วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๒๙)



อุบายซ้อนกลของมโหสธ

กองทัพพระเจ้าจุลนีหนีไปสิ้นระยะทาง  ๓  โยชน์  เกวัฏควบม้าไปทันกองทัพ  เช็ดเลือดที่หน้าผากจนหมดแล้ว  จึงพูดว่า  "ท่านทั้งหลาย  เราไม่ไหว้มโหสธ  เราถูกมโหสธเอาแก้วมณีมาลวงเรา ทำทีจะให้เรา  แต่ก็ทำให้แก้วมณีตกลง  เราจึงก้มลงไปเก็บแก้วมณี  แต่แก้วมณีก็ได้หายไปเสียแล้ว  เราจึงก้มหาเฉยอยู่  เราไม่ได้ไหว้มโหสธ  ท่านทั้งหลายอย่าเชื่อคนอื่น  จงเชื่อข้าพเจ้าเถิด  ขอให้พวกเรารวมกัน  กลับไปทำการอีกครั้งเถิด"

ทหารของพระเจ้าจุลนีเชื่อถ้อยคำของเกวัฏ  จึงเปล่งเสียงไขโยโห่ร้องรวมกันเพื่อกลับไป  ณ  ที่ตั้งค่ายอย่างเดิม  เมื่อได้รับคำสั่งจากพระเจ้าจุลนีให้กลับไปที่ตั้งค่าย  กองทัพเคลื่อนขบวนกลับไป  หมายจะ
ชิงมิถิลานครให้ได้

เมื่อถึงที่ตั้งค่าย  ทหารเรียงรายล้อมเมืองมิถิลาตามแบบเดิม  พระเจ้าจุลนีรับสั่งถามเกวัฏว่า  "อาจารย์  เราจะทำอย่างไรต่อไป  จึงจะเข้าไปในเมืองได้"

เกวัฏปุโรหิตกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  มีอีกวิธีหนึ่ง  คือ  ให้ทหารยึดประตูไว้ทุกด้าน  ไม่ให้คนในเมืองออกมาข้างนอกได้  ถ้าทำอย่างนี้หลายวันเข้า  คนข้างในก็จะลำบาก  หมดกำลังใจ  คราวนี้แหละเราจะเข้าโจมตีได้ง่าย"

พระราชาทรงเห็นชอบในความคิดของเกวัฏปุโรหิต  จึงรับสั่งให้ทหารเข้าไปคุมตามประตูทุกด้าน ห้ามคนข้างในออกข้างนอก

มโหสธทราบความนั้นจากจารบุรุษที่วางไว้  จึงคิดอุบายที่จะขับไล่กองทัพปัญจาลนครให้แตกไปโดยไว ขืนปล่อยให้ล้อมไว้ทุกด้าน  นานเข้าจะเดือดร้อน  มโหสธจึงไปแจ้งอุบายกับพราหมณ์คนหนึ่งซึ่งพอเชื่อถือไว้ใจได้  ทั้งเป็นคนฉลาด  ชื่อ  อนุเกวัฏ  เมื่ออยู่สองต่อสองกับอนุเกวัฏ  มโหสธจึงพูดว่า  "ท่านอาจารย์  เพื่อเห็นแก่พระนครและประชากร  ซึ่งกำลังถูกกองทัพปัญจาลนครล้อมประตูไว้ทุกด้าน  ทำให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ชาวเมือง  เพื่อปลดเปลื้องความเดือดร้อนนี้  ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องให้ท่านอาจารย์ช่วยทำการสักอย่างหนึ่ง  หวังว่าท่านอาจารย์คงไม่ขัดข้อง"

อนุเกวัฏถามว่า  "ท่านบัณฑิต  ท่านจะใช้ข้าพเจ้าทำอะไร ?  ได้โปรดบอกมาเถิด  ข้าพเจ้ายินดีทำตาม"

มโหสธพูดว่า  "ขอบคุณท่านอาจารย์มาก"  แล้วบอกอุบายที่จะดำเนินการเป็นขั้น ๆ  แก่อนุเกวัฏโดยตลอด

