วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๒๕)



พระเจ้าจุลนีพรหมทัดแผ่อำนาจ

ยังมีพระราชาพระองค์หนึ่ง  ทรงพระนามว่า  พระเจ้าสังขพลกะ  เป็นกษัตริย์ในแคว้นกัมพลรัฐ  วันหนึ่ง พระเจ้าสังขพลกะรับสั่งให้เรียกระดมพลเตรียมศัสตราวุธอย่างพร้อมพรั่ง

ทูตทหารของมโหสธที่อยู่ประจำแคว้นกัมพลรัฐ  ได้ส่งข่าวมาให้มโหสธทราบว่า  "เวลานี้พระเจ้าสังขพลกะแห่งแคว้นกัมพลรัฐ  ได้สั่งระดมพลเตรียมศัตราวุธไว้มากมาย  ยังไม่ทราบเหตุผล  ขอท่านได้ส่งนกแก้วซึ่งเป็นนกแสนรู้ไปสืบความดูให้รู้แน่เถิด"

มโหสธบัณฑิตได้รับข่าวจากทูตทหารดังนั้น  จึงได้เรียกนกแก้วแสนรู้มาสั่งว่า  "เจ้าจงไปสืบข่าวดูทีหรือว่า  พระราชาสังขพลกะแห่งแคว้นกัมพลรัฐได้เรียกระดมพลเตรียมศัสตราวุธเพื่ออะไร  เสร็จแล้วจงตระเวนไปให้ทั่วชมพูทวีป  สืบเหตุการณ์มาให้เราทราบ"  ครั้นสั่งแล้วจึงให้นกแก้วกินข้าวตอกคลุกน้ำผึ้งดื่มน้ำผึ้ง  เอาน้ำมันที่หุงร้อยหนพันหนทาที่ขนปีก  แล้วปล่อยให้ออกไปทางหน้าต่าง  มุ่งตรงไปทิศปราจีน

นกแก้วแสนรู้ตรงไปยังกัมพลรัฐ  สืบรู้ความเคลื่อนไหวของพระเจ้าสังขพลกะเรียบร้อยแล้ว  จึงตระเวน
ไปสืบข่าวคราวทั่วชมพูทวีปจนถึงอุตรปัญจาลนครในกัปปิลรัฐ

พระเจ้าจุลนีพรหมทัตเป็นกษัตริย์อยู่ในอุตรปัญจาลนคร  ทรงมีปุโรหิตซึ่งทำหน้าที่ถวายอรรถธรรมแก่พระองค์อยู่คนหนึ่ง  ชื่อเกวัฏพราหมณ์

ย่ำรุ่งวันหนึ่ง ปุโรหิตตื่นขึ้นมองไปโดยทั่วบริเวณทั้งภายในภายนอกบ้านของตน  แลเห็นเครื่องยศและสมบัติอันมโหฬาร  ให้รู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง  คิดว่า  ที่ได้มาอย่างนี้ก็เพราะพระเจ้าจุลนีพรหมทัตพระราชทานมา  พระองคืทรงมีอุปการคุณมหาศาล  ความที่เราจะคิดจัดการให้พระองค์ได้ทรงพระอิสริยยศยิ่ง ๆ  ขึ้น  จนได้เป็นถึงอัครราชาผู้ยิ่งใหญ่ในสกลชมพูทวีป  ส่วนเราก็จักได้เป็นอัครปุโรหิตประจำในราชสำนัก  คิดดังนี้แล้ว  เกวัฏปุโรหิตจึงลุกขึ้นจากห้องนอน  ชำระล้างร่างกาย  แต่งตัวไปเฝ้าพระราชาแต่เช้า

พระราชารับสั่งถามว่า  "ท่านปุโรหิต  มีธุระอะไรหรือจึงมาแต่เช้า ? "

ปุโรหิตกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระพุทธเจ้ามีเรื่องที่จะกราบทูลปรึกษาเป็นความลับ  และก็ไม่ควรปรึกษาในพระนคร  ควรเสด็จไปพระราชอุทยานเถิด  พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงทำตามปุโรหิต  เสด็จไปยังพระราชอุทยานกับปุโรหิตเท่านั้น  ภายนอกวางทหารรักษาพระองค์ไว้  ทรงประทับนั่งบนแผ่นศิลา

นกแก้วแสนรู้เห็นกิริยาของพระราชากับปุโรหิต  ดูทีท่าจะมีอะไร ๆ  กันอยู่  จึงคิดว่า  จะต้องไปฟังความดู
จึงบินไปแอบอยู่บนต้นรังใกล้ ๆ  กับที่พระราชาและปุโรหิตปรึกษากันนั้น

