พระเจ้าจุลนีสั่งจับพระเจ้าวิเทหราช
พระเจ้าจุลนีจัดกำลังกองทัพล้อมอุปการนครอยู่จนกระทั่งสว่าง มิได้ทรงทราบว่า พระเจ้าวิเทหราชเสด็จหนีไปแล้ว พระองค์ทรงช้างพระที่นั่ง ได้ทรงบัญชาการที่จะให้ทหารยกกำลังบุกอุปการนครของพระเจ้าวิเทหราช จึงรับสั่งขึ้นด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า "พวกทหารจงบุกเข้าไปทำลายเมืองเสีย จับพระเจ้าวิเทหราชมา"
มโหสธนอนอยู่ได้ยินเสียงแว่วว่า ให้จับ ๆ จึงลุกขึ้น แต่งตัวด้วยเครื่องแบบสง่างาม เปิดบัญชรปราสาทมองไปเห็นพระเจ้าจุลนีกำลังสั่งทหารอยู่โหวกเหวก จึงเดินเยื้องกรายไปมาด้วย่าทางอันผึ่งผาย
พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรเห็นแต่มโหสธ ไม่เห็นพระเจ้าวิเทหราช ก็ยิ่งไม่พอพระทัยหนักขึ้น เร่งไสช้างหวังจะจับมโหสธให้ได้
มโหสธนึกแต่ในใจว่า พระเจ้าจุลนีชะรอยไม่ทรงทราบว่า เราได้จับมเหสี พระราชบุตร ราชธิดา ส่งไปมิถิลานคร พร้อมกับพระราชาของเราแล้ว เราควรทำความเข้าใจกับพระองค์ก่อน คิดแล้วจึงยืนตรงหน้าต่าง กราบทูลกับพระเจ้าจุลนีด้วยเสียงอ่อนหวานว่า
"ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์จะด่วนไสช้างพระที่นั่ง
มาทำไม พระอาการของพระองค์ดูร่าเริง เห็นจะทรง
สำคัญว่า ชัยชนะจะเป็นของพระองค์กระนั้นหรือ
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นจอมประชาราษฏร์ ขอ
พระองค์ทรงลดสายธนูที่โก่งนั้นเสีย ทิ้งลูกศรเสีย
นำเกราะที่ทรงสวมนั้นออกเสียเถิด พระเจ้าข้า"
พระเจ้าจุลนีได้สดับคำของมโหสธ ก็ทรงกริ้ว หาว่ามโหสธพูดจาเย้ยหยัน จึงตรัสว่า
"เจ้าผู้มีดวงหน้าผ่อง บัดนี้ มรณสัญญาได้ปรากฏ
แก่เจ้าแล้ว เพราะคนที่จวนจะตาย ย่อมมีผิวพรรณ
ปรากฏเช่นนี้แหละ"
พลนิกายที่ได้รับบัญชาจากพระเจ้าจุลนีให้ตัวเมือง เมื่อเห็นพระเจ้าจุลนีกับมดโหสธสนทนากัน ก็อยากจะทราบว่า สนทนาอะไรกัน จึงหยุดฟังความอยู่ใกล้ ๆ กับพระราชาของตน
มโหสธกราบทูลว่า
"ข้าแต่ขัตติยราช พระดำรัสที่พระองค์คุกคามนั้น
ไม่มีประโยชน์อะไรเลย พระเจ้าวิเทหราชที่พระองค์
สั่งให้จับนั้นก็ไม่มีประโยชน์เหมือนม้าสินธพ ซึ่งม้ากระจอก
ไล่ไม่ทัน ฉันนั้น
พระเจ้าวิเทหราช พร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพาร
เสด็จข้ามคงคาไปแล้วแต่วานนี้ กาบินไล่ตามหงส์จักตก
ในระหว่างทาง ฉันใด หากพระองค์จักติดตามพระเจ้า
วิเทหราช ก็จะตกถึงความพินาศ ฉันนั้น
สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ที่ต่ำช้ากว่ามฤค เห็นดอก
ทองกวาวบานในราตรี ก็สำคัญว่าชิ้นเนื้อ ใคร่จะกิน
ครั้นดวงอาทิตย์ขึ้น สุนัขจิ้งจอกจึงเห็นเป็นดอกทองกวาว
ไม่อยากกิน ฉันใด
ข้าแต่บรมกษัตริย์ พระองค์ทรงล้อมพระเจ้าวิเทหราช
เมื่อทรงทราบว่า พระเจ้าวิเทหราชมิได้เสด็จอยู่ ณ ที่นี่
ก็จักหมดหวังจักเสด็จกลับไปเหมือนสุนัขจิ้งจอกเห็น
ดอกทองกวาว มิใช่ชิ้นเนื้อ ก็หมดความอยากกิน ฉันนั้น"
พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับคำอันไม่ครั่นคร้ามของมโหสธ จึงทรงดำริว่า "มโหสธนี้กล้าพูดเหลือเกิน มโหสธคงให้พระเจ้าวิเทหราชหนีไปอย่างแน่นอน" ทรงกริ้วมาก รับสั่งแก่ทหารว่า "ทหารทั้งหลาย จงจับมโหสธแล้วตัดมือ ตัดเท้า ตัดหู ตัดจมูกเสีย แล้วเอาหลาวเสียบทวารทะลุปาก นำไปย่างกับไฟ ฐานปล่อยพระเจ้าวิเทหราชศัตรูของเราไป"
