่พ้นคนฉลาดไปได้  คนโง่ต้องไปพินอบพิเทา
อยู่กับคนฉลาดตลอดเวลา  จะพ้นคนมีปัญญาไปหาได้ไม่  ฉันนั้น  
ข้าพระพุทธเจ้าเห็นความดังนี้  จึงกล้าที่จะยืนยันว่า  
คนมีปัญญาเป็นคนประเสริฐ  คนโง่มียศไม่ประเสริฐเลย"


เสนกะโต้ว่า 


"คนมียศ  มีทรัพย์  ถึงไม่มีปัญญา  หากวินิจฉัยข้อความใด ๆ  แม้จะเป็นเท็จ  
ก็เป็นที่เชื่อถือของคน  ถ้อยคำของเขาพอที่จะจูงใจคนให้เห็นด้วยโดยง่าย  
เพราะใช้ยศและทรัพย์เป็นเครื่องจูงใจ  แต่คนมีปัญญา  ไม่อาจจะให้คนที่ไร้ทรัพย์  
ทำอะไรตามถ้อยคำของตนได้  เพราะไม่มีทรัพย์  ไม่มียศเป็นแรงหนุน  
ข้าพระองค์เห็นความดังนี้  จึงขอทูลยืนยันว่า  
คนมีปัญญาจะดีไปกว่ามีทรัพย์  มียศ  ไม่ได้"


มโหสธได้โต้ว่า


"คนเขลามักพูดปดทั้งแก่ผู้อื่นและแก่ตนเอง  เพราะคนเขลาย่อมไม่รู้ผิดรู้ถูก  
เพ้อเจ้อไปตามเรื่อง  มักถูกติเตียนในกลางประชุมชน  และจะต้องไปทุคติในที่สุด  
ข้าพระองค์เห็นความนี้  จึงขอกราบทูลว่า  คนฉลาดเป็นผู้ประเสริฐ  
คนเขลาถึงมีทรัพย์มียศ  ก็ไม่ประเสริฐเลย"


เสนกะแก้ว่า 


 "อันคนมีปัญญาดุจแผ่นดิน  แต่ไม่มีที่อยู่  ไม่มีทรัพย์เป็นคนยากไร้  
คำพูดของเขาย่อมไม่เป็นที่เชื่อถือในท่ามกลางบริษัท  
เป็นคนหมดสง่าราศี  ข้าพระองค์เห็นดังนี้  
จึงว่า  คนมีปัญญาไม่ประเสริฐเลย"


มโหสธแก้ว่า

"อันคนมีปัญญาดุจแผ่นดิน  เขาก็ไม่พูดจาเหลาะแหละเหลวไหล  
เพื่อผู้อื่นหรือเพื่อตน  เขาย่อมได้รับบูชาในท่ามกลางชุมชน  
ทั้งยังจะได้ไปสู่สุคติในภายหลัง  ข้าพระองค์เห็นอย่างนี้  จึงกราบทูลว่า  
คนมีปัญญานั่นแหละประเสริฐกว่า  
คนเขลามียศ  มีทรัพย์  ไม่ประเสริฐเลย" 

เสนกะได้ว่า


"ช้าง  โค  ม้า  แก้วมณี  กุณฑล  และนารี  ล้วนเกิดในสกุลของผู้มั่งคั่ง  
เป็นอุปโภคของคนมีทรัพย์มียศ  คนมีปัญญาแต่ไม่มีทรัพย์  
ก็เป็นอุปโภคของคนมีทรัพย์  มียศ  ข้าพระองค์เห็นความจริงดังนี้  
จึงกราบทูลว่า  คนมีปัญญาเป็นคนต่ำ  คนมีทรัพย์  มียศ  เป็นคนประเสริฐ"


มโหสธแก้ว่า


"สิริมงคลย่อมจะไม่อยู่แก่คนพาลสันดานโง่  ไม่มีความคิด  
เหมือนงูลอกทิ้งคราบเก่าเสีย  ฉะนั้น  ข้าพระองค์ขอยืนยันว่า  
คนมีปัญญาประเสริฐกว่าคนเขลา  มีทรัพย์  มียศ"


