วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๑)



เกวัฏใช้อุบายล่อด้วยกามคุณ  (ต่อ)

ข่าวลือที่ว่าเกวัฏจะมาเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชนั้น  ก็ปรากฏเป็นความจริงขึ้น  คือ  วันหนึ่งเกวัฏได้มาถึงมิถิลานคร   และเข้าเฝ้าถวายบังคมพระเจ้าวิเทหราช  ถวายเครื่องบรรณาการ  เมื่อได้มีโอกาสจึงกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในมิถิลานคร  พระราชาของข้าพระพุทธเจ้า  พระนามว่า  จุลนีพรหมทัตแห่งปัญจาลนคร   ทรงมีพระประสงค์จะทำราชสัมพันธไมตรีกับพระองค์  เพื่อให้นครทั้งสองได้เป็นสุวรรณปฐพีทองแผ่นเดียวกัน  ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้รับพระบรมราชโองการจากพระเจ้าจุลนี  ให้มาเจริญสัมพันธไมตรีกับพระองค์ในครั้งนี้  ข้าพระพุทธเจ้าหวังด้วยเกล้าว่า  พระองค์คงจะทรงยินดีและพอพระราชหฤทัย  ในการผูกสัมพันธไมตรีกับพระราชาของข้าพระพุทธเจ้า  ขอได้โปรดทรงรับไมตรีอันนี้เถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระดำรัสปฏิสันถารกับเกวัฏเป็นอย่างดีและตรัสรับสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าจุลนีแห่งปัญจาลนครด้วยความเต็มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง

เกวัฏจึงกราบทูลต่อไปว่า  "ขอเดชะ  เพื่อให้สัมพันธไมตรีของนครทั้งสองสนิทแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น  ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระบรมราชโองการจากพระเจ้าจุลนี  ให้มากราบทูลขอถวายราชธิดาพระนามว่า 
ปัญจาลจันทีแด่พระองค์  ขอพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทำพิธีอภิเษกกับพระนาง  ณ  ปัญจาลนครเถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำของเกวัฏปุโรหิตดังนั้น  ทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง  แต่เพื่อให้มโหสธได้รับทราบเรื่องนี้ไว้ด้วย  จึงตรัสว่า  "ท่านเกวัฏ  ขอให้ท่านนำความเรื่องนี้ไปสนทนากับมโหสธบัณฑิตของเราให้ทราบไว้ด้วย  อนึ่ง  ท่านกับมโหสธก็เคยมีเรื่องกันอยู่  เมื่อครั้งทำธรรมยุทธ  ถ้ากระไรขอให้ท่านจงไปปรับความเข้าใจกันเสียให้ดีก่อน  แล้วมาหาเราอีกครั้ง"



มโหสธไม่ยอมพูดกับเกวัฏ

มโหสธรู้ว่า  เกวัฏจะมาหาในวันนั้น  จึงคิดว่า  ตนไม่สมควรจะพูดกับคนลามกเช่นเกวัฏ  จึงได้ดื่มเนยใสแต่เช้า  ให้คนรักษาเรือนเอาโคมัยสดมาละเลงทั้วเรือน  เอาน้ำมันทาเสาเรือน  ตั้งเตียงผ้าใบไว้  ๑  เตียง  สำหรับมโหสธนอน  นอกนั้นให้เก็บจนหมดไม่ว่าเตียงและตั่ง  มโหสธนุ่งผ้าแดงนอนบนเตียงผ้า  วางคนรักษาประตูไว้  ๗  คน  และบอกวิธีที่จะปฏิบัติต่อเกวัฏไว้แก่คนเฝ้าประตูทุกชั้น

เกวัฏปุโรหิตออกจากที่เฝ้าพระราชาแล้วก็ตรงมาที่บ้านมโหสธ  ถึงประตูชั้นที่ ๑  จึงถามคนเฝ้าประตูว่า  "ท่านบัณฑิตมโหสธ  อยู่ไหม ?"  แล้วจะเดินเข้าไป