อนุเกวัฏรับทำตามอุบายของมโหสธ  มโหสธพูดว่า  "ท่านอาจารย์ทนเจ็บเอาหน่อยนะ  ถ้าจะมีการรุนแรงอะไรแก่ท่านบ้าง"

อนุเกวัฏตอบว่า  "ท่านบัณฑิต  แม้ชีวิตข้าพเจ้าาก็ยินดีสละให้ได้  แต่ขอฝากคนในครอบครัวของข้าพเจ้าอย่าให้เดือดร้อนก็แล้วกัน"

มโหสธรับอุปการะครอบครัวของอนุเกวัฏทุกอย่าง  อนุเกวัฏก็เริ่มอุบายตามแผนการ

วันหนึ่ง  ขณะที่กองทหารรักษาการของมิถิลานครเผลอ  อนุเกวัฏปีนขึ้นไปอยู่บนกำแพงเมืองแล้วหันหน้าไปทางกองทัพปัญจาลนคร  ตะโกนขึ้นว่า  "ท่านทั้งหลาย  จงมารับของกิน  มีขนม  ปลา  เนื้อ  ทางนี้  จงกินให้อิ่มหนำสำราญเถิด  ไม่ช้าก็จะตีมิถิลานครได้  เมื่อตีได้แล้วจงจับพระเจ้าวิเทหราชและมโหสธไปปัญจาลนครเถิด"  พูดแล้วก็โยน  ขนม  ปลา  เนื้อ  ไปให้ทหารปัญจาลนคร  (โดยรอบทุกด้าน)

ทหารรักษาการฝ่ายมิถิลานครที่ไม่รู้อุบาย  พอได้ยินอนุเกวัฏพูดดังนั้น  ต่างก็กรูขึ้นไปจะจับ  อนุเกวัฏหนีไปทางทหารที่รู้อุบายเพียง  ๒-๓  คน  ทหารจึงจับตัวอนุเกวัฏทุบตีด้วยซีกไม้ไผ่  ให้กองทัพพระเจ้าจุลนีเห็นรอยที่ตีปรากฏที่หลังอนุเกวัฏเล็กน้อยและดึงเสื้อผ้าให้ขาดเป็นริ้วรอย  แล้วทหารฏ้จับอนุเกวัฏไส่สาแหรก  เอาเชือกผูกแล้วหย่อนลงไปนอกกำแพงเมืองพร้อมกับคุกคามขึ้นว่า  "อ้ายคนทำลายชาติ  ไม่รู้พระคุณพระมหากษัตริย์ที่ชุบเลี้ยงตนมา  ไปปรนปรือข้าศึก  หวังจะให้มาโจมตีบ้านเกิดเมืองนอนของตน  เชิญเอ็งไปอยู่กับกองทัพของพระเจ้าจุลนีเถิด"

เมื่ออนุเกวัฏถูกใส่สาแหรกหย่อนลงมานั้น  ทหารของพระเจ้าจุลนีต่างพากันสงสาร  เพราะเข้าใจว่า  อนุเกวัฏถูกทรมานจริง  จึงช่วยกันนำออกจากสาแหรก  นำไปถวายพระเจ้าจุลนีกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ

พระเจ้าจุลนีตรัสถามว่า  "ท่านชื่ออะไร  มีความผิดสถานใดหรือจึงถูกวางโทษเช่นนี้ ?"

