วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๒๘)



เลศธรรมยุทธ

พระเจ้าจุลนีกษัตริย์แแห่งปัญจาลนครได้สดับเช่นนั้น  จึงตรัสกับเกวัฏปุโรหิตว่า  "อาจารย์  วิธีที่จะทำให้ชาวเมืองอดข้าว  น่าจะไม่สำเร็จเสียแล้ว  เพระาภายในเมืองปรากฏว่า  มีข้าวปลาอุดมสมบูรณ์จนถึงต้องเก็บไว้ริมกำแพง  จนงอกออกเป็นกล้าเต็มไปหมด  เราจะทำอย่างไรต่อไป"

เกวัฏปุโรหิตกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระพุทธเจ้าเป็นบัณฑิตอยู่ประจำในราชสำนักของพระองค์  ได้แสดงความสามารถต่าง ๆ  ให้พระองค์ทรงทราบมามากต่อมากแล้ว  คราวนี้จะยอมแพ้แก่มโหสธบัณฑิตแห่งมิถิลานครรุ่นเด็ก  จะดูกระไรอยู่  ข้าพระพุทธเจ้าจะต้องหาวิธีชนะมโหสธด้วยเลศอันหนึ่ง พระพุทธเจ้าข้า"

พระราชา  "เลสอะไร  อาจารย์ ?"

เกวัฏ  "ธรรมยุทธ"

พระราชา  "ธรรมยุทธเป็นอย่างไร ?"

เกวัฏ  "ธรรมยุทธ  คือ  รบกันโดยไม่ใช้อาวุธ  ให้บัณฑิตทั้ง  ๒  พระนคร  คือ  ข้าพระพุทธเจ้ากับมโหสธพบกัน  ณ  ที่แห่งหนึ่ง  เมื่อพบกันหากบัณฑิตใดไหว้ก่อน  บัณฑิตนั้นก็เป็นฝ่ายแพ้  ข้าพระพุทธเจ้าหวังด้วยเกล้าว่า  มโหสธต้องไหว้ข้าพระพุทธเจ้าก่อน  เพราะข้าพระพุทธเจ้าแก่กว่า  มโหสธยังหนุ่มอยู่  เมื่อมโหสธไหว้ข้าพระพุทธเจ้า  ชาวนครมิถิลาก็จะสำคัญว่า  บัญฑิตแแห่งปัญจาลนครใหญ่ยิ่งกว่าบัณฑิตแห่งมิถิลานคร  ความขามขยาดก็จะเกิดแก่ชาวมิถิลา  คราวนี้แหละวิเทหรัฐจะต้องอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระองค์นี่แหละพระเจ้าข้า  เรียกว่า  เลศธรรมยุทธ"

พระเจ้าจุลนีตรัสชมความคิดของเกวัฏว่า  "แหม  ความคิดของอาจารย์คมคายดีจริง  เราเห็นชอบด้วย  รีบดำเนินการเถิด"

เกวัฏปุโรหิตจึงเขียนพระราชสาสน์มีความว่า  "ข้าแต่พระเจ้าวิเทหราชแห่งกรุงมิถิลา  วันพรุ่งนี้เราทั้งสองนครขอรบกันด้วยธรรมยุทธ  ขอให้ท่านส่งบัณฑิตแห่งมิถิลานครมาพบกับบัณฑิตแห่งปัญจาลนคร  ณ  สนามธรรมยุทธ  ขอให้ฝ่ายท่านจัดสนามไว้  ณ  ที่แห่งหนึ่งตามแต่จะเห็นสมควร  หากถึงเวลาไม่มีผู้ใดไป  ผู้นั้นก็จักแพ้"  เขียนเสร็จแล้วถวายพระเจ้าจุลนีทรงลงพระปรมาภิไธย  ให้ราชบุรุษนำไปถวายพระเจ้าวิเทหราช

พระเจ้าวิเทหราชได้รับสาสน์ท้าทายทำธรรมยุทธ  ก็มิได้ทรงทราบว่า  จะทำกันแบบไหน  จึงรับสั่งให้เรียกมโหสธมา  แล้วส่งสาสน์นั้นให้อ่าน

มโหสธได้ทราบมาก่อนแล้วถึงเลศธรรมยุทธของเกวัฏจากคนที่วางไว้ข้างนอก  จึงกราบทูลว่า  "ขอเดชะ ขอพระองค์ได้ทรงตอบพระราชสาสน์ตกลงที่จะทำธรรมยุทธกัน  ชาวกรุงมิถิลาจัดเตรียมสนามธรรมยุทธไว้ทางประตูด้านปัจฉิม  ขอให้กองทัพกรุงปัญจาละมาที่สนามธรรมยุทธนั้น"

พระเจ้าวิเทหราช  จึงพระราชทานพระราชสาสน์ตอบตามที่มโหสธทูล  แล้วสั่งให้ทูตนำไปถวายพระเจ้าจุลนี

มโหสธให้เตรียมจัดสนามธรรมยุทธทางประตูด้านปัจฉิม  คิดว่า  "พรุ่งนี้คงได้เห็นดีกันล่ะ"

