พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปอุตรปัญจาลนคร (ต่อ)
พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำเทวินท์ ก็ทรงระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระองค์ได้ทรงทำแก่มโหสธไว้ จึงไม่สามารถจะตรัสกับมโหสธได้ ได้แต่ทรงคร่ำครวญจนมโหสธได้ยินถนัดว่า
"บุคคลแสวงหาแก่นต้นกล้วย และแก่นไม้งิ้วไม่ได้
ฉันด เราแสวงหาอุบายที่ปลดเปลื้องให้พ้นทุกข์จาก
นักปราชญ์ทั้ง ๕ ก็ไม่ได้ ฉันนั้น
ช้างอยู่ในที่ที่ไม่มีน้ำ ที่นั้นก้หาเป็นประเทศไม่ ฉันใด
เราอยู่ใกล้กับคนเขลา คนชั่ว คนขลาด คนหาปัญญา
มิได้ ก็ชื่อว่าอยู่ในสถานที่อันมิใช่ประเทศ ฉันนั้น เพราะ
บัณฑิตทั้ง ๕ คนจะหาคนที่เป็นที่พึ่งแก่เรา สักคนเดียว
ก็ไม่มี
หัวใจของเราหวั่นไหว ปากของเราแห้งผาก เรา
เป็นเหมือนถูกไฟเผากลางแดด ย่อมจะไม่ดับได้โดยง่าย
เตาของช่างทองร้อนระอุภายใน ภายนอกไม่ร้อน
ฉันใด หัวใจของเราก็เร่าร้อนภายใน ภายนอกไม่ร้อน
ฉันนั้น"
มโหสธบัณฑิตได้สดับพระราชดำรัสก็เกิดความสงสาร กับเห็นพระองค์ทรงมีพระเสโทหลั่งโซมพระพักตร์ และทรงเช็ดอยู่บ่อย ๆ จึงกราบทูลให้เบาพระทัยว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงศักดิ์ ขอพระองค์อย่าทรงวิตก
กังวลพระราชหฤทัยไปเลย ข้าพระพุทธเจ้าขอรับอาสา
ปลดเปลื้องพระองค์ผู้เป็นเสมือนจันทร์หรือสูรย์ถูก
ราหูจับ หรือเหมือนช้างติดหล่ม หรือเหมือนงูติดใน
กระโปรง หรือเหมือนนกติดกรง หรือปลาอยู่ในแห
ให้พ้นจากความลำเค็ญ ข้าพระพุทธเจ้าจักให้กองทัพ
ปัญจาลนครหนีไป เหมือนไล่ฝูงกาด้วยก้อนดิน ฉะนั้น
หากข้าพระพุทธเจ้ามิได้ปลดเปลื้องพระองค์ให้พ้น
จากที่คับขันแล้วไซร้ ปัญญาของข้าพระองค์จะมี
ประโยชน์อย่างไร หรือบุคคลเช่นข้าพระองค์มาเป็น
อำมาตย์จะมีประโยชน์อย่างไร"
พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำของมโหสธ ก็กลับได้ความอุ่นพระทัยว่า "บัดนี้เรารอดตายแล้ว" ทุกคนที่อยู่ ณ สถานที่นั้น ต่างพากันแสดงความยินดีทั้วหน้ากัน
เสนกะพูดละล่ำละลักด้วยความดีใจว่า "ท่านบัณฑิต ท่านจะพาพวกเราทั้งหมดไปได้อย่างไร ?"
มโหสธตอบว่า "คอยดูก็แล้วกัน ว่าเราจะพาพวกท่านไปได้อย่างไร" แล้วมโหสธจึงออกคำสั่งทหารด้วยเสียงเฉียบขาดว่า "ทหารทั้งหลาย จงเปิดประตูอุโมงค์ ประตูห้องเครื่องยนต์ คือ ประตูห้องนอน ๑๐๑ ห้อง ดวงประทีป ๑๐๑ ดวง พระเจ้าวิเทหราชพร้อมเหล่าเสนาอำมาตย์ราชบริพาร จะเสด็จไปทางอุโมงค์ในบัดนี้"
เหล่าทหารที่มโหสธวางประจำหน้าที่ไว้ ต่างก็ไปเปิดประตูอุโมงค์ ทันใดนั้น ภายในอุโมงค์ก็มีแสงสว่างจ้าไปทั่ว ประหนึ่งเทพสภา เสร็จแล้วทหารจึงไปบอกมโหสธให้ทราบว่า ได้เปิดประตูอุโมงค์แล้ว
มโหสธจึงกราบทูลพระราชาว่า "ได้เวลาแล้วพระเจ้าข้า ขอพระองค์เสด็จลงจากปราสาทเถิด"
พระราชาเสด็จลงจากปราสาท
มโหสธจัดให้เสนกะเดินนำเสด็จ ต่อมาพระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ตนเองเดินตามเสด็จไปข้างหลัง เมื่อพระราชาทอดพระเนตรดูภายในอุโมงค์อย่างตะลึงลาน ค่อย ๆ ย่างพระบาทเสด็จไปทีละน้อย ๆ มโหสธต้องทูลเตือนบ่อย ๆ ให้รีบเสด็จ
ทหารอีกเหล่าหนึ่งที่มโหสธวางไว้ เมื่อรู้ว่าพระเจ้าวิเทหราชเสด็จมา จึงนำพระนางสลากเทวีพระราชมารดาพระเจ้าจุลนี พระนางนันทาเทวีมเหสีพระเจ้าจุลนี พระปัญจาลจันทกุมารราชโอรส และนางปัญ
จาลจันทีราชธิดาของพระเจ้าจุลนี ออกจากอุโมงค์ให้ประทับอยู่ ณ พลับพลากว้างใหญ่
พระเจ้าวิเทหราชเสด็จพระราชดำเนินออกจากอุโมงค์กับมโหสธ
กษัตริย์ราชวงศ์ทั้ง ๔ พระองค์ ครั้นทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าวิเทหราชกับมโหสธก็ทราบว่า ได้ถูกคนของมโหสธหลอกจับตัวมาเสียแล้ว ต่างตกพระทัยกรรแสงไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา ขณะนั้นเป็นยามราตรีที่เงียบสงัดเสียงคร่ำครวญของกษัตริย์ทั้ง ๔ ดังได้ยินไปถึงพระเจ้าจุลนี พระเจ้าจุลนีเกือบจะตรัสออกมาว่า "นั่นดูเหมือนเสียงพระนางนันทาเทวีอัครมเหสี" แต่ก็ยั้งไว้ได้ ไม่ตรัสออกไป เพราะทรงเกรงจะถูกเย้ยหยันจากอำมาย์ราชบริพาร ว่าพระองค์ช่างห่วงใยพระทัยตระหวัดถึงมเหสีมาก จนถึงกับระแวงไปว่า เป็นเสียงของพระนางนันทาเทวีทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นองค์มเหสี จึงไม่ตรัสอะไรออกไป แต่ก็ไม่หายวุ่นวายพระทัย
มโหสธนำเสด็จพระเจ้าวิเทหราชประทับบนพลับพลาเรียบร้อยแล้ว จึงเชิญให้พระนางปัญจาลจันทีประทับบนกองรัตน จัดทำพิธีอภิเษก โดยกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชให้ทรงรับพระนางเป็นมเหสี เป็นอันเสร็จพิธีอภิเษกสมรสกันในคืนนั้น
................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น