มโหสธได้ฟังพระราชดำรัสก็หัวเราะ คิดว่า "พระราชาพระองค์นี้ยังคงไม่ทราบว่า เราได้จับพระมเหสี
พร้อมด้วยโอรสธิดาส่งไปมิถิลานครแล้ว จึงคิดแต่จะทำโทษเราอย่างแสนสาหัสด้วยความพิโรธ เราจะต้องแจ้งเรื่องราวให้ทรงทราบ เมื่อทรงทราบแล้วคงโศกาอาดูรถึงวิสัญญีภาพบนหลังช้างพระที่นั่งแน่ คิดแล้ว จึงกราบทูลว่า
"ถ้าพระองค์ให้ตัดมือ เท้า หูและจมูกของข้าพระองค์
พระเจ้าวิเทหราชก็จักได้ตัดพระหัตถ์ พระบาท พระกรรณ
และพระนาสิกของพระมเหสี ราชบุตรและราชธิดาของ
พระองค์เหมือนกัน
ถ้าพระองค์ให้เสียบข้าพระองค์ด้วยหลาวเอาย่างไฟ
พระเจ้าวิเทหราชก็จักเสียบพระมเหสี ราชบุตรและราชธิดา
ของพระองค์เหมือนกัน
ถ้าพระองค์ทิมแทงข้าพระองค์ด้วยหอก พระเจ้า
วิเทหราชก็จักทิ่มแทงพระประยูรญาติของพระองค์ด้วย
หอกเหมือนกัน้าพระพุทธเจ้าและพระเจ้าวิเทหราชได้ตกลง
กันไว้ ดังที่กราบทูลให้ทราบ ฉะนี้"
พระเจ้าจุลนีได้สดับถ้อยคำของมโหสธ ก็ทรงสงสัยวา "ทำไมโหสธจึงพูดกับเราอย่างนั้นว่า ถ้าเราทำโทษแก่เขาอย่างใด พระเจ้าวิเทหราชก็จะทำโทษมเหสี ราชบุตร และราชธิดาของเราอย่างนั้น ชะรอยมโหสธจะไม่รู้ว่า เราได้จัดการรักษามเหสีและโอรสของเราไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว เห็นจะเพ้อไปตามลักษณะของคนกลัวตายมากกว่า เราจะไม่ฟังคำของมโหสธ" จึงตรัสว่า "ดูก่อนมโหสธ เจ้าอย่าพร่ำเพ้อไปเพราะกลัวตายเลย เราจะไม่ยอมฟังคำของเจ้า บัดนี้ เจ้าอยูในเงื้อมมือเราแล้ว"
มโหสธเทื่อเห็นว่าพระเจ้าจุลนีไม่ทรงเชื่อถ้อยคำที่ตนกล่าว จึงกราบทูลว่า
"ข้าแต่บรมกษัตริย์ หากพระองค์มิทรงเชื่อถ้อยคำ
ของข้าพระองค์ ขอเชิญพระองค์เสด็จไปทอดพระเนตร
พระราชนิเวศน์ของพระองค์ซึ่งว่างเปล่าเถิด
พระราชมารดา พระมเหสี พระราชบุตร และ
พระราชธิดาของพระองค์ ได้ถูกทหารของข้าพระองค์
จับนำไปถวายพระเจ้าวิเทหราชหมดแล้ว"
พระเจ้าจุลนีได้สดับดังนั้น จึงทรงหวนระลึกถึงเสียงร้องเมื่อตอนกลางคืน ซึ่งพระองค์ได้ยินเหมือนเสียงของพระนางนันทาเทวีมเหสี และมโหสธก็ได้กล่าวถ้อยคำยืนยันเป็นจริงเป็นจังอยู่เช่นนี้ น่ากลัวว่า จะเป็นความจริง ทรงกระวนกระวายพระทัยอย่างเหลือล้น แต่ก็ทรงระงับไว้ได้ไม่แสดงออกให้มโหสธเห็น เพื่อให้เห็นเท็จจริง จึงตรัสเรียกอำมาตย์คนหนึ่งให้ไปดูพระราชนิเวศน์ ว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงดังที่มดหสธทูลหรือไม่
อำมาตย์พร้อมด้วยราชบุรุษ พากันไปยังพระราชนิเวศน์เปิดพระทวารเข้าไป ได้เห็นคนรักษาราชนิเวศน์พร้อมด้วยนางข้าหลวงต่างถูกมัดมือเท้า ถูกอุดปากมัดติดไว้กับเสาบ้าง กับต้นไม้ที่ยื่นออกมาบ้าง เครื่องภาชนะก็ถูกทูบแตกทำลาย ของเคี้ยวของบริโภคเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ห้องพระคลังถูกเปิด ทรัพย์สินไม่มีเหลือ ห้องที่กษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์ประทับก็ว่างเปล่า อำมาตย์พร้อมด้วยราชบุรุษจึงรีบมากราบทูลพระเจ้าจุลนีว่า "ขอเดชะ ในพระราชนิเวศน์ปรากฏดังที่มโหสธกราบทูลทุกอย่าง พระเจ้าข้า"
พระเจ้าจุลนีได้ฟังอำมาตย์กราบทูล ทรงเสียพระทัยที่ต้องพรากจากกษัตริย์ทั้ง ๔ ทรงพิโรธมโหสธ พระเนตรแดงกล่ำดุจงูพิษถูกตีด้วยท่อนไม้ ตรัสขึ้นว่า "มโหสธทำแก่เรามากนัก"
....................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น