อุบายซ้อนกลของมโหสธ
กองทัพพระเจ้าจุลนีหนีไปสิ้นระยะทาง ๓ โยชน์ เกวัฏควบม้าไปทันกองทัพ เช็ดเลือดที่หน้าผากจนหมดแล้ว จึงพูดว่า "ท่านทั้งหลาย เราไม่ไหว้มโหสธ เราถูกมโหสธเอาแก้วมณีมาลวงเรา ทำทีจะให้เรา แต่ก็ทำให้แก้วมณีตกลง เราจึงก้มลงไปเก็บแก้วมณี แต่แก้วมณีก็ได้หายไปเสียแล้ว เราจึงก้มหาเฉยอยู่ เราไม่ได้ไหว้มโหสธ ท่านทั้งหลายอย่าเชื่อคนอื่น จงเชื่อข้าพเจ้าเถิด ขอให้พวกเรารวมกัน กลับไปทำการอีกครั้งเถิด"
ทหารของพระเจ้าจุลนีเชื่อถ้อยคำของเกวัฏ จึงเปล่งเสียงไขโยโห่ร้องรวมกันเพื่อกลับไป ณ ที่ตั้งค่ายอย่างเดิม เมื่อได้รับคำสั่งจากพระเจ้าจุลนีให้กลับไปที่ตั้งค่าย กองทัพเคลื่อนขบวนกลับไป หมายจะ
ชิงมิถิลานครให้ได้
เมื่อถึงที่ตั้งค่าย ทหารเรียงรายล้อมเมืองมิถิลาตามแบบเดิม พระเจ้าจุลนีรับสั่งถามเกวัฏว่า "อาจารย์ เราจะทำอย่างไรต่อไป จึงจะเข้าไปในเมืองได้"
เกวัฏปุโรหิตกราบทูลว่า "ขอเดชะ มีอีกวิธีหนึ่ง คือ ให้ทหารยึดประตูไว้ทุกด้าน ไม่ให้คนในเมืองออกมาข้างนอกได้ ถ้าทำอย่างนี้หลายวันเข้า คนข้างในก็จะลำบาก หมดกำลังใจ คราวนี้แหละเราจะเข้าโจมตีได้ง่าย"
พระราชาทรงเห็นชอบในความคิดของเกวัฏปุโรหิต จึงรับสั่งให้ทหารเข้าไปคุมตามประตูทุกด้าน ห้ามคนข้างในออกข้างนอก
มโหสธทราบความนั้นจากจารบุรุษที่วางไว้ จึงคิดอุบายที่จะขับไล่กองทัพปัญจาลนครให้แตกไปโดยไว ขืนปล่อยให้ล้อมไว้ทุกด้าน นานเข้าจะเดือดร้อน มโหสธจึงไปแจ้งอุบายกับพราหมณ์คนหนึ่งซึ่งพอเชื่อถือไว้ใจได้ ทั้งเป็นคนฉลาด ชื่อ อนุเกวัฏ เมื่ออยู่สองต่อสองกับอนุเกวัฏ มโหสธจึงพูดว่า "ท่านอาจารย์ เพื่อเห็นแก่พระนครและประชากร ซึ่งกำลังถูกกองทัพปัญจาลนครล้อมประตูไว้ทุกด้าน ทำให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ชาวเมือง เพื่อปลดเปลื้องความเดือดร้อนนี้ ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องให้ท่านอาจารย์ช่วยทำการสักอย่างหนึ่ง หวังว่าท่านอาจารย์คงไม่ขัดข้อง"
