พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปอุตรปัญจาลนคร (ต่อ)
มโหสธคิดว่า จะต้องทำให้พระราชาซึ่งมัวเมาในกามสะดุ้งพระทัยสักเล็กน้อย แล้วจึงจะแสดงกำลังปัญญาของเราให้ปรากฏในภายหลัง กราบทูลว่า
"ข้าแต่บรมกษัตริย์ พระเจ้าจุลนีทรงมีกำลังแสนยานุภาพมาก
ทรงจัดกำลังทหารมาล้อมพระนคร หวังจะ
จับพระองค์ปลงพระชนม์ในวันพรุ่งนี้เช้า"
พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำของมโหสธกราบทูล พระศอแห้งผาก พระพักตร์ซีด ทรงกระวนกระวายพระทัย พระวรกายผะผ่าวร้อน ทรงคร่ำครวญว่า
"พ่อมโหสธเอ๋ย ใจของพ่อสั่นระริก ปากคอแห้งผาก
ความรุ่มร้อนเกิดภายในเหมือนไฟสุม"
มโหสธได้ฟังพระราชาทรงคร่ำครวญ จึงดำริว่า พระราชาไม่เชื่อเราดั้งแต่ต้น เชื่อคนอื่นมากกว่าเรา เราจะต้องทรมานพระองค์ต่อไป ได้กราบทูลว่า
"ข้าแต่บรมกษัตริย์ พระองค์ทรงประมาท ข้าพระองค์
กราบทูลห้ามแล้วเมื่อก่อนจะเสด็จ พระองค์มิทรงเชื่อ
ข้าพระบาท กลับทรงกริ้วข้าพระพุทธเจ้า บัดนี้ อาจารย์
ทั้ง ๔ ก็อยู่ที่นี่ ขอพระองค์จงทรงรับสั่งให้อาจารย์ทั้ง
๔ ผู้มีความฉลาดรอบครอบ หาทางป้องกันพระองค์เถิด
ข้าแต่บรมกษัตริย์ ปลาอยากกินของสด คือเเหยื่อที่เบ็ด
ย่อมไม่รู้จักความตาย ฉันใด พระองค์ทรงปรารถนากาม
ย่อมมิทรงทราบว่า พระราชธิดาของพระเจ้าจุลนี
เป็นประดุจเหยื่อ พระองค์ราวกะปลาไม่รู้จักเหยื่อ
คือความตายของตน ฉันนั้น
ข้าแต่พระจอมประชากร บุรุษอนารยะย่อมเป็นเหมือนงูอยู่ในพก ผู้มีปัญญาย่อมไม่ทำไมตรีกับบุรุษอนารยะ เพราะการสมาคมด้วยบุรุษอนารยะรังแต่จะนำทุกข์มาให้
ข้าแต่พระจอมนิกรชน บุรุษอารยะมีศีล เป็นพหูสูต
ย่อมรู้คุณค่าของไมตรี ผู้มีปัญญาควรทำ ไมตรีด้วยบุรุษ
อารยะ เพราะการสมาคมด้วยบุรุษอารยะย่อม
นำความสุขมาใด้
ข้าแต่พระราชา ข้าพระองค์ไม่รู้กิจอันเป็นมงคลของ
กษัตริย์ ไม่เหมือนอาจารย์เกวัฏกับคนอื่น ๆ ย่อมรู้
ความเจริญอันเป็นมงคลของกษัตริย์ ข้าพระองค์รู้จัก
แต่เพียงคันไถและกิจการของชาวบ้านเท่านั้น ไม่รู้ถึง
กิจการของกษัตริย์ พระองค์ตรัสสั่งราชบุรุษให้ไสคอข้า
พระพุทธเจ้าออกไป เพราะข้าพระพุทธเจ้าพูดไม่เป็น
มงคลแด่กษัตริย์"
มโหสธ "ขอเดชะ ถ้อยคำที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลมาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องในอดีต พระองค์ทรงระลึกได้ ก็เมื่อพระองค์ทรงขับไล่ไสส่งข้าพระองค์ไปแล้ว ไฉนจักต้องมาตรัสถามข้าพระองค์ในบัดนี้"
พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังมโหสธดังนั้น จึงดำริว่า มโหสธแสดงโทษที่เราทำไปแล้ว เพราะมโหสธรู้แน่ว่า จะมีภัยเกิดขึ้น จึงได้กล่าวทับถมย่ำยีเราถึงเพียงนี้ แต่ก็คงไม่ปล่อยให้เราถึงความพินาศแน่ เขาคงหาทางป้องกันให้เราปลอดภัยไว้แล้ว เราต้องอาศัยมโหสธอยู่ตลอดไป เมื่อทรงดำริดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า
"พ่อมโหสธ บัณฑิตเขาไม่ทิ่มแทงถึงโทษที่ล่วงแล้ว
ด้วยหอกคือปากกันดอก ก็แต่เจ้ามาทิ่มแทงเราให้
เป็นเหมือนม้าที่ผูกเครื่อง ถูกทิ่มแทงด้วยเหล็กแหลมทำไม
เจ้าเห้นอุบายที่จะทำให้เราพ้นภัย หรือเห็นความเกษมสวัสดี
ของเราจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ขอให้บอก
แก่เราด้วยดีเถิด อย่ามาทิ่มแทงเราด้ววยเรื่องที่ล่วงแล้วเลย"
มโหสธกราบทูลซ้ำเติมทรมานพระเจ้าวิเทหราชหนักขึ้นอีกว่า
"กรรมที่มนุษย์ก่อ ถึงจะล่วงเลยไปแล้วก็ไม่อาจ
แก้ได้ ผู้ใดทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ผู้นั้นจะต้อง
ได้รับผลของกรรมนั้น ดังนั้น ข้าพระองคจึงไม่สามารถ
ปลดเปลื้องพระองค์ให้พ้นจากภยันตรายได้ ขอพระองค์
ทรงทราบด้วยพระองค์เองเถิด พระเจ้าข้า"
พระเจ้าวิเทหราชได้สดับถ้อยคำของมโหสธ ก็ต้องจำนนตามหลักความจริง จึงมิได้ตรัสอย่างไร ประทับเฉยอยู่
ทีนั้น เสนกะเห็นว่าจะไม่เป็นการ เข้าใจเอาว่า มโหสธคงไม่คิดจะช่วยเหลืออย่างไรแล้ว ทั้งพระราชาก็ทรงเดือดร้อนวุ่นวายถึงกับไม่ตรัสอะไร เพราะตรัสไม่ออก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ถ้ามโหสธถอนตัวเสียแล้ว ก็คงถึงความพินาศกันไปหมด เสนกะจึงอ้อนวอนมโหสธว่า
"ท่านมโหสธบัณฑิต อันบุรุษที่ว่ายเวียนอยู่กลาง
มหาสมุทร เมื่อยังไม่เห็นฝั่ง หากได้เครื่องยึดเหนี่ยวพอ
พำนักได้ในที่ใด เขาก็จะได้รับความสุขในที่นั้น ฉันใด
ท่านมโหสธ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งพำนักของพระราชา
ของพวกข้าพเจ้าฉันนั้นเถิด เพราะท่านเป็นผู้ประเสริฐ
เลิศด้วยปัญญายิ่งกว่าพวกข้าพเจ้า ขอท่านจงปลด
เปลื้องภัยพิบัติในครั้งนี้เถิด"
มโหสธเมื่อเห็นเสนกะอ่อนข้อลงบ้างแล้ว จึงพูดสำทับไปว่า
"อาจารย์เสนกะ ท่านก็ทราบแล้วว่า กรรมที่คนก่อ
ไว้ถึงจะล่วงไปแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้ กรรมย่อมสนอง
ผู้ก่อกรรม ไม่มีใครจะสู้กับกรรมได้ เพราะฉะนั้น
ข้าพเจ้าไม่สามารถจะปลดเปลื้องให้พวกท่านและ
พระราชาพ้นจากทุกข์ได้ ขอให้ท่านหาทางแก้ไขกันเองเถิด"
พระเจ้าวิเทหราชทรงอึดอัดในพระทัยอย่างยิ่ง เมื่อไม่ทรงเห็นใครจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวได้ ทั้งมโหสธก้ไม่ยอมที่จะคิดช่วยเหลือ จึงทรงดำริว่าเสนกะก็คงมีอุบายอะไร ๆ ที่จะมีประโยชน์อยู่บ้าง จึงรับสั่งถามเสนกะว่า "อาจารย์เสนกะ มหาภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นแก่เราคราวนี้ ท่านคิดว่า เราจะควรทำอย่างไร ?"
เสนกะกราบทูลว่า "ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า เห็นว่าควรเอาไฟเผาเสียตั้งแต่ประตูปราสาทให้พินาศไป หรือไม่พวกเราก็พากันฆ่าพวกเราให้ตายเสียให้หมด อย่าทันให้พระเจ้าจุลนีพรหมทัตมาจับพวกเราฆ่าเสีย แล้วเอาปราสาทนั้นเป็นจิตกาธาน พระเจ้าข้า"
พระวิเทหราชได้สดับคำกราบทูลของเสนกะ ไม่ทรงพอพระทัย ตรัสว่า "เสนกะ เจ้าจงทำจิตกาธานเช่นนั้นแก่บุตรภรรยาของเจ้าเถิด" แล้วรับสั่งถามปุกกุสะ กามินท์ เทวินท์ เป็นลำดับไป
ปุกกุสะกราบทูลว่า "ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า พวกเราควรดื่มยาพิษให้ตายกันเสียก่อน อย่าทันให้พะเจ้าจุลนีมาจับฆ่าพวกเราเลย พระเจ้าข้า"
กามินท์กราบทูลว่า "ขอเดชะ พวกเราทำอัตวินิบาตกรรมเสียเอง เช่น ผูกคอตาย โดยบ่อตาย แทงตัวตาย อย่าทันใด้พระเจ้าจุลนีมาจับเราฆ่าเลย"
เทวินท์กราบูลว่า "ขอเดชะ หากมโหสธไม่สามารถช่วยพวกเรา ให้พ้นจากภัยใหญ่นี้ได้ ก็ขอให้โปรดรับสั่งให้ทำตามที่อาจารย์เสนกะกราบทูลไว้เถิด พระเจ้าข้า" เทวินท์ได้เพ้อต่อไปว่า "พวกเราจะลองวิงวอนมโหสธดูอีกครั้ง หากมโหสธไม่สามารถจะปลดเปลื้องพวกเราได้ ก็ขอให้พวกเราทำตามที่อาจารย์เสนกะได้กราบทูลไว้"
..............................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น