ณ  วันรุ่งขึ้น  พระเจ้าจุลนีพร้อมด้วยพระราชา ๑๐๑  ได้เสด็จไปสู่สนามธรรมยุทธแต่เช้า  เกวัฏก็ได้ไปรออยู่ก่อนด้วย  ทูตทหารที่มโหสธวางไว้  ๑๐๑  คนก็คุมเกวัฏไว้โดยเกวัฏมิได้รู้ตัว

มโหสธบัณฑิตตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับอันเลอเลิศ  ก่อนจะไปสนามธรรมยุทธได้เข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระองค์จะลวงเกวัฏด้วยแก้วมณี  ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานแก้วมณี  ๘  คด  แก่ข้าพระพุทธเจ้าในการไปครั้งนี้ด้วย"  เมื่อได้รับพระราชทานมณีรัตนะแล้ว  มโหสธจึงกราบถวายบังคมลาออกจากพระราชนิเวศน์  แวดล้อมด้วยสหชาติโยธา  ๑,๐๐๐  คน  ขึ้นรถเทียมม้าสีขาวไปหยุดอยู่ตรงริมประตู  แล้วลงจากรถเดินไปด้วยท่าทางองอาจดุจไกรสรสีหราช  ถือมณีรัตนะเดินตรงไปหาพราหมณ์เกวัฏ

เกวัฏปุโรหิตเห็นความสง่าท่าทางองอาจของมโหสธ  ก็ไม่อาจจะทรงกายเฉยอยู่ได้  จึงลุกขึ้นต้องรับมโหสธแล้วกล่าวว่า  "โอ  ท่านมโหสธบัณฑิต  เราทั้ง ๒ ต่างก็เป็นบัณฑิตเหมือนกัน  เราอยู่ที่นี่หลายเวลาแล้วไม่เห็นท่านส่งบรรณาการมาให้เราบ้างเลย  เราอยากทราบว่า  เพราะเหตุไรจึงเป็นอย่างนั้น"

มโหสธบัณฑิตกล่าวว่า  "ข้าพเจ้าก็คิดถึงท่านอยู่เสมอ  แต่ยังหาอะไรที่สมควรแแก่ท่านไม่ได้  จึงยังไม่มาหาท่าน  บัดนี้ข้าพเจ้าหาบรรณาการที่สมควรได้แล้ว  ข้าพเจ้าจึงนำบรรณาการนั้นมาให้ท่าน"  แล้วมโหสธก็ยื่นมณีรัตนะให้แก่เกวัฏ  แล้วพูดว่า  "ขอท่านจงรับมณีรัตนะนี้ไว้เถิด"

เกวัฏเห็นมณีรัตนะมีแสงรุ่งเรืองสดใสก็พอใจ  จึงยื่นมืออกรับ

มโหสธยื่นมณีรัตนะให้ตกลงที่ปลายนิ้วมือเกวัฏ  น้ำหนักของมณีรัตนะมีมาก  นิ้วมือเกวัฏจึงไม่อาจทานไว้ได้  แก้วมณีพลัดตกลงใกล้เท้ามดหสธ

เกวัฏจึงก้มลงไปเก็บเพราะความโลภ  มโหสธเห็นได้ทีจึงจับคอเกวัฏด้วยข้างหนึ่ง  อีกข้างหนึ่งกดชายกระเบนไว้แล้วพูดว่า  "ท่านปุโรปิต  ลุกขึ้นเถิด  ข้าพเจ้าเป็นเด็กกว่าท่าน  ขนาดลูกหลาน อย่าไหว้ข้าพเจ้าเลย"  แล้วก็กดคอเกวัฏลงถูกกับพื้นไปมาจนเลือดไหล  เมื่อทรมานเกวัฏพอสมแก่ความต้องการแล้ว  ก็จับคอไสออกไปพูดว่า  "คนอันธพาล  คิดเลศธรรมยุทธ  จะให้เราไหว้ก่อนหรือ"

เกวัฏถูกมโหสธจับคอไสออกไป  กระเด็นไปตกฟุบอยู่หลายวา  พอลุกขึ้นได้ก็วิ่งหนีไป

ทหารของมโหสธก็มาเก็บเอาแก้วมณีไว้  เสียงเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณสนามธรรมยุทธว่า  "เกวัฏก้มลงไหว้เท้ามโหสธ  แล้วถูกมโหสธผลักกระเด็นไปหลายวา"

พระเจ้าจุลนีและพระราชา  ๑๐๑  ได้ทอดพระเนตรเห็นเกวัฏน้อมกายก้มลงแทบเท้ามโหสธ  ก็ทรงแน่พระทัยว่า  เกวัฏไหว้มโหสธ  จึงเป็นฝ่ายแพ้  ทรงกลัวว่า  มโหสธจะไม่ไว้ชีวิต  ต่างองค์ขึ้นมาเตรียมหนีไปปัญจาลนคร  กองทัพกระจัดกระจายคุมกันไม่ติด

ทหารของมโหสธต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องว่า  "ชาวปัญจาลนครหนีไปแล้ว ๆ "  มโหสธเห็นดังนั้นก็สั่งให้กลับเข้าสู่พระนคร  โดยมิได้ให้ทหารติดตามกองทัพของพระเจ้าจุลนีไป


.............................




















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น