มโหสธอาสาป้องกันพระนคร
มโหสธเห็นกองทัพพระเจ้าจุลนียกมาล้อมนครไว้เช่นนั้น ก็ไม่รู้สึกครั่นคร้ามขามขยาดแต่อย่างไร ได้เตรียมการป้องกันพระนครไว้อย่างแข็งแรง คิดเป็นห่วงพระเจ้าวิเทหราชว่า พระองค์จะทรงตกพระทัยกลัว จึงรีบไปสู่พระราชนิเวศน์ กราบถวายบังคมเฝ้านิ่งอยู่ เพื่อฟังพระกระแสรับสั่งของพระราชา
พระราชาพอทอดพระเนตรเห็นมโหสธมาเฝ้า ก็สบายพระทัย จึงรับสั่งกับมโหสธว่า "พ่อมโหสธลูกรัก พระเจ้าจุลนีกษัตริย์แห่งปัญจาลนคร ยกกองทัพมหึมา มาล้อมนครของเราครั้งนี้ เราจะควรแก้ไขอย่างไร จึงจะรอดพ้นจากการโจมตีของข้าศึกได้ การครั้งนี้พ่อไม่เห็นใครแล้วนอกจากพ่อมโหสธ"
มโหสธกราบทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์อย่าทรงพระวิตกไปเลย ไว้เป็นธุระของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอรับอาสาป้องกันราชสมบัติและพระองค์ ขอพระองค์จงประทับอยู่ ณ พระราชฐานนี้เหมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่าทรงนึกถึงการสงครามเลย ข้าพระบาทจะจัดการแก่พระเจ้าจุลนีให้หนีไปจนได้"
พระราชาทรงเบาพระทัยหายกังวลในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รับสั่งแก่มโหสธว่า "พ่อมโหสธ เราไว้ใจในความสามารถของท่านแล้ว ขอให้ท่านจงทำหน้าที่ป้องกันราชอาณาจักรของเราให้เป็นที่ผาสุกแก่อาณาประชาราษฏรเถิด"
มโหสธรับพระบรมราชโองการแล้วกราบถวายบังคมลาออกมา ให้ตีกลองร้องประกาศแก่ชาวพระนครว่า "ท่านพี่น้องชาวมิถิลานครทั้งหลาย การที่พวกเราชาวมิถิลาถูกข้าศึกล้อมโดยรอบคราวนี้ ขออย่าได้หวาดสะดุ้งกลัวเกรงข้าศึกแต่อย่างไรเลย ขอให้พวกท่านประดับร่างกายด้วยดอกไม้ของหอมมาเล่นและชมมหรสพกันเถิด"
เมื่อชาวพระนครต่างทำตามมโหสธทุกประการ พวกที่อยู่นอกเมือง เมื่อได้ยินเสียง ขับร้องประโคมดนตรี ก็พากันเข้าไปภายในเมือง โดยไม่มีใครขัดขวางห้ามปราม ประตูนครมีคนเข้าคนออกกันอยู่ขวักไขว่มิได้ขาด
พรเะเจ้าจุลนีพรหมทัดได้ไปเที่ยวสืบถามความจากผู้ที่มโหสธนัดแนะไว้ว่า หากมีผู้มาถามก็ให้บอกความอย่างนั้น ๆ
ราชบุรุษเมื่อได้ทราบความจากผู้บอก จึงมากราบทูลพระเจ้าจุลนีว่า "ข้าแต่เทพเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าได้ไปถามชาวเมืองดูได้ความว่า เขามีมหรสพและเลี้ยงดูกันภายในพระนคร ที่เขาทำดังนั้น ก็เพราะพระราชาของเขา คือ พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ว่า เมื่อใดกษัตริย์ในสกลชมพูทวีปยกมาล้อมพระนคร เมื่อนั้นจะให้ชาวนครเล่นมหรสพและเลี้ยงดูกันอย่างสนุกสนาน บัดนี้ ก็สมปณิธานของพระราชาของเขาแล้ว ทางราชการจึงป่าวร้องให้ชาวนครเล่นมหรสพ และเลี้ยงดูกันเป็นการใหญ่ ความปรากฏดังนี้แหละ พระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้าจุลนีได้สดับดังนั้นก็ทรงขัดเคืองเป็นอันมาก ตรัสสั่งทหารว่า "ทหารทั้งหลาย จงรีบถมเมืองโดยรอบ ทำลายคู ทำลายกำแพง ทำลายประตูหอรบ แล้วพากันเข้าไปภายในเมือง ตัดหัวชาวเมืองบรรทุกเกวียน ๑๐๐ เล่ม แล้วตัดเศียรพระเจ้าวิเทหราชนำมาให้เรา"
ทหารได้ฟังพระราชดำรัสสั่งดังนั้นก็บุกเข้าไป หมายจะปีนกำแพงเมือง ก็ถูกทหารของมโหสธเทสาดเปือกตม กรวดทราย เลน โคลน ก้อนหิน ตกลงมาถูกต้องทหารพระเจ้าจุลนี จนไม่สามารถจะขึ้นไปได้ จึงคิดจะทำลายกำแพง แต่ก็ถูกทหารที่อยู่บนเชิงเทินพุ่งหอก ยิงด้วยธนู บาดเจ็บล้มตายกันเกลื้อนกลาด
ทหารกรุงปัญจาละไม่สามารถจะโจมตีกำแพงนครได้ จึงไปเฝ้าพระเจ้าจุลนีกราบทูลว่า "พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่สามารถโจมตีมิถิลานครได้ พระพุทะเจ้าข้า"
พระเจ้าจุลนีจึงทรงปรึกษากับเกวัฏปุโรหิตว่า "อาจารย์ พวกเราไม่อาจตีกรุงมิถิลาได้ จะควรทำอย่างไรดี ?"
เกวัฏกราบทูลว่า "เราควรกักมิให้ผู้ใดผู้หนึ่งนำน้ำเข้าไปในเมืองได้ เมือชาวเมืองอดน้ำก็จะทนไม่ไหว ต้องเปิดประตูเมืองออกมา"
พระราชาจุลนีทรงเห็นด้วย มีรับสั่งให้ทหารคิดตรวจตราโดยเข้มแข็ง อย่าให้ใครนำน้ำเข้าไปในเมืองได้
คนที่มโหสธวางไว้ภายนอกคอยดูความเคลื่อนไหว ก็เขียนหนังสือผูกปลายลูกศรยิงส่งข่าวเข้าไปในเมือง มโหสธได้ทราบข่าวจากคนส่งข่าว ดังนั้น จึงให้นำไม้ไผ่มาต่อกันเข้าให้ได้ ๖๐ ศอก แล้วผ่าเป็น ๒ ซึก รานปล้องออกให้หมด แล้วประกบกันเข้ารัดด้วยหนัง เอาปลายพาดกำแพงทางโคนยกให้สูงขึ้น แล้วช่วยกันตักน้ำจากสระโบกขรณี ใส่ทางโคนให้น้ำไหลออกทางปลาย ไม่ให้ขาดระยะ มีดอกบัวไหลออกไปด้วย แสดงว่า น้ำในพระนครมีเหลือล้น จนต้องเอาออกมาให้คนข้างนอกใช้บ้าง แล้วให้คนร้องประกาศว่า "ขอเชิญท่านที่อยู่ข้างนอกอาบและดื่มกันให้สบายเถิด"
ทหารพระเจ้าจุลนีเห็นดังนั้น ก็ไปกราบทูลว่า "ขอเดชะ น้ำในเมืองมีล้นเหลือ จนต้องเอาออกมาให้คนข้างนอกใช้แล้ว พระเจ้าข้า"
พระเจ้าจุลนีจึงรับสั่งถามเกวัฏปุโรหิตว่า "จะทำอย่างไรต่อไปอาจารย์ ข้างในพระนครเขามีน้ำล้นเหลือแล้ว อุบายของเราจะทำให้ชาวเมืองอดน้ำไม่สำเร็จแน่"
เกวัฏปุโรหิตกราบทูลว่า "ขอเดชะ ถ้าเช่นนั้นทำให้อดข้าว คอยตรวจมิให้คนภายนอกนำข้าวเข้าไปเลี้ยงพวกในเมืองได้ วิธีนี้คงสำเร็จแน่ เพราะในพระนครคงไม่มีข้าวเหลือเฟือ นอกจากจะได้รับไปจากภายนอก"
พระราชารับสั่งให้ทำตามคำปุโรปิต ให้ประกาศแก่ทหารว่า "อย่าให้มีผู้ใดนำข้าวเข้าไปในเมืองได้เป็นอันขาด"
