วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๐)



อุบายซ้อนกลของมโหสธ (ต่อ)

พระเจ้าจุลนีทรงมีพระบรมราชโองการ  ตามถ้อยคำที่อนุเกวัฏกราบทูล  เมื่อพระราชา  ๑๐๑  แต่งเครื่องทรงมาให้ทอดพระเนตร พระเจ้าจุลนีก็ทอดพระเนตรเห็นชื่อมโหสธปรากฏที่ราชาภรณ์ของพระราชาทั้ง  ๑๐๑

ราชาภรณ์เหล่านี้มีฉลองพระบาท  พระขรรค์ทอง  พระมาลา  ซึ่งมโหสธได้จารึกชื่อของตนไว้แล้วตั้งสัตยาธิษฐานขอให้ชื่อนั้นปรากฏเมื่อต้องการให้ปรากฏ  แล้วมอบแก่ทูตทหารที่ไปประจำเมืองต่าง ๆ  ทั้ง ๑๐๑  หัวเมือง  ให้นำไปถวายพระราชาในเมืองนั้น ๆ  ชื่อของมโหสธได้ปรากฏขึ้นครั้งนี้ก็เพราะแรงอธิษฐาน

พระเจ้าจุลนีเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นอักษรจารึกชื่อมโหสธปรากฏในราชาภรณ์ของกษัริย์  ๑๐๑  เช่นนั้น ก็แน่พระทัยว่า  พระราชาเหล่านี้รับสินบนมโหสธ  และคิดทรยศต่อพระองค์  ทรงกลัวต่อมรณภัยอันจะมาถึงแก่พระองค์อย่างยิ่ง  จึงรับสั่งถามอนุเกวัฏว่า  "อนุเกวัฏ  คราวนี้เราจะควรทำอย่างไรดี ?" 

อนุเกวัฏกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  หมดหนทางพะย่ะค่ะ  ทางที่ดีที่สุด  ขอพระองค์รีบขึ้นม้าหนีไปเสียก่อนเถิด  อย่ารอให้ทหารของมโหสธมาจับพระองค์ได้เลย"

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า  "ถ้าเช่นนั้น  อนุเกวัฏช่วยผูกม้าที่นั่งให้เราไว ๆ  ด้วย"

อนุเกวัฏจึงเตรียมผูกม้าพระที่นั่ง  ผูกอย่างมีเงื่อนงำ  คือ  ถ้ารั้งจะให้หยุด  ม้าก็สำคัญว่าให้วิ่ง  ยิ่งรั้งให้หยุดยิ่งวิ่งหนักขึ้น  แล้วนำม้าพระที่นั่งมาถวายพระเจ้าจุลนีในเวลามัชฌิม  กราบทูลให้รีบเสด็จหนีไป

พระเจ้าจุลนีทรงขึ้นม้าควบตะบึงไปทันที  อนุเกวัฏก็ขึ้นม้าทำเป็นขี่ควบตามเสด็จไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับ พระราชาเมื่อทรงเห็นว่า   ควบม้ามาไกลพอสมควร  จะรั้งม้าให้หยุด  ม้าก็ยิ่งวิ่งเร็วหนักขึ้น

อนุเกวัฏกลับเข้าไปอยู่ในกองทัพตะโกนขึ้นว่า  "พระเจ้าจุลนีเสด็จหนีไปแล้ว"

พวกบุรุษที่มโหสธวางไว้ก็ร้องบอกกันต่อ ๆ  ไป

พระราชา  ๑๐๑  และเกวัฏปุโรหิตพร้อมด้วยพวกทหารในกองทัพของพระเจ้าจุลนีต่างพากันหนึเอาตัวรอด  เป็นอันว่า  อุบายการขับไล่ข้าศึกของมโหสธ  ได้สำเร็จไปโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อทหารเลย.