เสนกะคิดแก้ต่อไป  โดยหวังจะให้มโหสธอับขนให้จงได้  กราบทูลว่า


"ขอเดชะ  ข้าพระองค์ทั้ง ๕  ชื่อว่าเป็นบัณฑิต  แต่ก็ต้องมารับราชการ
กับพระองค์ผู้ทรงมีอิสริยะ  คือทรงมีทั้งทรัพย์ทั้งยศปกเกล้า
ปกกระหม่อมข้าพระองค์ทั้งหมด  ดุุจท้าวสักกเทวราชผู้เป็นใหญ่ในหมู่สัตว์  
ฉะนั้น  ข้าพระองค์เห็นความดังนี้  จึงกราบทูลว่า  
คนฉลาดเป็นคนต่ำ  คนมีทรัพย์มียศเป็นคนประเสริฐ"


พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำของเสนกะดังนั้น  จึงทรงดำริว่า  คำแก้ของอาจารย์เสนกะนี้เข้าที  ชักจะเห็นจริงด้วยแล้ว  มโหสธบุตรของเราจะสามารถทำลายวาทะของเสนกะได้หรือไม่หนอ  ทรงดำริดังนี้แล้ว  จึงตรัสถามมโหสธว่า  "พ่อมโหสธจะแก้เขาว่าอย่างไร ?"


มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  เสนกะนี้จะรู้อะไร  เอาแต่ยศขึ้นหน้า  ไม่รู้จักความวิเศษของปัญญา  ขอพระองค์ทรงสดับคำของข้าพระบาท


"คนเขลาถึงมียศ  ก็เป็นเหมือนทาสของคนฉลาด
เพราะเมื่อมีปัญหาที่สุขุมลึกซึ้งเกิดขึ้น  คนฉลาดเท่านั้น
ที่จะวินิจฉัยชี้ขาด  เหมือนส่องไฟในที่มืด  ส่วนคนเขลามียศมีทรัพย์  
จะไม่สามารถวินิจฉัยได้เลย  เหมือนคนอยู่ในที่มืดมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น  
ข้าพระบาทเห็นความอย่างนี้  จึงขอยืนยันกราบทูลว่า  
คนมีปัญญานั่นแหละประเสริฐ  คนพาลมียศ  มีทรัพย์  ไม่ประเสริฐเลย"


.........................................

(ยังมีต่ออีก)

























วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๑๓)



แก้ปัญหา  เรื่อง  แพะกับสุนัข (ต่อ)

มโหสธกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม  ข้าพระพุทธเจ้าทราบแล้ว  พระเจ้าข้า"

พระราชา  "ดีแล้ว  จงว่าไป"

มโหสธกราบทูลว่า

"แพะมี  ๔  เท้า  ๘  กีบ  แฝงกายไปนำเนื้อมาให้สุนัข  
สุนัขแฝงกายไปนำหญ้ามาให้แพะ  พระเจ้าวิเทหราชประทับ
อยู่บนพื้นยาวของปราสาท  ได้ทอดพระเนตรเห็น
มิตรธรรมระหว่างแพะกับสุนัขด้วยพระองค์เอง"


พระราชาทรงพอพระทัวบการแก้ปัญหาของบัณฑิตเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง  ทรงตบพระเพลาอยู่ฉาด ๆ ด้วยความโสมนัส  ทรงสำคัญว่าบัณฑิตทั้ง  ๕  รู้ด้วยปัญญาของตนเอง  จึงตรัสขึ้นด้วยความภาคภูมิพระทัยว่า  "เป็นลาภอันประเสริฐของเรา  ที่ได้มีบัณฑิตเช่นนี้อยู่ในราชสำนัก  ทุกคนรู้แจ้งแทงตลอดในปัญหาอันลึกลับของเรา  และทุกคนกล่าวถูกต้องตามความหมายของปัญหาแล้ว  เราชอบใจ"  แล้วพระราชทานรถเทียมม้าอัสดรคนละคัน  บ้านส่วยที่มีผลประโยชน์มากคนละหมู่เป็นรางวัล

บัณฑิตทั้ง  ๕  เมื่อได้รับพระราชทานรางวัล  ต่างก็โสมนัสยินดี  กราบถวายบังคมลากลับบ้านของตน ๆ