มโหสธทราบความจากคนส่งข่าวภายนอก จึงให้เอาโคลนมาเทลงบนกำแพง แล้วหว่านข้าวเปลือกลงในที่นั้น พอรุ่งขึ้นข้าวเปลือกก็งอกเต็มไปหมด เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง
พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรเห็นข้าวงอกเต็มไปบนกำแพงเช่นนั้น จึงตรัสถามว่า "นั่นอะไรปรากฏอยู่บนกำแพงเมือง"
คนที่มโหสธวางไว้คอยสืบข่าวได้โอกาส จึงกราบทูลว่า "ขอเดชะ มโหสธบัณฑิตผู้เป็นที่ปรึกษาราชการของพระเจ้าวิเทหราช ได้เห็นภัยจะมาถึงข้างหน้า เป็นผู้ไม่ประมาท ได้ให้ขนข้าวเปลือกมาเก็บไว้ในฉางหลวง ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้ริมกำแพง เมื่อได้รับน้ำฝนก็งอกเป็นกล้า" แล้วกราบทูลต่อไปอีกว่า "ภายในนครนั้น ข้าวปลาธัญญาหารอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง บางเวลาก็ขนเอาออกมาแจกจ่ายแก่คนนอกเมืองด้วย พระเจ้าข้า"
ทหารพระเจ้าจุลนีเห็นดังนั้น ก็ไปกราบทูลว่า "ขอเดชะ น้ำในเมืองมีล้นเหลือ จนต้องเอาออกมาให้คนข้างนอกใช้แล้ว พระเจ้าข้า"
พระเจ้าจุลนีจึงรับสั่งถามเกวัฏปุโรหิตว่า "จะทำอย่างไรต่อไปอาจารย์ ข้างในพระนครเขามีน้ำล้นเหลือแล้ว อุบายของเราจะทำให้ชาวเมืองอดน้ำไม่สำเร็จแน่"
เกวัฏปุโรหิตกราบทูลว่า "ขอเดชะ ถ้าเช่นนั้นทำให้อดข้าว คอยตรวจมิให้คนภายนอกนำข้าวเข้าไปเลี้ยงพวกในเมืองได้ วิธีนี้คงสำเร็จแน่ เพราะในพระนครคงไม่มีข้าวเหลือเฟือ นอกจากจะได้รับไปจากภายนอก"
พระราชารับสั่งให้ทำตามคำปุโรปิต ให้ประกาศแก่ทหารว่า "อย่าให้มีผู้ใดนำข้าวเข้าไปในเมืองได้เป็นอันขาด"
มโหสธทราบความจากคนส่งข่าวภายนอก จึงให้เอาโคลนมาเทลงบนกำแพง แล้วหว่านข้าวเปลือกลงในที่นั้น พอรุ่งขึ้นข้าวเปลือกก็งอกเต็มไปหมด เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง
พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรเห็นข้าวงอกเต็มไปบนกำแพงเช่นนั้น จึงตรัสถามว่า "นั่นอะไรปรากฏอยู่บนกำแพงเมือง"
คนที่มโหสธวางไว้คอยสืบข่าวได้โอกาส จึงกราบทูลว่า "ขอเดชะ มโหสธบัณฑิตผู้เป็นที่ปรึกษาราชการของพระเจ้าวิเทหราช ได้เห็นภัยจะมาถึงข้างหน้า เป็นผู้ไม่ประมาท ได้ให้ขนข้าวเปลือกมาเก็บไว้ในฉางหลวง ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้ริมกำแพง เมื่อได้รับน้ำฝนก็งอกเป็นกล้า" แล้วกราบทูลต่อไปอีกว่า "ภายในนครนั้น ข้าวปลาธัญญาหารอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง บางเวลาก็ขนเอาออกมาแจกจ่ายแก่คนนอกเมืองด้วย พระเจ้าข้า"
...................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น