เกวัฏใช้อุบายล่อด้วยกามคุณ

วันเดือนผ่านมาครบ  ๑  ปี  หลังจากที่กองทัพปัญจาลนครพ่ายแพ้มา  เพราะอุบายของมโหสธบัณฑิต  พระเจ้าจุลนีเสียรู้ในอุบาย  มิใช่เรื่องทหารกินสินบนดังที่อนุเกวัฏกราบทูล  ทรงหาทางแก้แค้นอยู่ตลอดเวลา

เกวัฏปุโรหิตมองดูหน้าของตนที่กระจก  เห็นแผลเป็นที่หน้าผากทีไร  ให้รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น
มโหสธมาก  วันหนึ่ง  เกวัฏคิดอุบายได้อย่างหนึ่ง  จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี

พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรเห็นเกวัฏปุโรหิตมาเฝ้า  จึงตรัสว่า  "ว่าอย่างไรท่านเกวัฏ  ท่านมีอุบายอะไรที่จะมาบอกให้เราทำอีกหรือ  ถ้าเป็นอย่างที่แล้วมา  เราก็เห็นจะไม่ยอมทำตามความคิดของท่านเป็นแน่ แต่เรายังแค้นใจอยู่มาก  ที่แล้วมาเราเสียรู้ในกลอุบายของมโหสธ  ต้องถอยหนีกลับมาอย่างไม่มีท่า"

เกวัฏ  "ขอเดชะ  ข้าพระพุทธเจ้าคิดอุบายได้อย่างหนึ่งแล้ว  คราวนี้ต้องชนะแน่  และไม่มีทางที่มิถิลานครจะรอดพ้นเงื้อมมือไปได้เลย  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าจุลนี  "ท่านจงว่าไปซิ"

เกวัฏ  "อุบายนี้สำคัญมาก  ข้าพระพุทธเจ้าจะกราบทูลได้ก็ต่อเมื่อพระองค์กับข้าพระพุทธเจ้าอยู่กันสองต่อสอง"

พระราชา  "ดีแล้ว"

เกวัฏได้ทูลพระราชาให้เสด็จขึ้นบนปราสาท  แล้วปรึกษากันที่ห้องพระบรรทม

เกวัฏกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ควรใช้อุบายล่อพระเจ้าวิเทหราชด้วยกามคุณ  แล้วเอาตัวมาฆ่าเสียพร้อมด้วยมโหสธ"

พระราชา  "อุบายของท่านน่าฟัง  แต่เราจะล่อเขามาได้อย่างไร  ลองว่าไปทีซิ ? "

เกวัฏ  "ข้าแต่พระมหาราชเจ้า  เรื่องนี้ไม่ยากเลย  พระราชธิดาของพระองค์  ทรงพระนามว่าปัญจาลจันที ทรงมีพระรูปโฉมงามมาก"  เกวัฏยังทูลไม่ทันจบ  พระเจ้าจุลนีทรงกริ้ว  ตรัสด้วยพระสุรเสียงดังว่า   "หยุด เกวัฏ  ท่านจะให้ราชธิดาของเราไปล่อข้าศึกอย่างนั้นหรือ  ท่านดูหมิ่นเรามากไปเสียแล้ว  ตระกูลวงศ์ของเราไม่เคยทำเช่นนั้น  หากท่านพูดไม่ถูกใจเราอีก  เราจะประหารชีวิตท่านเสีย"

เกวัฏกราบทูลอย่างไม่สะทกสะท้านว่า  "ขอเดชะ  ขอได้โปรดฟังข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลให้จบก่อน  อย่างเพิ่งทรงพิโธไปเลย  อุบายของข้าพระพุทธเจ้าคราวนี้จะเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระองค์  หากจะทรงอนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้าเล่าถวายจนจบ  หากไม่เป็นที่พอพระทัย  ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายชีวิต"

พระราชา  "เล่าไปได้"

