วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๔)


นกแก้วสืบความลับจากนางนกสาลิกา  (ต่อ)

นกแก้วสงสัยในคำพูดของนางนกสาลิกา  จึงขอร้องให้นางเล่าให้กระจ่าง  นางนกสาลิกาไม่กล้าพูด

นกแก้วจึงพ้อว่า  "เมื่อเจ้าไม่ยอมบอกความลับแก่ข้าผู้เป็นสามีเช่นนี้แล้ว  การเป็นสามีภรรยาของเราก็ไม่มีความหมายอย่างไร  เพราะภรรยาที่ปกปิดความลับแก่สามี  ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี"

นางนกสาลิกาเมื่อไม้นี้ของนกแก้วเข้า  ก็จนใจ  จึงพูดว่า  "ที่รักโปรดฟัง  ข้าจะบอกเดี๋ยวนี้แหละ  เพราะข้าเป็นภรรยาที่ซื่อสัตย์ต่อท่านผู้เป็นสามี"

นกแก้ว  "ยอดรักเชิญบอกไปเถิด  ข้าจะฟัง"

นางนกสาลิกา  


"ข้าไม่อยากให้มีวิวาหมงคล  เกิดขึ้นในระหว่าง
ราชธิดาของพระเจ้าจุลนีกับพระเจ้าวิเทหราชเลย"

นกแก้ว  "เพราะอะไรหรือ ?"

นางนกสาลิกา


"พระเจ้าจุลนีพรหมทัดแห่งปัญจาลนคร  นำพระเจ้า
วิเทหราชมาแล้วก็จักฆ่าพระเจ้าวิเทหราชเสีย  เพราะ
พระเจ้าจุลนีมิใช่เป็นพระสหายของพระเจ้าวิเทหราช

พระเจ้าจุลนีทรงเอาพระราชธิดาเป็นโล่ลวง
พระเจ้าวิเทหราชกับมโหสธ  เมื่อมาถึงปัญจาลนครแล้ว
ก็จักฆ่าเสียทั้งสอง  เพราะการกระทำครั้งนี้มิได้เป็นไป
โดยสุจริตมิตรธรรม"

นางนกสาลิกาพูดต่อไปว่า  "ความลับนี้รู้กันเพียงสองคนเท่านั้น  คือ  พระเจ้าจุลนีกับเกวัฏปุโรหิต  ทั้งสองได้มาปรึกษากันที่ห้องบรรทม  ข้าได้ยินมาอย่างนี้แหละ"

นกแก้วได้ฟังดังนั้น  จึงแกล้งชมเกวัฏปุโรหิตว่า  "แหม  อาจารย์เกวัฏนี่แกเป็นคนฉลาดในอุบายลึกซึ้ง สมเป็นปุโรหิตในราชสำนักของพระเจ้าจุลนี  ที่สามารถจะฆ่าพระเจ้าวิเทหราชและมโหสธด้วยอุบายอย่างนี้ได้"  แล้วก็เสแสร้งพูดเรื่องอื่นต่อไป  เพื่อไม่ให้นางนกสาลิกาจับได้ว่าเป็นสายลับ

นกแแก้วเมื่อความลับแล้วก็พอใจ  ชวนนางนกสาลิกาคุยเรื่องอื่น ๆ  จนกระทั่งเย็นจึงนอนด้วยกัน

รุ่งเช้า  นกแก้วพูดกับนางนกสาลิกาว่า  ไยอดรัก  ข้าเห็นจะต้องกลับไปนครสีวี  เพื่อกราบทูลพระราชาของข้าถึงเรื่องที่ข้าได้ภรรยาที่ถูกใจแล้ว  ข้าจะไปเพียง  ๗  วัน  แล้วจะกลับมา"

นางนกสาลิกาทั้ง ๆ  ที่ไม่อยากจะให้นกแก้วสามีต้องจากไป  แต่ก็ห้ามไม่ได้  เพราะนกแก้วได้รับพระราชโองการจากพระราชาของเขาว่า  เมื่อได้ภรรยาที่ถูกใจแล้วก็ให้กลับไปกราบทูล  นางจึงพูดว่า  "เอาเถอะที่รัก  ข้าขอให้ท่านไปเพียง  ๗  วัน  ถ้าครบ  ๗  วัน  ท่านไม่มา  ข้าขอลาตาย"