พระราชา  "ท่านปุโรหิต  มีเรื่องอะไรก็พูดไปเถิด  เราจะฟัง ? "

ปุโรหิต  "ขอเดชะ  เรื่องนี้เป็นความลับ  จะรู้กันได้เพียง  ๔  หู  ระหว่างพะองค์กับข้าพระพุทธเจ้าเท่านั้น หากพระองค์ทรงทำตามคำที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลแล้ว  พระองค์จะทรงเป็นอัครราชาผู้เลิศล้ำในสกลชมพูทวีปอย่างแน่นอน"

พระราชาได้สดับดังนั้น  ก็ทรงโสมนัสเพราะปรารถนาความยิ่งใหญ่อยู่แล้ว  จึงตรัสว่า  "พูดไปเถิดท่านปุโรหิต  เราจะทำตามคำของท่าน"

ปุุโรหิตกราบทูลว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  ขอพระองค์ได้รับสั่งให้ระดมพลเตรียมกองทัพ  แล้วยกไปล้อมเมืองต่าง ๆ  ยึดไว้ก่อน  เมื่อยึดเมืองใดไว้ได้  ข้าพระพุทธเจ้าจะเข้าไปแจ้งแก่พระราชาในเมืองนั้นว่า ขออย่าได้สู้รบเลย  ถ้ารบก็แพ้  เพราะได้ล้อมไว้ทุกด้านแล้ว  ขอเพียงยกราชสมบัติตลอดจนทรัพย์สินต่าง ๆ ในเมืองนี้แก่พวกข้าพเจ้าทั้งหมด  ส่วนพระราชาครองอยู่เมืองใด  ก็คงเป็นราชาอยู่ในเมืองนั้นอย่างเดิม  เมื่อทุกเมืองยอมตามเช่นนั้น  เราก็ได้ราชสมบัติในสกลชมพูทวีป  เราก็เตรียมดื่มชัยบาน  และจะนำพระราชา ๑๐๑  มาเมืองเราให้ดื่มสุราเจือยาพิษในพระราชอุทยาน  เมื่อพระราชาทั้งหมดสิ้นพระชนม์  ก็เอาพระศพเหล่านั้นไปทิ้งเสียในคงคา  จากนั้นพระองค์ก็จะได้เป็นอัครราชาในสกลชมพูทวีป  ด้วยอุบายดังข้าพระบาทกราบทูลมานี้"

พระราชาทรงเห็นดีเห็นชอบตามความคิดของปุโรหิตทุกประการ  ตรัสว่า  "ดีแล้ว  ท่านปุโรหิตรีบดำเนินการทีเดียว"

เกวัฏปุโรหิตกราบทูลว่า  "ความคิดนี้เชื่อว่า  เป็นความคิดที่รู้กันเพียง  ๔  หู  ไม่มีผู้อื่นมาล่วงรู้ได้  หากรีบดำเนินการได้ไวเพียงไรก็ยิ่งดี"  

นกแก้วแสนรู้เอียงหูฟังได้ยินตลอดหมด  จึงบินลงมาจับกิ่งรังที่ห้อย  แล้วถ่ายคูถรดศีรษะเกวัฏปุโรหิต พอเกวัฏแหงนขึ้นไปพูดว่า  "อะไรกัน"  นกแก้วก็ถ่ายคูถลงในปากพอดี  แล้วบินขึ้นไปจับบนต้นรัง  ส่งเสียงฟังได้ความว่า  "เกวัฏเอ๋ย  ท่านนึกว่า  ความคิดของท่านรู้กันเพียง  ๔  หู  ไม่จริงเสียแล้ว  บัดนี้รู้กันเป็น  ๖  หู แล้ว  และก็จะรู้กันออกไปอีกถึง  ๘  หู  ๑๐  หู  ๑๐๐  หู และยิ่งกว่า  ๑๐๐  หู  ขึ้นไปอีก"   พอส่งเสียงจบ  ก็บินโผออกจากต้นรัง  ด้วยกำลังเร็วดุจลมพัดไปกรุงมิถิลา  เข้าไปหามโหสธบัณฑิตที่เรือน ตรงเข้าเกาะที่บ่า  เล่าความที่ได้ฟัง  พระเจ้าจุลนีพรหมทัตกับเกวัฏปุโรหิตปรึกษากันในพระราชอุทยานให้มโหสธฟังทุกประการ