อนุเกวัฏ  "ข้าพระพุทธเจ้าชื่ออนุเกวัฏ  ข้าพระพุทธเจ้าเคยดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์ในราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราช  ต่อมามโหสธคิดกำเริบเสิบสาน  หวังจะครองตำแหน่งของข้าพระพุทธเจ้า  จึงทูลยุยงพระเจ้าวิเทหราช  หาว่าข้าพระพุทธเจ้าคิดคดทรยศต่อแผ่นดิน  ในที่สุดข้าพระพุทธเจ้าก็ถูกถอดยศเป็นคนหาที่พึ่งมิได้  เมื่อเห็นโอกาสดีที่กองทัพของพระองค์มาล้อมนครไว้เช่นนี้ก็ดีใจ  จึงนำของกินมีขนม  ปลา  เนื้อ  มาแจกจ่ายให้แก่กองทัพของพระองค์  เพื่อจะได้มีกำลังเข้าโจมตีมิถิลานคร  จับมโหสธคนร้ายมาตัดศีรษะเสีย  แต่ข้าพระพุทธเจ้าถูกทหารมิถิลานครจับได้  เขาทรมานข้าพระพุทธเจ้าต่าง ๆ นานา  ซึ่งทหารในกองทัพของพระองค์ก็ได้เห็นโดยตลอด  ข้าพระพุทธเจ้าหมดที่พึ่ง  จึงขออาศัยพระบารมีของพระองค์ปกเกล้ากระหม่อมเลี้ยงดูข้าพระพุทธเจ้าไว้สักคนเถิด  ข้าพระพุทธเจ้าจะอาสาเป็นผู้นำทหารของพระองค์เข้านครนี้ให้ได้ในเวลาเพียงเล็กน้อย  เพราะข้าพระพุทธเจ้ารู้ทางออกได้ดี  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าจุลนีทรงเชื่อสนิทในคำกราบทูลของอนุเกวัฏ  ประกอบกับคำกราบทูลของทหารของพระองค์ที่ได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด  จนกระทั่งได้นำตัวอนุเกวัฏมาเฝ้า  พระเจ้าจุลนีจึงตั้งให้อนุเกวัฏควบคุมกองทัพและพาหนะของพระองค์

อนุเกวัฏเรียกประชุมกองทัพ  แล้วยืนขึ้นพูดอย่างสง่าว่า  "ทหารทั้งหลาย  ขอให้พวกท่านจงปฏิบัติตามคำสั่งของข้าพเจ้า  บัดนี้ข้าพเจ้าได้รับพระบรมราชโองการ  ให้นำทหารของปัญจาลนครเข้าโจมตีมิถิลานคร  ขอให้พวกท่านจงเตรียมพร้อมในบัดนี้"  แล้วอนุเกวัฏก็สอดส่ายดูทหารของมิถิลานครที่ตั้งกองรักษาการอยู่บนหอรบ  เมื่อเห็นทุกคนเตรียมการดีแล้ว  จึงสั่งให้กองทัพบุกไปทางด้านที่มีคูน้ำใหญ่ ทหารกองหน้าก็กระโจนลงไปในคู  ถูกจระเข้ตัวใหญ่ ๆ  ที่เลี้ยงไว้ในคูจำนวนมากกัดบาดเจ็บล้มตายกันไม่น้อย  ทหารกองรักษาการณ์ที่บนหอรบก็ระดมยิงธนูไม่ขาดสาย  กองหน้าล้มตายไปเกือบหมด  ส่วนกองหลังไม่กล้าลงไป  ต่างทะยอยถอยกลับ เพราะกลัวจระเข้

อนุเกวัฏบอกให้เคลื่อนไปก็ไม่มีใครกล้าลงไป  อนุเกวัฏจึงไปกราบทูลพระเจ้าจุลนีว่า  "ข้าแต่พระองค์
ทหารทั้งหลายเอาใจออกห่างจากพระองค์เสียแล้ว  ทหารเหล่านี้ถูกมโหสธยุยงให้แข็งข้อเป็นขบถต่อพระองค์  แม้พระราชา ๑๐๑  และเกวัฏปุโรหิต  ก็รับสินบนจากมโหสธ ทุกคนล้วนเป็นพรรคพวก
ของมโหสธทั้งนั้น  มีแต่ข้าพระพุทธเจ้าคนเดียวเท่านั้น  ที่ัยังจงรักภักดีต่อพระองค์อยู่  หากไม่ทรงเชื่อดังคำที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูล  ขอจงทรงมีพระราชโองการให้พระราชาทั้งหมดแต่งเครื่องทรง  แล้วเชิญเสด็จทอดพระเนตรเครื่องทรงของพระราชาเหล่านั้นจะปรากฏชื่อมโหสธ  เพราะมโหสธได้จารึกนามของตนไว้  แล้วนำขึ้นถวายแด่พระราชาเหล่านั้น"


.................................


(ยังมีต่ออีก)


























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น