พระเจ้าจุลนีพรหมทัดแผ่อำนาจ
ยังมีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขพลกะ เป็นกษัตริย์ในแคว้นกัมพลรัฐ วันหนึ่ง พระเจ้าสังขพลกะรับสั่งให้เรียกระดมพลเตรียมศัสตราวุธอย่างพร้อมพรั่ง
ทูตทหารของมโหสธที่อยู่ประจำแคว้นกัมพลรัฐ ได้ส่งข่าวมาให้มโหสธทราบว่า "เวลานี้พระเจ้าสังขพลกะแห่งแคว้นกัมพลรัฐ ได้สั่งระดมพลเตรียมศัตราวุธไว้มากมาย ยังไม่ทราบเหตุผล ขอท่านได้ส่งนกแก้วซึ่งเป็นนกแสนรู้ไปสืบความดูให้รู้แน่เถิด"
มโหสธบัณฑิตได้รับข่าวจากทูตทหารดังนั้น จึงได้เรียกนกแก้วแสนรู้มาสั่งว่า "เจ้าจงไปสืบข่าวดูทีหรือว่า พระราชาสังขพลกะแห่งแคว้นกัมพลรัฐได้เรียกระดมพลเตรียมศัสตราวุธเพื่ออะไร เสร็จแล้วจงตระเวนไปให้ทั่วชมพูทวีป สืบเหตุการณ์มาให้เราทราบ" ครั้นสั่งแล้วจึงให้นกแก้วกินข้าวตอกคลุกน้ำผึ้งดื่มน้ำผึ้ง เอาน้ำมันที่หุงร้อยหนพันหนทาที่ขนปีก แล้วปล่อยให้ออกไปทางหน้าต่าง มุ่งตรงไปทิศปราจีน
นกแก้วแสนรู้ตรงไปยังกัมพลรัฐ สืบรู้ความเคลื่อนไหวของพระเจ้าสังขพลกะเรียบร้อยแล้ว จึงตระเวน
ไปสืบข่าวคราวทั่วชมพูทวีปจนถึงอุตรปัญจาลนครในกัปปิลรัฐ
พระเจ้าจุลนีพรหมทัตเป็นกษัตริย์อยู่ในอุตรปัญจาลนคร ทรงมีปุโรหิตซึ่งทำหน้าที่ถวายอรรถธรรมแก่พระองค์อยู่คนหนึ่ง ชื่อเกวัฏพราหมณ์
ย่ำรุ่งวันหนึ่ง ปุโรหิตตื่นขึ้นมองไปโดยทั่วบริเวณทั้งภายในภายนอกบ้านของตน แลเห็นเครื่องยศและสมบัติอันมโหฬาร ให้รู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง คิดว่า ที่ได้มาอย่างนี้ก็เพราะพระเจ้าจุลนีพรหมทัตพระราชทานมา พระองคืทรงมีอุปการคุณมหาศาล ความที่เราจะคิดจัดการให้พระองค์ได้ทรงพระอิสริยยศยิ่ง ๆ ขึ้น จนได้เป็นถึงอัครราชาผู้ยิ่งใหญ่ในสกลชมพูทวีป ส่วนเราก็จักได้เป็นอัครปุโรหิตประจำในราชสำนัก คิดดังนี้แล้ว เกวัฏปุโรหิตจึงลุกขึ้นจากห้องนอน ชำระล้างร่างกาย แต่งตัวไปเฝ้าพระราชาแต่เช้า
พระราชารับสั่งถามว่า "ท่านปุโรหิต มีธุระอะไรหรือจึงมาแต่เช้า ? "
ปุโรหิตกราบทูลว่า "ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ามีเรื่องที่จะกราบทูลปรึกษาเป็นความลับ และก็ไม่ควรปรึกษาในพระนคร ควรเสด็จไปพระราชอุทยานเถิด พระเจ้าข้า"
พระราชาทรงทำตามปุโรหิต เสด็จไปยังพระราชอุทยานกับปุโรหิตเท่านั้น ภายนอกวางทหารรักษาพระองค์ไว้ ทรงประทับนั่งบนแผ่นศิลา
นกแก้วแสนรู้เห็นกิริยาของพระราชากับปุโรหิต ดูทีท่าจะมีอะไร ๆ กันอยู่ จึงคิดว่า จะต้องไปฟังความดู
จึงบินไปแอบอยู่บนต้นรังใกล้ ๆ กับที่พระราชาและปุโรหิตปรึกษากันนั้น
พระราชา "ท่านปุโรหิต มีเรื่องอะไรก็พูดไปเถิด เราจะฟัง ? "