พระนางอุทุมพรเทวีเมื่อทรงทราบว่า  พระสวามีพระราชทานรางวัลแก่บัณฑิตทั้ง  ๕  จำนวนเท่ากัน  จึงทรงดำริว่า ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พระราชทานรางวัลเท่ากัน  เพราะบัณฑิตทั้ง  ๔  มิได้คิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง  อาศัยมโหสธน้องชายเราเป็นผู้บอกให้  ครั้นแล้วพระนางจึงเสด็จไปเฝ้าพระสามี  กราบทูลว่า  "หม่อมแันได้ทราบว่า  ทูลกระหม่อมพระราชทานรางวัลแก่บัณฑิตทั้ง  ๕  เท่า ๆ  กันหรือเพคะ"

พระสวามี  "ถูกแล้ว"

พระนาง  "ทูลกระหม่อมทรงทราบหรือไม่ว่า  บัณฑิตทั้ง  ๔  แก้ปัญหาของพระองค์ได้  เพราะใคร"

พระสวามี  "เราไม่ทราบ"

พระนาง  "บัณฑิตทั้ง  ๔  ไม่ได้อาศัยความคิดของตนเองแก้ปัญหาดอกเพคะ  มโหสธเป็นผู้บอกให้  เพราะสงสารบัณฑิตทั้ง  ๔  เห็นว่าเป็นคนเก่าคนแก่ในราชสำนัก  เกรงว่าจะถูกพระองค์เนรเทศไปเสียจากแว่นแคว้น  จึงได้บอกแก้ปัญหาของพระองค์ให้  และการที่พระองค์พระราชทานรางวัลแก่เขาเท่ากันนั้นไม่สมควร  ควรจะพระราชทานรางวัลแก่มโหสธเป็นพิเศษ  นะเพคะ"

พระราชายิ่งทรงเห็นความดีของมโหสธมากขึ้น  ที่ไม่บอกว่าบัณฑิตทั้ง  ๔  รู้ปัญหาเพราะตนเป็นผู้บอกให้  จึงดำริที่จะเพิ่มพูนลาภสักการะแก่มโหสธให้ยิ่งขึ้น  แต่เรื่องนี้ก็เลยไปแล้ว  เอาไว้เรื่องใหม่  จึงตรัสกับพระนางว่า  "เราขอบใจพระนางที่มาบอกให้รู้เรื่อง  เอาเถอะ  เรื่องที่แล้วมาก็ขอให้เป็นไป  เราจะตั้งปัญหาขึ้นใหม่  หากมโหสธแก้ได้  เราจะรางวัลให้เป็นพิเศษ"





แก้ปัญหา  เรื่อง  ทรัพย์กับปัญญา

วันหนึ่ง  ขณะพระราชาประทับ  ณ  ท้องพระโรง  เหล่าบัณฑิตก็เข้าเฝ้าพร้อมหน้ากัน  พระราชารับสั่งขึ้นในที่ประชุมพวกบัณฑิตว่า  "วันนี้เรามีปัญหาที่จะถามพวกท่านอีก  เราขอถามอาจารย์เสนกะว่า

ชน  ๒  พวก  พวกหนึ่งสมบูรณ์ด้วยปัญญา  แต่ไม่มียศ
ไม่มีทรัพย์  พวกหนึ่งสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ด้วยยศ  แต่ไม่มี
ปัญญา  ทั้ง  ๒  พวกนี้  พวกไหนที่ควรยกย่องว่าเป็นผู้ประเสริฐ ?"

เสนกะกราบทูลทันทีว่า

"อันคนฉลาด  แม้มีชาติตระกูลสูง  แต่ไม่มียศไม่มีทรัพย์
ก็ต้องเป็นคนรับใช้ของผู้มีชาติตระกูลต่ำ  แต่มียศมีทรัพย์
ดังนั้น  ข้าพระองค์จึงเห็นว่า  คนมีปัญญาไม่ประเสริฐ  
คนมีทรัพย์  มียศ  เป็นคนประเสริฐ"  
(สิริ  คือ  ทรัพย์  ยศ  มัณฑะ  คือ  ปัญญา)

เสนกะกราบทูลไปดังนั้น  ก็เพราะตระกูลของเสนกะเป็นตระกูลที่มีทรัพย์  มียศ

พระราชาได้สดับคำกราบทูลของเสนกะดังนั้นแล้ว  ก็มิได้ตรัสถามบัณฑิตอีก  ๓  คน  ได้หันพระพักตร์มาถามมโหสธซึ่งนั่งอยู่ท้ายแถวว่า  "มโหสธบัณฑิต  เจ้าจะว่าอย่างไร  ระหว่างคนมีปัญญากับคนมีทรัพย์มียศ  ไหนจะประเสริฐกว่ากัน ?"

