วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๕)



มโหสธไปสร้างนครที่กรุงปัญจาละ  (ต่อ)

อำมาตย์อานันทะก็ไปทำตามคำสั่งของมโหสธ

มโหสธขึ้นเรือข้ามฟากไปฝั่งโน้น  แล้วเดินทางจากฝั่งไปประมาณกึ่งโยชน์  ได้กำหนดวางแผนผังสร้างอุโมงค์ตรงนั้น  จากอุโมงค์ไปราว  ๔  โยชน์  กำหนดสร้างพระราชนิเวศ์สำหรับเป็นที่ประทับของพระเจ้าวิเทหราช  เมื่อกำหนดดังนั้นแล้ว  จึงเดินทางเข้าสู่อุตรปัญจาลนคร

พระเจ้าจุลนีพรหมทัต  เมื่อทรงทราบว่า  มโหสธเดินทางมาถึง  ก็ทรงโสมนัสยินดีอย่างยิ่งที่อุบายซึ่งวางไว้ใกล้สำเร็จสมประสงค์อยู่แล้ว  และทรงดำริว่า  ไม่ช้าพระเจ้าวิเทหราชก็คงเสด็จมา  เมื่อมากันพร้อมหน้า  ก็จะจับฆ่าเสียทั้งสอง  ต่อนั้นราชสมบัติในสกลชมพูทวีปก็จะอยู่ในเงื้อมมือทั้งหมด

มโหสธได้เข้าเฝ้าพระเจ้าจุลนี  ณ  ท้องพระโรง

พระเจ้าจุลนี  จึงรับสั่งถามมโหสธว่า  "พระราชาของเจ้าจะเสด็จมาเมื่อไร ?"

มโหสธกราบทูลว่า  "จักเสด็จมาต่อเมื่อข้าพระพุทธเจ้าส่งข่าวไปกราบทูล"

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า  "ทำไม  เจ้าจึงล่วงหน้ามาก่อน ?"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าพระพุทธเจ้ามาล่วงหน้าก็เพื่อเตรียมสร้างพระราชนิเวศน์  สำหรับเป็นที่ประทับของพระราชาของข้าพระองค์"

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า  "ดีแล้ว  เจ้าจงทำราชการในทางที่ถูกที่ควรอยู่กับเรา  จนกว่าพระราชาของเจ้าจะเสด็จมา"  แล้วรับสั่งให้จัดบ้านพักให้มโหสธตลอดจนคนติดตาม



มโหสธสร้างอุโมค์ใหญ่

วันหนึ่ง  มโหสธขึ้นไปยังพระราชนิเวศน์  ยืนอยู่เชิงบันได  ได้กำหนดว่า  ตรงนี้จะทำประตูอุโมงค์  แต่จะต้องไม่ทำให้บันไดนี้ทรุด  มโหสธได้นึกถึงพระราชดำรัสของพระเจ้าจุลนีที่ตรัสว่า  ให้เรารับราชการทำกิจที่ถูกที่ควรแก่พระองค์  ฉะนั้น  จะต้องไปกราบทูลเพื่อปฏิบัติราชกิจกับพระองค์  แล้วมโหสธก็ขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่พระองค์  ข้าพระพุทธเจ้า  ขณะขึ้นมาเฝ้าวันนี้  ยืนอยู่ที่เชิงบันได  ได้ตรวจดูเห็นพื้นตรงเชิงบันไดน่ากลัวจะทรุด  หากทรงเห็นชอบด้วยพระราชดำริ  ข้าพระพุทธเจ้าจะทำให้มั่นคงแข็งแรงต่อไป"

พระเจ้าจุลนีทรงอนุญาตว่า  "เชิญเจ้าทำตามที่เห็นควรเถิด"

มโหสธเมื่อได้รับพระราชานุมัติให้จัดทำแล้ว  จึงมาตรวจ  ก็เห็นเหมาะที่จะทำช่องประตูอุโมงค์ที่เชิงบันไดนั้น  จึงให้คนงานนำบันไดออก  แล้วเอาแผ่นกระดานมาปูลาดไว้  เพื่อมิให้มีฝุ่นในที่ที่จะเป็นประตูอุโมงค์  แล้วเอาบันไดมาพาดไว้ตามเดิม  ทำเสร็จในวันเดียว

รุ่งขึ้น  มโหสธไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี  กราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์  หากพระองค์ทรงอนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้าเลือกหาสถานที่อันเหมาะสำหรับเป็นที่ประทับของพระราชาของข้าพระพุทธเจ้าได้แล้ว  ข้าพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติให้เป็นที่พอพระหฤทัยของพระองค์ทีเดียว พระเจ้าข้า"