ปุโรหิต "ขอเดชะ เรื่องนี้เป็นความลับ จะรู้กันได้เพียง ๔ หู ระหว่างพะองค์กับข้าพระพุทธเจ้าเท่านั้น หากพระองค์ทรงทำตามคำที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลแล้ว พระองค์จะทรงเป็นอัครราชาผู้เลิศล้ำในสกลชมพูทวีปอย่างแน่นอน"
พระราชาได้สดับดังนั้น ก็ทรงโสมนัสเพราะปรารถนาความยิ่งใหญ่อยู่แล้ว จึงตรัสว่า "พูดไปเถิดท่านปุโรหิต เราจะทำตามคำของท่าน"
ปุุโรหิตกราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ได้รับสั่งให้ระดมพลเตรียมกองทัพ แล้วยกไปล้อมเมืองต่าง ๆ ยึดไว้ก่อน เมื่อยึดเมืองใดไว้ได้ ข้าพระพุทธเจ้าจะเข้าไปแจ้งแก่พระราชาในเมืองนั้นว่า ขออย่าได้สู้รบเลย ถ้ารบก็แพ้ เพราะได้ล้อมไว้ทุกด้านแล้ว ขอเพียงยกราชสมบัติตลอดจนทรัพย์สินต่าง ๆ ในเมืองนี้แก่พวกข้าพเจ้าทั้งหมด ส่วนพระราชาครองอยู่เมืองใด ก็คงเป็นราชาอยู่ในเมืองนั้นอย่างเดิม เมื่อทุกเมืองยอมตามเช่นนั้น เราก็ได้ราชสมบัติในสกลชมพูทวีป เราก็เตรียมดื่มชัยบาน และจะนำพระราชา ๑๐๑ มาเมืองเราให้ดื่มสุราเจือยาพิษในพระราชอุทยาน เมื่อพระราชาทั้งหมดสิ้นพระชนม์ ก็เอาพระศพเหล่านั้นไปทิ้งเสียในคงคา จากนั้นพระองค์ก็จะได้เป็นอัครราชาในสกลชมพูทวีป ด้วยอุบายดังข้าพระบาทกราบทูลมานี้"
พระราชาทรงเห็นดีเห็นชอบตามความคิดของปุโรหิตทุกประการ ตรัสว่า "ดีแล้ว ท่านปุโรหิตรีบดำเนินการทีเดียว"
เกวัฏปุโรหิตกราบทูลว่า "ความคิดนี้เชื่อว่า เป็นความคิดที่รู้กันเพียง ๔ หู ไม่มีผู้อื่นมาล่วงรู้ได้ หากรีบดำเนินการได้ไวเพียงไรก็ยิ่งดี"
พระราชาทรงเห็นดีเห็นชอบตามความคิดของปุโรหิตทุกประการ ตรัสว่า "ดีแล้ว ท่านปุโรหิตรีบดำเนินการทีเดียว"
เกวัฏปุโรหิตกราบทูลว่า "ความคิดนี้เชื่อว่า เป็นความคิดที่รู้กันเพียง ๔ หู ไม่มีผู้อื่นมาล่วงรู้ได้ หากรีบดำเนินการได้ไวเพียงไรก็ยิ่งดี"
นกแก้วแสนรู้เอียงหูฟังได้ยินตลอดหมด จึงบินลงมาจับกิ่งรังที่ห้อย แล้วถ่ายคูถรดศีรษะเกวัฏปุโรหิต พอเกวัฏแหงนขึ้นไปพูดว่า "อะไรกัน" นกแก้วก็ถ่ายคูถลงในปากพอดี แล้วบินขึ้นไปจับบนต้นรัง ส่งเสียงฟังได้ความว่า "เกวัฏเอ๋ย ท่านนึกว่า ความคิดของท่านรู้กันเพียง ๔ หู ไม่จริงเสียแล้ว บัดนี้รู้กันเป็น ๖ หู แล้ว และก็จะรู้กันออกไปอีกถึง ๘ หู ๑๐ หู ๑๐๐ หู และยิ่งกว่า ๑๐๐ หู ขึ้นไปอีก" พอส่งเสียงจบ ก็บินโผออกจากต้นรัง ด้วยกำลังเร็วดุจลมพัดไปกรุงมิถิลา เข้าไปหามโหสธบัณฑิตที่เรือน ตรงเข้าเกาะที่บ่า เล่าความที่ได้ฟัง พระเจ้าจุลนีพรหมทัตกับเกวัฏปุโรหิตปรึกษากันในพระราชอุทยานให้มโหสธฟังทุกประการ
มโหสธเมื่อได้ฟังความจากนกแก้วดังนั้น คิดว่า "อีตาเกวัฏปุโรหิตนี่ท่าแกจะไม่รู้จักเรามโหสธบัณฑิต เราจะต้องบำราบความคิดที่เขาคิดกันให้หมดไป" แล้วมโหสธก็รีบดำเนินการโดยมิได้ชักช้า นำครอบครัวที่ยากจนในเมืองให้ออกไปอยู่นอกเมือง นำครอบครัวที่มีทรัพย์และมีอิสริยยศเข้าอยู่ในเมือง สะสมผักปลาธัญญาหารไว้อย่างสมบูรณ์