มโหสธเมื่อได้ฟังความจากนกแก้วดังนั้น  คิดว่า  "อีตาเกวัฏปุโรหิตนี่ท่าแกจะไม่รู้จักเรามโหสธบัณฑิต เราจะต้องบำราบความคิดที่เขาคิดกันให้หมดไป"  แล้วมโหสธก็รีบดำเนินการโดยมิได้ชักช้า  นำครอบครัวที่ยากจนในเมืองให้ออกไปอยู่นอกเมือง  นำครอบครัวที่มีทรัพย์และมีอิสริยยศเข้าอยู่ในเมือง สะสมผักปลาธัญญาหารไว้อย่างสมบูรณ์

พระเจ้าจุลนีพรหมทัต  รับสั่งให้ระดมพลเตรียมกองทัพ  เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว  จึงเคลื่อนขบวนทัพยกไปล้อมเมือง ๆ หนึ่ง  เมื่อตีได้ก็สมทบกับเมืองนั้น  ยกไปล้อมเมืองอื่น  แล้วสมทบกันไปตีเมืองอื่น ๆ  อีก โดยนัยนี้  กองทัพพระเจ้าจุลนีพรหมทัตก็เพิ่มกำลังมากขึ้น  ตีได้เมืองทั้งหมดที่ผ่านไป  ยังเหลืออีกเมืองเดียว  คือ  มิถิลานคร

ทูตทหารที่มโหสธได้ตั้งไว้ประจำเมืองต่าง ๆ  เพื่อสืบดูข่าวนั้นต่างก็ได้ส่งข่าวไปถึงมโหสธว่า
 "ท่านมโหสธบัณฑิต  ขอได้โปรดทราบว่า  บัดนี้  พระเจ้าจุลนีพรหมทัตผู้ครองอุตรปัญจาลนคร  ได้ยกกองทัพไปยึดนครต่าง ๆ  ได้โดยสิ้นเชิงแล้ว  ขอท่านบัณฑิตอย่าได้ประมาท  เพราะวันหนึ่งจะต้องถูกกองทัพของพระเจ้าจุลนีพรหมทัตยกมายึดกรุงมิถิลาแน่"

มโหสธบัณฑิต  เมื่อได้รับข่าวจากทูตทหารเมืองต่าง ๆ  แล้ว  จึงส่งข่าวตอบไปว่า  "ขอท่านอย่าได้วิตกเลย  เราเตรียมการป้องกันไว้เรียบร้อยแล้ว  ว่าแต่พวกท่านจงทำการใดอย่าให้เขาจับได้  จงอย่าประมาท จะเสียการ"

พระเจ้าจุลนีพรหมทัตยกกองทัพไปยึดนครต่าง ๆ  เป็นเวลา  ๗  ปี  ๗  เดือน  ๗ วัน  ได้รัชยสมบัติจากเมืองนั้น ๆ  ไว้ทั้งหมด  เว้นแต่กรุงมิถิลานครยังไม่ได้ยกกองทัพไปยึด  จึงทรงปรึกษากับเกวัฏปุโรหิตว่า "ท่านปุโรหิต  บัดนี้เราได้ยึดนครต่าง ๆ  ไว้ได้แล้ว  ยังเหลือนครมิถิลาอีกนครหนึ่ง  เราเห็นว่าควรยกกองทัพไปยึดนครของพระเจ้าวิเทหราช  ณ  กรุงมิถิลาอีก  ท่านจะเห็นอย่างไร ?"

เกวัฏปุโรหิตกราบทูลค้านว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  การที่จะยกกองทัพไปตีเมืองมิถิลานั้นเห็นจะหนักอยู่  เพราะในเมืองนั้นมีคนสำคัญอยู่คนหนึ่งชื่อ  มโหสธ  เป็นบัณฑิตประจำอยู่ในราชสำนัก  เป็นผู้มีความรู้  และฉลาดในอุบายเป็นอย่างยิ่ง  อีกประการหนึ่ง  ราชสมบัติในมิถิลานครก็มีเล็กน้อย  จะไม่คุ้มกับการที่ต้องเสียกำลังไปในการนี้  แม้จะได้ราชสมบัติมา  ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าว่า  ไม่ควรยกกองทัพไปยึดนครมิถิลาตามเหตุผลที่ได้กราบทูลมาแล้ว"

บรรดาพระราชาเมืองต่าง ๆ  ที่ได้ถูกยึดตัวมาซึ่งอยู่  ณ  ที่นั้นด้วย  ต่างก็สนับสนุนที่จะให้ยกกองทัพไปยึดราชสมบัติในกรุงมิถิลา  เมื่อได้แล้วจะได้ทำพิธีดื่มชัยบานแสดงชัยชนะ

เกวัฏปุโรหิต  ก็ยังทูลยืนยันห้ามมิให้ยกกองทัพไปยึดกรุงมิถิลาอยู่นั่นเอง.



..............................

(ยังมีต่อ)




























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น