คนเฝ้าประตูกั้นไว้พูดว่า  "ท่านอย่าส่งเสียง  ถ้าท่านจะมาหาท่านบัณฑิตก็จงมานิ่ง ๆ  เพราะวันนี้ท่านบัณฑิตดื่มเนยใสอย่างแรง  ท่านจะต้องไม่ทำเสียงเอ็ดอึง"  แล้วให้เกวัฏผ่านประตูชั้น  ๑  ไป  พอถึงประตูชั้นที่  ๒  คนเฝ้าประตูก็พูดอย่างเดียวกับคนเฝ้าประตูแรก  แล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป  จนถึงประตูชั้น  ๓-๔-๕-๖-๗  จึงถึงที่มโหสธอยู่

มโหสธนอนอยู่บนเตียงผ้า  เห็นเกวัฏเข้ามาขยับจะพูด  แต่มีคนห้ามว่า  "ท่านบัณฑิต  ท่านอย่าพูด เพราะท่านดื่มเนยใสอย่างแรง  ไม่ควรพูดกับคนเลว ๆ  อย่างเกวัฏนี้  เมื่อถูกห้ามตามนัดแนะไว้  มโหสธก็ไม่พูด

เกวัฏเข้าไปหามโหสธ  เมื่อไม่มีที่จะนั่ง  ไม่มีผู้ต้อนรับ  ก็ทำอาการเก้อ ๆ  เคอะ ๆ  ทั้งยังยืนเหยียบโคมัยสดอยู่อีก

คนของมโหสธได้แสดงอาการแก่เกวัฏต่าง ๆ  กัน  บางคนทำยักคิ้วบางคนถลึงตา  บางคนเงื้อมมือ  บางคนยกกำปั้น  บางคนทำท่าจะเตะ

เกวัฏเห็นกิริยาอาการของคนเหล่านั้นไม่น่าไว้ใจเลย  ให้รู้สึกหวาดสะดุ้งเป็นอย่างยิ่ง  คิดว่า  ขืนอยู่ต่อไปคงไม่ปลอดภัยแน่  จึงพูดกับมโหสธว่า  "ท่านบัณฑิต  ข้าพเจ้าลาละ"  แล้วก็เดินออกไป

คนของมโหสธจึงช่วยกันจับคอเกวัฏผลักไป  บางคนก็ตบหน้าเอา  บางคนก็ทุบที่หลัง  ไปถึงประตูชั้นไหนก็ถูกคนเฝ้าประตูผลักใสไล่ส่งไป

เกวัฏได้รับความบอบช้ำ  ทั้งเจ็บทั้งอาย  รีบเดินมุ่งตรงไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช

พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า  "วันนี้  มโหสธบุตรของเรากับเกวัฏคงได้พบกันแล้ว  และคงได้สนทนาธรรมสากัจฉากันจนเป็นที่พอใจ  ทั้งคงปรับความเข้าใจกันในเรื่องที่แล้วมาเป็นอย่างดี  ต่างก็คงให้อภัยให้กันและกัน  อนึ่ง  มโหสธคงดีใจด้วยกับเรา  ที่จะได้พระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาเป็นมเหสี"

ขณะที่พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริอยู่ด้วยความกระหยิ่มพระทัยนั้น  ก็พอดีทอดพระเนตรเห็นเกวัฏเดินเข้ามาหมอบเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์  จึงตรัสถามว่า  "ท่านอาจารย์  ท่านพบมโหสธแล้วหรือ   มโหสธพูดกับท่านอย่างไรบ้าง  และคงอโหสิให้แก่กันและกันแล้วกระมัง  มโหสธชอบใจข่าวที่ท่านนำมานี้หรือไม่ ?"

เกวัฏกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พระอาญาไม่พ้นเกล้า  คนอย่างมโหสธไม่ควรนับว่าเป็นบัณฑิต  มโหสธเป็นคนถ่อย  กระด้าง  ข้าพระพุทธเจ้าไปหาถึงบ้าน  มโหสธไม่พูดกับข้าพระพุทธเจ้าเลย  แม้แต่ที่นั่งก็ไม่มีให้  ไม่มีต้อนรับ  ไม่มีปราศรัย  ทำเป็นใบ้และทำเป็นหูหนวก  คนอย่างมโหสธนี้ไม่ควรอยู่ในตำแหน่งอันมีเกียรติในราชสำนักนี้เลย  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำของเกวัฏ  ก็มิได้ทรงแสดงความพอพระทัย  หรือไม่พอพระทัยอย่างไร  โปรดรับสั่งให้จัดหาที่พักและอาหารให้แก่เกวัฏและข้าราชการที่มาด้วย

เกวัฏเฝ้าอยู่พอสมควรแล้วก็ทูลลากลับไปที่พัก  ซึ่งทางการจัดให้

พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า  "มโหสธเป็นผู้จัดเจนในการปฏิสันถารและเคารพต่อการปฏิสันถาร  การที่เกวัฏมาบอกว่า  ไม่ได้รับการปฏิสันถารจากมโหสธเลยนั้น  อาจเป็นจริงได้  เพราะมโหสธเป็นคนมีเหตุผลและเป็นคนเห็นกาลไกล  อาจนึกว่า  เป็นกลอุบายของเกวัฏอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้  อันความคิด
ของมโหสธลึกซึ้ง  ยากที่ผู้อื่นจะรู้ถึงได้  อนึ่ง  มโหสธอาจเห็นไปว่า  เกวัฏคงจะมาเล้าโลมด้วยกามคุณ  เอาความสัมพันธไมตรีขึ้นบังหน้า  พวกเรายอมไปทำพิธีอภิเษกสมรสในเมืองเขา  เขาอาจเก็บตัวเราไว้ก็ได้  มโหสธคงเห็นเหตุนี้อันจะเกิดแก่เราภายหน้าก็เป็นได้"  ทรงดำริดังนี้แล้วก็รู้สึกหวาดหวั่นพระทัย  ประทับนั่งเหม่อมอง  พระเนตรลอย  พออาจารย์ทั้ง ๔  คือ  เสนกะ  ปุกกุสะ  กามินทื เทวินท์  เข้าไปเฝ้า  จึงรับสั่งถามเสนกะว่า  "อาจารย์เสนกะ  ท่านได้ทราบข่าว่า  พระเจ้าจุลนีจะทรงยกพระราชธิดาให้เรา  ได้ส่งเกวัฏมาเพื่อกำหนดวันไปรับราชธิดาหรือเปล่า ?"

เสนกะทูลว่า  "ได้ทราบแล้ว  พระเจ้าข้า"

พระราชาตรัสถามว่า  "ท่านเห็นอย่างไร  เราควรจะไปหรือไม่ ?"

เสนกะทูลว่า  "ควรอย่างยิ่ง  พระเจ้าข้า  สิริได้มาถึงพระองค์แล้ว  อย่าให้ลอยไปเสีย  หากพระองค์เสด็จไปกรุงปัญจาลก็จะได้ราชธิดามา  กษัตริย์ในสกุลชมพูทวีปยกพระองค์เสียจะหาองค์ใหเสมอเหมือนพระเจ้าจุลนแห่งปัญจาลนครไม่มีแล้ว  การได้ราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาเป็นมเหสีของพระองค์  เป็นการคู่ควรอย่างยิ่ง  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามอาจารย์อีก  ๓  คน  ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกันกับเสนกะ

ในขณะที่พระราชาทรงรับสั่งอยู่กับอาจารย์ทั้ง  ๔  นั้น  เกวัฏก็เข้ามาเฝ้ากราบถวายบังคมลากลับเมืองของตน.


..................................


















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น