อนุเกวัฏถามว่า "ท่านบัณฑิต ท่านจะใช้ข้าพเจ้าทำอะไร ? ได้โปรดบอกมาเถิด ข้าพเจ้ายินดีทำตาม"
มโหสธพูดว่า "ขอบคุณท่านอาจารย์มาก" แล้วบอกอุบายที่จะดำเนินการเป็นขั้น ๆ แก่อนุเกวัฏโดยตลอด
อนุเกวัฏรับทำตามอุบายของมโหสธ มโหสธพูดว่า "ท่านอาจารย์ทนเจ็บเอาหน่อยนะ ถ้าจะมีการรุนแรงอะไรแก่ท่านบ้าง"
อนุเกวัฏตอบว่า "ท่านบัณฑิต แม้ชีวิตข้าพเจ้าาก็ยินดีสละให้ได้ แต่ขอฝากคนในครอบครัวของข้าพเจ้าอย่าให้เดือดร้อนก็แล้วกัน"
มโหสธรับอุปการะครอบครัวของอนุเกวัฏทุกอย่าง อนุเกวัฏก็เริ่มอุบายตามแผนการ
วันหนึ่ง ขณะที่กองทหารรักษาการของมิถิลานครเผลอ อนุเกวัฏปีนขึ้นไปอยู่บนกำแพงเมืองแล้วหันหน้าไปทางกองทัพปัญจาลนคร ตะโกนขึ้นว่า "ท่านทั้งหลาย จงมารับของกิน มีขนม ปลา เนื้อ ทางนี้ จงกินให้อิ่มหนำสำราญเถิด ไม่ช้าก็จะตีมิถิลานครได้ เมื่อตีได้แล้วจงจับพระเจ้าวิเทหราชและมโหสธไปปัญจาลนครเถิด" พูดแล้วก็โยน ขนม ปลา เนื้อ ไปให้ทหารปัญจาลนคร (โดยรอบทุกด้าน)
ทหารรักษาการฝ่ายมิถิลานครที่ไม่รู้อุบาย พอได้ยินอนุเกวัฏพูดดังนั้น ต่างก็กรูขึ้นไปจะจับ อนุเกวัฏหนีไปทางทหารที่รู้อุบายเพียง ๒-๓ คน ทหารจึงจับตัวอนุเกวัฏทุบตีด้วยซีกไม้ไผ่ ให้กองทัพพระเจ้าจุลนีเห็นรอยที่ตีปรากฏที่หลังอนุเกวัฏเล็กน้อยและดึงเสื้อผ้าให้ขาดเป็นริ้วรอย แล้วทหารฏ้จับอนุเกวัฏไส่สาแหรก เอาเชือกผูกแล้วหย่อนลงไปนอกกำแพงเมืองพร้อมกับคุกคามขึ้นว่า "อ้ายคนทำลายชาติ ไม่รู้พระคุณพระมหากษัตริย์ที่ชุบเลี้ยงตนมา ไปปรนปรือข้าศึก หวังจะให้มาโจมตีบ้านเกิดเมืองนอนของตน เชิญเอ็งไปอยู่กับกองทัพของพระเจ้าจุลนีเถิด"
เมื่ออนุเกวัฏถูกใส่สาแหรกหย่อนลงมานั้น ทหารของพระเจ้าจุลนีต่างพากันสงสาร เพราะเข้าใจว่า อนุเกวัฏถูกทรมานจริง จึงช่วยกันนำออกจากสาแหรก นำไปถวายพระเจ้าจุลนีกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ
พระเจ้าจุลนีตรัสถามว่า "ท่านชื่ออะไร มีความผิดสถานใดหรือจึงถูกวางโทษเช่นนี้ ?"