เกวัฏ  "ข้าพระพุทธเจ้าต้องการให้พระองค์เรียกนักกวี  มาแต่งพรรณนาความงามของพระราชธิดาเป็นเพลงขับ  แล้วให้นักร้องขับกาพย์กลอนนั้นในเมืองมิถิลา  บทขับให้มีใจความว่า  "พระราชธิดาของกษัริย์ปัญจาลนคร  พระนามว่า  ปัญจาลจันที  ทรงมีพระรูปโฉมงามดุจนางเทพอัปสร  สมควรเป็นเอกอัครมเหสีของพระเจ้าวิเทหราชเป็นอย่างยิ่ง  หากพระเจ้าวิเทหราชไม่ได้นารีรัตนะเห็นปานนี้มาเป็นคู่ครองแล้วไซร้  ก็ไม่ควรที่จะเป็นกษัตริย์ครองวิเทหรัฐต่อไปเลย"  เมื่อเพลงขับได้แพร่ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าวิเทหราชแล้ว  เชื่อแน่ว่า  พระองค์ต้องหลงใหลในความงามของพระราชธิดาและคงมีพระประสงค์จะอภิเษกสมรสกับพระนาง  อุบายต่อไปที่จะทำแก่พระเจ้าวิเทหราชและมโหสธเป็นที่ของข้าพระพุทธเจ้า"

พระเจ้าจุลนีทรงพอพระทัยในอุบายของเกวัฏมาก  จึงรับสั่งให้นักขับร้องมาขับกล่อมในพระราชนิเวศน์ ทรงฟังอยู่ด้วยความเพลิดเพลินและพอพระทัยกับทรงหลงใหลในความงามของพระราชธิดาแห่ง
ปัญจาลนครตามบทขับ  ทรงใคร่จะได้พระนางมาเป็นอัครมเหสี  จึงรับสั่งถามพวกนักขับร้องว่า  "ราชธิดาของพระเจ้าจุลนีทรงมีพระรูปโฉมงามมากอย่างที่ท่านขับร้องนี้จริงหรือ ?"

นักขับร้อง  "ขอเดชะ  ข้อความบทนี้  ยังพรรณนาความงามของพระนางไม่ถึงหนึ่งในร้อยในพันของความงามที่ปรากฏแก่พระนางจริง ๆ  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชตรัสว่า  "เราจะส่งสาสน์ไปกราบทูลพระเจ้าจุลนี  เพื่อขอราชธิดาเป็นอัครมเหสีของเรา"

นักขับร้องที่ออกไปจากราชสำนักของพระเจ้าจุลนี  ได้นำพระดำรัสของพระเจ้าวิเทหราชที่ตรัสแก่ตน มากราบทูลพระเจ้าจุลนีให้ทรงทราบ

เกวัฏเมื่อทราบว่า  พระเจ้าวิเทหราชมีพระประสงค์ตามอุบายที่ตนวางไว้เช่นนั้น  จึงรับอาสาพระเจ้าจุลนีนำบรรณาการไปถวายพระเจ้าวิเทหราช  และกำหนดวันที่จะเชิญเสด็จไปทำพิธีอภิเษกสมรส

ข่าวลือไปทั่วพระนครมิถิลาว่า  พระเจ้าจุลนีกับพระเจ้าวิเทหราชจะผูกสัมพันธไมตรีต่อกัน  โดยพระเจ้าจุลนีจะพระราชทานพระราชธิดาของพระองค์แด่พระราชาวิเทหะ  และได้ทราบว่า  เกวัฏปุโรหิตจะมาเฝ้า เพื่อกำหนดวันอภิเษก

ข่าวลือนี้ได้ยินไปถึงพระราชวิเทหะ  และมโหสธบัณฑิต  เกวัฏจะมาไม้ไหนอีก  แต่ก็ได้เตรียมการวางแผนการแก้ไขไว้แล้วด้วยความไม่ประมาท


.................................


(ยังมีต่ออีก)


























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น