เกวัฏใช้อุบายล่อด้วยกามคุณ (ต่อ)
ข่าวลือที่ว่าเกวัฏจะมาเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชนั้น ก็ปรากฏเป็นความจริงขึ้น คือ วันหนึ่งเกวัฏได้มาถึงมิถิลานคร และเข้าเฝ้าถวายบังคมพระเจ้าวิเทหราช ถวายเครื่องบรรณาการ เมื่อได้มีโอกาสจึงกราบทูลว่า "ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในมิถิลานคร พระราชาของข้าพระพุทธเจ้า พระนามว่า จุลนีพรหมทัตแห่งปัญจาลนคร ทรงมีพระประสงค์จะทำราชสัมพันธไมตรีกับพระองค์ เพื่อให้นครทั้งสองได้เป็นสุวรรณปฐพีทองแผ่นเดียวกัน ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้รับพระบรมราชโองการจากพระเจ้าจุลนี ให้มาเจริญสัมพันธไมตรีกับพระองค์ในครั้งนี้ ข้าพระพุทธเจ้าหวังด้วยเกล้าว่า พระองค์คงจะทรงยินดีและพอพระราชหฤทัย ในการผูกสัมพันธไมตรีกับพระราชาของข้าพระพุทธเจ้า ขอได้โปรดทรงรับไมตรีอันนี้เถิด พระเจ้าข้า"
พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระดำรัสปฏิสันถารกับเกวัฏเป็นอย่างดีและตรัสรับสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าจุลนีแห่งปัญจาลนครด้วยความเต็มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
เกวัฏจึงกราบทูลต่อไปว่า "ขอเดชะ เพื่อให้สัมพันธไมตรีของนครทั้งสองสนิทแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระบรมราชโองการจากพระเจ้าจุลนี ให้มากราบทูลขอถวายราชธิดาพระนามว่า
ปัญจาลจันทีแด่พระองค์ ขอพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทำพิธีอภิเษกกับพระนาง ณ ปัญจาลนครเถิด พระเจ้าข้า"
พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำของเกวัฏปุโรหิตดังนั้น ทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง แต่เพื่อให้มโหสธได้รับทราบเรื่องนี้ไว้ด้วย จึงตรัสว่า "ท่านเกวัฏ ขอให้ท่านนำความเรื่องนี้ไปสนทนากับมโหสธบัณฑิตของเราให้ทราบไว้ด้วย อนึ่ง ท่านกับมโหสธก็เคยมีเรื่องกันอยู่ เมื่อครั้งทำธรรมยุทธ ถ้ากระไรขอให้ท่านจงไปปรับความเข้าใจกันเสียให้ดีก่อน แล้วมาหาเราอีกครั้ง"
มโหสธไม่ยอมพูดกับเกวัฏ
มโหสธรู้ว่า เกวัฏจะมาหาในวันนั้น จึงคิดว่า ตนไม่สมควรจะพูดกับคนลามกเช่นเกวัฏ จึงได้ดื่มเนยใสแต่เช้า ให้คนรักษาเรือนเอาโคมัยสดมาละเลงทั้วเรือน เอาน้ำมันทาเสาเรือน ตั้งเตียงผ้าใบไว้ ๑ เตียง สำหรับมโหสธนอน นอกนั้นให้เก็บจนหมดไม่ว่าเตียงและตั่ง มโหสธนุ่งผ้าแดงนอนบนเตียงผ้า วางคนรักษาประตูไว้ ๗ คน และบอกวิธีที่จะปฏิบัติต่อเกวัฏไว้แก่คนเฝ้าประตูทุกชั้น