มโหสธกราบทูลว่า

"คนมีทรัพย์  มียศ  แต่ปราศจากปัญญา  ชื่อว่าเป็น
คนพาลคนโง่  ธรรมดาคนพาลคนโง่ย่อมสำคัญว่า  ยศ
ทรัพย์  เป็นสิ่งประเสริฐ  จึงคิดแต่ความชั่ว  เพราะอาศัย
ยศและทรัพย์นั้น  คนพาลมักเห็นแต่โลกนี้  
ไม่เห็นโลกหน้า  ชื่อว่าเป็นคนเคราะห์ร้ายในโลกทั้ง  ๒
ข้าพระบาทเห็นเหตุนี้จึงขอกราบทูลว่า  คนมีปัญญา
ประเสริฐกว่าคนโง่  มีทรัพย์  มียศ"


เมื่อมโหสธกราบทูลจบแล้ว  พระราชาจึงทอดพระเนตรไปทางเสนกะแล้วตรัสว่า  "ว่าอย่างไร  อาจารย์เสนกะ  มโหสธเขาสรรเสริญคนมีปัญญา  ว่าเป็นคนประเสริฐไม่ใช่หรือ ?"

เสนกะกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  มโหสธยังเด็กนัก  กลิ่นน้ำนมยังไม่หมดจากปากจนทุกวันนี้  เธอจะรู้อะไร"  แล้วกราบทูลต่อไปว่า

"คนมีทรัพย์  ถึงไม่มีศิลปะหรือความรู้  มหาชนก็ย่อม
นับหน้าถือตา ดังเช่นโครวินทเศรษฐี  ผู้มีน้ำลายไหล
ออกจากปากขณะพูด  เขายังมีความสุขอย่างอุดม
สมบูรณ์  ข้าพระองค์เห็นว่า  คนมีปัญญาเป็นคนต่ำ  
คนมีทรัพ์เป็นคนประเสริฐ"


เรื่องโครวินทเศรษฐีที่เสนกะยกมาอ้างกราบทูลพระราชานั้น  มีอยู่ว่า  เศรษฐีโครวินทะมีสมบัติอยู่  ๘๐ โกฏ  อยู่ในเมืองมิถิลานั่นเอง  เป็นคนมีรูปร่างวิกล  ไม่มีลูก  และไม่มีความรู้อะไรเลย  เมื่อเวลาพูด
น้ำลายก้ไหลออกมาที่คางทั้งสองข้าง  มีสตรีรูปงามดุจนางฟ้า  ๒  นาง  ถือดอกบัวเขียวที่บานแล้วยืนอยู่ทั้งสองข้าง คอยเอาดอกบัวนั้นรับน้ำลาย  แล้วทิ้งลงทางหน้าต่าง

พวกนักเลงสุราที่ต้องการจะได้ดอกบัวเขียวก่อนเข้าโรงสุรา  มักจะไปที่บ้านเศรษฐี  แล้วร้องเรียก  เมื่อเศรษฐีได้ยินเสียงนักเลงสุราร้องเรียก  ก็ไปยืนถามที่หน้าต่างว่า  "จะมาเรียกข้าทำไม ?"  ขณะพูดน้ำลายก็ไหลออกจากปาก  สตรีทั้งสองจึงเอาดอกบัวเขียวรองรับน้ำลายไว้  แล้วโยนทิ้งลงไปที่ถนน  นักเลงสุราก็หยิบเอาดอกบัวเขียวนั้นไปล้างน้ำ  แล้วประดับตัวเข้าไปในโรงสุรา


...........................

(ยังมีต่ออีก)