พระเจ้าจุลนีพรหมทัต รับสั่งให้ระดมพลเตรียมกองทัพ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเคลื่อนขบวนทัพยกไปล้อมเมือง ๆ หนึ่ง เมื่อตีได้ก็สมทบกับเมืองนั้น ยกไปล้อมเมืองอื่น แล้วสมทบกันไปตีเมืองอื่น ๆ อีก โดยนัยนี้ กองทัพพระเจ้าจุลนีพรหมทัตก็เพิ่มกำลังมากขึ้น ตีได้เมืองทั้งหมดที่ผ่านไป ยังเหลืออีกเมืองเดียว คือ มิถิลานคร
ทูตทหารที่มโหสธได้ตั้งไว้ประจำเมืองต่าง ๆ เพื่อสืบดูข่าวนั้นต่างก็ได้ส่งข่าวไปถึงมโหสธว่า
"ท่านมโหสธบัณฑิต ขอได้โปรดทราบว่า บัดนี้ พระเจ้าจุลนีพรหมทัตผู้ครองอุตรปัญจาลนคร ได้ยกกองทัพไปยึดนครต่าง ๆ ได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ขอท่านบัณฑิตอย่าได้ประมาท เพราะวันหนึ่งจะต้องถูกกองทัพของพระเจ้าจุลนีพรหมทัตยกมายึดกรุงมิถิลาแน่"
มโหสธบัณฑิต เมื่อได้รับข่าวจากทูตทหารเมืองต่าง ๆ แล้ว จึงส่งข่าวตอบไปว่า "ขอท่านอย่าได้วิตกเลย เราเตรียมการป้องกันไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าแต่พวกท่านจงทำการใดอย่าให้เขาจับได้ จงอย่าประมาท จะเสียการ"
พระเจ้าจุลนีพรหมทัตยกกองทัพไปยึดนครต่าง ๆ เป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ได้รัชยสมบัติจากเมืองนั้น ๆ ไว้ทั้งหมด เว้นแต่กรุงมิถิลานครยังไม่ได้ยกกองทัพไปยึด จึงทรงปรึกษากับเกวัฏปุโรหิตว่า "ท่านปุโรหิต บัดนี้เราได้ยึดนครต่าง ๆ ไว้ได้แล้ว ยังเหลือนครมิถิลาอีกนครหนึ่ง เราเห็นว่าควรยกกองทัพไปยึดนครของพระเจ้าวิเทหราช ณ กรุงมิถิลาอีก ท่านจะเห็นอย่างไร ?"
เกวัฏปุโรหิตกราบทูลค้านว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า การที่จะยกกองทัพไปตีเมืองมิถิลานั้นเห็นจะหนักอยู่ เพราะในเมืองนั้นมีคนสำคัญอยู่คนหนึ่งชื่อ มโหสธ เป็นบัณฑิตประจำอยู่ในราชสำนัก เป็นผู้มีความรู้ และฉลาดในอุบายเป็นอย่างยิ่ง อีกประการหนึ่ง ราชสมบัติในมิถิลานครก็มีเล็กน้อย จะไม่คุ้มกับการที่ต้องเสียกำลังไปในการนี้ แม้จะได้ราชสมบัติมา ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าว่า ไม่ควรยกกองทัพไปยึดนครมิถิลาตามเหตุผลที่ได้กราบทูลมาแล้ว"
บรรดาพระราชาเมืองต่าง ๆ ที่ได้ถูกยึดตัวมาซึ่งอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ต่างก็สนับสนุนที่จะให้ยกกองทัพไปยึดราชสมบัติในกรุงมิถิลา เมื่อได้แล้วจะได้ทำพิธีดื่มชัยบานแสดงชัยชนะ
เกวัฏปุโรหิต ก็ยังทูลยืนยันห้ามมิให้ยกกองทัพไปยึดกรุงมิถิลาอยู่นั่นเอง.
..............................
(ยังมีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น