เกวัฏปุโรหิตออกจากที่เฝ้าพระราชาแล้วก็ตรงมาที่บ้านมโหสธ ถึงประตูชั้นที่ ๑ จึงถามคนเฝ้าประตูว่า "ท่านบัณฑิตมโหสธ อยู่ไหม ?" แล้วจะเดินเข้าไป
คนเฝ้าประตูกั้นไว้พูดว่า "ท่านอย่าส่งเสียง ถ้าท่านจะมาหาท่านบัณฑิตก็จงมานิ่ง ๆ เพราะวันนี้ท่านบัณฑิตดื่มเนยใสอย่างแรง ท่านจะต้องไม่ทำเสียงเอ็ดอึง" แล้วให้เกวัฏผ่านประตูชั้น ๑ ไป พอถึงประตูชั้นที่ ๒ คนเฝ้าประตูก็พูดอย่างเดียวกับคนเฝ้าประตูแรก แล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป จนถึงประตูชั้น ๓-๔-๕-๖-๗ จึงถึงที่มโหสธอยู่
มโหสธนอนอยู่บนเตียงผ้า เห็นเกวัฏเข้ามาขยับจะพูด แต่มีคนห้ามว่า "ท่านบัณฑิต ท่านอย่าพูด เพราะท่านดื่มเนยใสอย่างแรง ไม่ควรพูดกับคนเลว ๆ อย่างเกวัฏนี้ เมื่อถูกห้ามตามนัดแนะไว้ มโหสธก็ไม่พูด
เกวัฏเข้าไปหามโหสธ เมื่อไม่มีที่จะนั่ง ไม่มีผู้ต้อนรับ ก็ทำอาการเก้อ ๆ เคอะ ๆ ทั้งยังยืนเหยียบโคมัยสดอยู่อีก
คนของมโหสธได้แสดงอาการแก่เกวัฏต่าง ๆ กัน บางคนทำยักคิ้วบางคนถลึงตา บางคนเงื้อมมือ บางคนยกกำปั้น บางคนทำท่าจะเตะ
เกวัฏเห็นกิริยาอาการของคนเหล่านั้นไม่น่าไว้ใจเลย ให้รู้สึกหวาดสะดุ้งเป็นอย่างยิ่ง คิดว่า ขืนอยู่ต่อไปคงไม่ปลอดภัยแน่ จึงพูดกับมโหสธว่า "ท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าลาละ" แล้วก็เดินออกไป
คนของมโหสธจึงช่วยกันจับคอเกวัฏผลักไป บางคนก็ตบหน้าเอา บางคนก็ทุบที่หลัง ไปถึงประตูชั้นไหนก็ถูกคนเฝ้าประตูผลักใสไล่ส่งไป
เกวัฏได้รับความบอบช้ำ ทั้งเจ็บทั้งอาย รีบเดินมุ่งตรงไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช
พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า "วันนี้ มโหสธบุตรของเรากับเกวัฏคงได้พบกันแล้ว และคงได้สนทนาธรรมสากัจฉากันจนเป็นที่พอใจ ทั้งคงปรับความเข้าใจกันในเรื่องที่แล้วมาเป็นอย่างดี ต่างก็คงให้อภัยให้กันและกัน อนึ่ง มโหสธคงดีใจด้วยกับเรา ที่จะได้พระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาเป็นมเหสี"
ขณะที่พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริอยู่ด้วยความกระหยิ่มพระทัยนั้น ก็พอดีทอดพระเนตรเห็นเกวัฏเดินเข้ามาหมอบเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์ จึงตรัสถามว่า "ท่านอาจารย์ ท่านพบมโหสธแล้วหรือ มโหสธพูดกับท่านอย่างไรบ้าง และคงอโหสิให้แก่กันและกันแล้วกระมัง มโหสธชอบใจข่าวที่ท่านนำมานี้หรือไม่ ?"