อนุเกวัฏ "ข้าพระพุทธเจ้าชื่ออนุเกวัฏ ข้าพระพุทธเจ้าเคยดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์ในราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราช ต่อมามโหสธคิดกำเริบเสิบสาน หวังจะครองตำแหน่งของข้าพระพุทธเจ้า จึงทูลยุยงพระเจ้าวิเทหราช หาว่าข้าพระพุทธเจ้าคิดคดทรยศต่อแผ่นดิน ในที่สุดข้าพระพุทธเจ้าก็ถูกถอดยศเป็นคนหาที่พึ่งมิได้ เมื่อเห็นโอกาสดีที่กองทัพของพระองค์มาล้อมนครไว้เช่นนี้ก็ดีใจ จึงนำของกินมีขนม ปลา เนื้อ มาแจกจ่ายให้แก่กองทัพของพระองค์ เพื่อจะได้มีกำลังเข้าโจมตีมิถิลานคร จับมโหสธคนร้ายมาตัดศีรษะเสีย แต่ข้าพระพุทธเจ้าถูกทหารมิถิลานครจับได้ เขาทรมานข้าพระพุทธเจ้าต่าง ๆ นานา ซึ่งทหารในกองทัพของพระองค์ก็ได้เห็นโดยตลอด ข้าพระพุทธเจ้าหมดที่พึ่ง จึงขออาศัยพระบารมีของพระองค์ปกเกล้ากระหม่อมเลี้ยงดูข้าพระพุทธเจ้าไว้สักคนเถิด ข้าพระพุทธเจ้าจะอาสาเป็นผู้นำทหารของพระองค์เข้านครนี้ให้ได้ในเวลาเพียงเล็กน้อย เพราะข้าพระพุทธเจ้ารู้ทางออกได้ดี พระเจ้าข้า"
พระเจ้าจุลนีทรงเชื่อสนิทในคำกราบทูลของอนุเกวัฏ ประกอบกับคำกราบทูลของทหารของพระองค์ที่ได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด จนกระทั่งได้นำตัวอนุเกวัฏมาเฝ้า พระเจ้าจุลนีจึงตั้งให้อนุเกวัฏควบคุมกองทัพและพาหนะของพระองค์
อนุเกวัฏเรียกประชุมกองทัพ แล้วยืนขึ้นพูดอย่างสง่าว่า "ทหารทั้งหลาย ขอให้พวกท่านจงปฏิบัติตามคำสั่งของข้าพเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าได้รับพระบรมราชโองการ ให้นำทหารของปัญจาลนครเข้าโจมตีมิถิลานคร ขอให้พวกท่านจงเตรียมพร้อมในบัดนี้" แล้วอนุเกวัฏก็สอดส่ายดูทหารของมิถิลานครที่ตั้งกองรักษาการอยู่บนหอรบ เมื่อเห็นทุกคนเตรียมการดีแล้ว จึงสั่งให้กองทัพบุกไปทางด้านที่มีคูน้ำใหญ่ ทหารกองหน้าก็กระโจนลงไปในคู ถูกจระเข้ตัวใหญ่ ๆ ที่เลี้ยงไว้ในคูจำนวนมากกัดบาดเจ็บล้มตายกันไม่น้อย ทหารกองรักษาการณ์ที่บนหอรบก็ระดมยิงธนูไม่ขาดสาย กองหน้าล้มตายไปเกือบหมด ส่วนกองหลังไม่กล้าลงไป ต่างทะยอยถอยกลับ เพราะกลัวจระเข้
อนุเกวัฏบอกให้เคลื่อนไปก็ไม่มีใครกล้าลงไป อนุเกวัฏจึงไปกราบทูลพระเจ้าจุลนีว่า "ข้าแต่พระองค์
ทหารทั้งหลายเอาใจออกห่างจากพระองค์เสียแล้ว ทหารเหล่านี้ถูกมโหสธยุยงให้แข็งข้อเป็นขบถต่อพระองค์ แม้พระราชา ๑๐๑ และเกวัฏปุโรหิต ก็รับสินบนจากมโหสธ ทุกคนล้วนเป็นพรรคพวก
ของมโหสธทั้งนั้น มีแต่ข้าพระพุทธเจ้าคนเดียวเท่านั้น ที่ัยังจงรักภักดีต่อพระองค์อยู่ หากไม่ทรงเชื่อดังคำที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูล ขอจงทรงมีพระราชโองการให้พระราชาทั้งหมดแต่งเครื่องทรง แล้วเชิญเสด็จทอดพระเนตรเครื่องทรงของพระราชาเหล่านั้นจะปรากฏชื่อมโหสธ เพราะมโหสธได้จารึกนามของตนไว้ แล้วนำขึ้นถวายแด่พระราชาเหล่านั้น"
.................................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น