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า  "เลือกดูเถิดบัณฑิต  เชิญท่านเลือกเอาตามใจชอบ  เราขอแต่พระราชนิเวศน์ของเราเท่านั้น  นอกนั้นท่านปรารถนาตรงไหน  ก็จงเอาที่ตรงนั้นเถิด"  การที่พระเจ้าจุลนีรับสั่งให้ง่าย ๆ  เช่นนี้ก็ทรงนึกว่า  พระองค์เป็นต่ออยู่แล้ว  ทำให้มโหสธตายใจไปเลย  แต่หารู้ไม่ว่าใครจะเหนือกว่าใคร

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์อันเนื้อที่  ที่จะจัดสร้างที่ประทับของพระราชาของข้าพระพุทธเจ้านั้น มีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาล  ข้าพระพุทธเจ้าไม่ประสงค์จะสร้างทับที่อันมีเจ้าของปกครองอยู่  หรือถึงกับต้องรื้อบ้านเรือน  ซึ่งเขาปลูกสร้างกันไว้ก่อนแล้ว  ซึ่งจะทำให้เจ้าของมีความลำบาก  ข้าพระพุทธเจ้าไม่ประสงค์จะให้เขาต้องพลัดพรากจากของที่เขารักหวงแหนไปด้วยเหตุนี้  ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต  เอาที่ระหว่างคงคากับพระนคร  ซึ่งจากที่นี่ไปราว  ๔  โยชน์  อยู่นอกเขตพระนคร สำหรับสร้างสถานที่ประทับของพระราชาของข้าพระพุทธเจ้า  จะควรประการใดสุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าจุลนีได้ทรงฟังก็พอพระทัย  รับสั่งอนุญาตทันทีว่า  "ถ้าเจ้าปรารถนาที่แห่งนั้น  ก็จงจัดการตามประสงค์เถิด"  การที่ทรงอนุญาตให้ทันทีเช่นนั้น  ก็เพราะทรงเห็นว่า  การรบกันภายในเมืองเป็นการลำบาก  ทั้งทหารที่ออกต่อสู้กัน  ก็ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นเราเป็นเขา  การรบภายนอกเมืองเป็นการง่าย  จะได้ไม่ต้องฆ่ากันตายภายในเมือง

มโหสธได้เริ่มงานตามแผนการของตนต่อไปโดยกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  การสร้างพระราชนิเวศน์ สำหรับเป็นที่ประทับครั้งนี้  ต้องใช้คนเป็นจำนวนมากและคนเหล่านั้นก็ล้วนมาจากเมืองอื่น  หากคนในเมืองนี้เข้าไปในที่ที่กำลังก่อสร้าง  จะไปเที่ยวหรือจะไปกิจธุระก็ตาม  อาจเกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้นได้  ซึ่งจะทำให้พระองค์ต้องวุ่นวายพระทัยไปด้วย  จนหมดความสำราญส่วนพระองค์ไป  ด้วยเหตุนี้ข้าพระพุทธเจ้าขอให้พระองค์  ออกประกาศห้ามมิให้คนในเมืองนี้เข้าไปในสถานที่ซึ่งทำการก่อสร้างครั้งนี้โดยเด็ดขาด  อนึ่ง  ช้างของข้าพระพุทธเจ้า  ชอบเล่นในน้ำ  หากน้ำขุ่นชาวเมืองจะกล่าวโทษว่าข้าพระพุทธเจ้าทำความเดือดร้อนแก่เขาเรื่องน้ำ  อาจร้องฏีกาถวายพระองค์  ขอพระองค์ทรงระงับฏีกานั้นไว้  อย่าทรงกริ้วพวกข้าพระพุทธเจ้า"

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า  "เจ้าจงปล่อยช้างของเจ้าให้ในน้ำตามสบายเถิด"  แล้วรับสั่งให้ออกประกาศแก่ชาวเมืองของพระองค์ว่า  "ขอประกาศให้ชาวเมืองทราบทั่วกัน  ผู้ใดเข้าไปในเขตที่สร้างเมืองของมโหสธ  ผู้นั้นจะถูกปรับไหม  ๑,๐๐๐  กหาปณะ"  แล้วเอาหมายประกาศนั้นไปติดตามที่ต่าง ๆ  เพื่อให้ชาวเมืองได้ทราบ