เกวัฏกราบทูลว่า "ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า คนอย่างมโหสธไม่ควรนับว่าเป็นบัณฑิต มโหสธเป็นคนถ่อย กระด้าง ข้าพระพุทธเจ้าไปหาถึงบ้าน มโหสธไม่พูดกับข้าพระพุทธเจ้าเลย แม้แต่ที่นั่งก็ไม่มีให้ ไม่มีต้อนรับ ไม่มีปราศรัย ทำเป็นใบ้และทำเป็นหูหนวก คนอย่างมโหสธนี้ไม่ควรอยู่ในตำแหน่งอันมีเกียรติในราชสำนักนี้เลย พระเจ้าข้า"
พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำของเกวัฏ ก็มิได้ทรงแสดงความพอพระทัย หรือไม่พอพระทัยอย่างไร โปรดรับสั่งให้จัดหาที่พักและอาหารให้แก่เกวัฏและข้าราชการที่มาด้วย
เกวัฏเฝ้าอยู่พอสมควรแล้วก็ทูลลากลับไปที่พัก ซึ่งทางการจัดให้
พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า "มโหสธเป็นผู้จัดเจนในการปฏิสันถารและเคารพต่อการปฏิสันถาร การที่เกวัฏมาบอกว่า ไม่ได้รับการปฏิสันถารจากมโหสธเลยนั้น อาจเป็นจริงได้ เพราะมโหสธเป็นคนมีเหตุผลและเป็นคนเห็นกาลไกล อาจนึกว่า เป็นกลอุบายของเกวัฏอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ อันความคิด
ของมโหสธลึกซึ้ง ยากที่ผู้อื่นจะรู้ถึงได้ อนึ่ง มโหสธอาจเห็นไปว่า เกวัฏคงจะมาเล้าโลมด้วยกามคุณ เอาความสัมพันธไมตรีขึ้นบังหน้า พวกเรายอมไปทำพิธีอภิเษกสมรสในเมืองเขา เขาอาจเก็บตัวเราไว้ก็ได้ มโหสธคงเห็นเหตุนี้อันจะเกิดแก่เราภายหน้าก็เป็นได้" ทรงดำริดังนี้แล้วก็รู้สึกหวาดหวั่นพระทัย ประทับนั่งเหม่อมอง พระเนตรลอย พออาจารย์ทั้ง ๔ คือ เสนกะ ปุกกุสะ กามินทื เทวินท์ เข้าไปเฝ้า จึงรับสั่งถามเสนกะว่า "อาจารย์เสนกะ ท่านได้ทราบข่าว่า พระเจ้าจุลนีจะทรงยกพระราชธิดาให้เรา ได้ส่งเกวัฏมาเพื่อกำหนดวันไปรับราชธิดาหรือเปล่า ?"
เสนกะทูลว่า "ได้ทราบแล้ว พระเจ้าข้า"
พระราชาตรัสถามว่า "ท่านเห็นอย่างไร เราควรจะไปหรือไม่ ?"
เสนกะทูลว่า "ควรอย่างยิ่ง พระเจ้าข้า สิริได้มาถึงพระองค์แล้ว อย่าให้ลอยไปเสีย หากพระองค์เสด็จไปกรุงปัญจาลก็จะได้ราชธิดามา กษัตริย์ในสกุลชมพูทวีปยกพระองค์เสียจะหาองค์ใหเสมอเหมือนพระเจ้าจุลนแห่งปัญจาลนครไม่มีแล้ว การได้ราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาเป็นมเหสีของพระองค์ เป็นการคู่ควรอย่างยิ่ง พระเจ้าข้า"
พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามอาจารย์อีก ๓ คน ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกันกับเสนกะ
ในขณะที่พระราชาทรงรับสั่งอยู่กับอาจารย์ทั้ง ๔ นั้น เกวัฏก็เข้ามาเฝ้ากราบถวายบังคมลากลับเมืองของตน.
พระราชาตรัสถามว่า "ท่านเห็นอย่างไร เราควรจะไปหรือไม่ ?"
เสนกะทูลว่า "ควรอย่างยิ่ง พระเจ้าข้า สิริได้มาถึงพระองค์แล้ว อย่าให้ลอยไปเสีย หากพระองค์เสด็จไปกรุงปัญจาลก็จะได้ราชธิดามา กษัตริย์ในสกุลชมพูทวีปยกพระองค์เสียจะหาองค์ใหเสมอเหมือนพระเจ้าจุลนแห่งปัญจาลนครไม่มีแล้ว การได้ราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาเป็นมเหสีของพระองค์ เป็นการคู่ควรอย่างยิ่ง พระเจ้าข้า"
พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามอาจารย์อีก ๓ คน ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกันกับเสนกะ
ในขณะที่พระราชาทรงรับสั่งอยู่กับอาจารย์ทั้ง ๔ นั้น เกวัฏก็เข้ามาเฝ้ากราบถวายบังคมลากลับเมืองของตน.
..................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น