มโหสธถวายบังคมลาพระเจ้าจุลนี  พาพวกของตนออกจากพระนคร  เตรียมการสร้างเมืองในสถานที่ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระเจ้าจุลนีแล้ว  เริ่มสร้างบ้านชื่อ  คัคคลิคาม  ริมฝั่งคงคาฟากโน้น  จัดช้าง  ม้า  รถ  โค  ไว้ประจำที่บ้านนั้น  เมื่อสร้างคัคคลิคามเสร็จแล้ว  จึงเตรียมสร้างเมือง  โดยแบ่งหน้าที่กันเป็นฝ่าย ๆ  ไป  เริ่มด้วยการขุดอุโมงค์ก่อน  ประตูอุโมงค์ใหญ่อยู่ริมฝั่งคงคา  ใช้คนประมาณ  ๖,๐๐๐  คน ขุดอุโมงค์ใหญ่  เอากรวดทรายที่ขุดออกนั้นไปถมพื้นที่บ้าง  ผสมกับน้ำพอให้เข้ากันดีก่อกำแพงบ้าง  และอื่น ๆ  อีกหลายอย่าง  ประตูทางเข้าอุโมงค์ใหญ่อีกด้านหนึ่งทางในเมือง  ประกอบด้วยประตูคู่มีเครื่องยนต์สูง  ๑๘  ศอก  เมื่อเหยียบหรือกดสลักอีกอันหนึ่งประตูก็เปิด  ทั้งสองข้างของอุโมงค์ใหญ่ก่อด้วยอิฐถือปูน  ข้างบนปูด้วยไม้ใช้ดินเหนียวยาอุดตามช่องทาด้วยสีขาว  ประตูทั้งหมดในอุโมงค์มีประตูใหญ่  ๘๐  ประตูน้อย  ๖๔  แต่ละประตูมีเครื่องยนต์ประกอบ  เมื่อเหยียบหรือกดสลักอันหนึ่ง  ประตูทั้งหมดก็ปิด  เมื่อเหยียบหรือกดอีกอันหนึ่งประตูก็เปิด  ทั้งสองข้างของอุโมงค์มีโคมไฟมากกว่า  ๑๐๐  ดวง  โคมไฟเหล่านี้ปิดเปิดได้ด้วยเครื่อง  ปิดพร้อมกัน  เปิดพร้อมกัน  ห้องบรรทมของพระราชา  ๑๐๑ องค์  มีอยู่  ๒ ข้างของอุโมงค์  มีเครื่องลาดไว้ในห้องบรรทมทุกห้อง  สถานที่ประทับแต่ละแห่งมีเศวตฉัตรตั้งไว้และแต่ละที่ประทับมีรูปสตรีทำด้วยเส้นป่านสวยงามอย่างยิ่งตั้งอยู่  หากไม่เอามือจับต้องลูบคลำรูปนั้น ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าไม่ใช่รูปคน

อนึ่ง  พวกช่างเขียนที่สามรถดจัดเจน  ได้วาดภาพล้วนเป็นภาพที่วิจิตรตระการตาต่าง ๆ  ไว้ทั้งสองข้างของมหาอุโมงค์  เช่น  ภาพสักกเทวราช  ภาพเขาสุเมรุ  เขาบริภัณฑ์  มหาสาคร  ทวีปทั้ง  ๔  ป่าหิมพานต์  สระอโนดาต  ดวงจันทร์  ดวงอาทิตย์และท้าวจาตุมหาราชิกา  เป็นต้น

ข้างบนอุโมงค์ตามช่องต่าง ๆ  ทำเป็นดอกบัวห้อยไว้อย่างวิจิตรงามตาทั้งสองข้าง  มีร้านค้านานาชนิด แต่ละร้านมีพวงมาลัยห้อยหอมตลบอบอวลทั่วบริเวณ  อุโมงค์นั้นปรากฏประหนึ่งเทพสภา

ฝ่ายช่าง  ๓๐๐  คน  ที่มโหสธให้ไปต่อเรือบรรทุก  ก็ได้ต่อเรือสำเร็จทั้ง  ๓๐๐  ลำ  และบรรทุกทัพสัมภาระที่ประกอบเป็นรูปเสร็จแล้ว  มาทางคงคา  นำไปมอบแก่มโหสธ

มโหสธได้นำทัพสัมภาระเหล่านั้นไปเป็นเครื่องประกอบใช้ในการสร้างเมือง  เมื่อขนทัพสัมภาระออกจากเรือหมด  จึงให้นำเรือไปจอดไว้ในที่มิดชิด  ปกปิดไว้ไม่ให้มีคนภายนอกมาเห็นได้  แล้วสั่งคนประจำเรือว่า  "ท่านทั้งหลายจงนำเรือมาในวันที่เราสั่ง"

การสร้างเครื่องประกอบในตัวเมืองเสร็จไปแล้ว  คือ  คูน้ำ  คูเปือกตม  คูแห้ง  กำแพงสูง  ๑๘  ศอก  ป้อม ประตูเมือง  ซุ้มประตูเมือง  พระราชนิเวศน์  โรงช้าง  สระโบกขรณี  และอื่น ๆ  การก่อสร้างได้เสร็จเรียบร้อยทุกอย่างในเวลา  ๔  เดือน


..........................................




































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น