 นกแก้วพูดว่า  "ยอดรัก  พูดอะไรอย่างนั้น  ข้าสิถ้าไม่เห็นเจ้าในวันที่  ๘  ข้าก็คงไม่มีชีวิตอยู่ได้"

เมื่อต่างร่ำลาแสดงอาลัยต่อกันแล้ว  นกแก้วก็บินออกจากช่องพระแกล  ทำมุงไปแคว้นสีวี  ไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับมาหานางนกสาลิกา  แสดงอาลัยอาวรณ์ให้เห็นว่าแสนที่จะห่วง  เสร็จแล้วโผผินบินด้วยความเร็วไปสู่มิถิลานคร  ตรงไปหามโหสธ  จับลงที่บ่าของมโหสธ  แล้วแจ้งเรื่องความลับที่ได้มาจากนางนกสาลิกาให้มโหสธทราบทุกประการ.





มโหสธไปสร้างนครที่กรุงปัญจาละ

มโหสธบัณฑิตเมื่อได้ทราบความลับแล้ว  จึงดำริว่า  "เรานึกแล้วไม่ผิด  ว่าจะต้องมีอุบายซับซ้อนกลอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง  ระหว่างพระเจ้าจุลนีกับเกวัฏ  แต่พระราชาของเราไม่ทรงคิดว่าจะมี  ครั้นเราทูลห้ามไม่ให้เสด็จ  พระองค์ก็จะเสด็จ  เมื่อเสด็จไปถึงก็จะได้รับอันตรายดังที่เขาคิดไว้  เราต้องป้องกันพระมหากษัตริย์ของเรา  เราจะล่วงหน้าไปเฝ้าพระเจ้าจุลนีก่อน  แล้วขอพระราชทานที่สำหรับสร้างพระนครให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าวิเทหราช  ทำอุดมงค์ใต้ดินเป็นทางยาว  ๔  โยชน์  กว้างราวครึ่งโยชน์  เสร็จแล้วจัดการภิเษกพระนางปัญจาลจันที  ให้เป็นบาทปริจาริกของพระราชาของเรา  เมื่อพระราชา  ๑๐๑  พร้อมด้วยพลนิกายหลายล้านแวดล้อมอยู่  หมายจะปลงพระชนม์พระราชาของเรา  เราจะต้องป้องกันพระราชาให้พ้นอันตรายดุจเปลื้องดวงจันทร์จากปากอสุรินทรราหู  ฉะนั้น  แล้วพาเสด็จกลับมิถิลานคร  เรื่องทั้งหมดเราต้องรับภาระให้เป็นที่เรียบร้อย"  นี่เป็นความดำริของมโหสธ

มโหสธครั้นดำริดังนั้นแล้ว  ก็เกิดปีติโสมนัสซาบซ่านไปทั่วกาย  ได้เปล่งอุทานขึ้นด้วยความภาคภูมิว่า


"บุคคลได้รับอุปการะจากท่านผู้ใด  ควรทำตนให้
เป็นประโยชน์แก่ท่านผู้นั้น  แม้ท่านจะดุด่าตัดพ้อทุบตี
เสือกไสไล่ส่งอย่างไรก็ตาม  ไม่ควรถือเอามาเป็น
เหตุลบล้างบุญคุณของท่าน"


มโหสธรู้สึกภาคภูมิในความคิดของตนเป็นอย่างยิ่ง  จัดแจงแต่งกายเสร็จแล้ว  ไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช กราบบังคมทูลว่า  "ข้าแต่สมมติเทวราช  พระองค์ยังทรงดำริที่จะเสด็จไปอุตรปัญจาลนครอยู่อีกหรือ พระเจ้าข้า ?"

พระราชาตรัสว่า  "เราต้องไป  หากเราไม่ได้นางปัญจาลจันทีมาเป็นคู่ชื่น  เราก็จะไม่ขอครองราชสมบัติต่อไป  มโหสธบัณฑิต  เจ้าอย่าทิ้งเรา  จงไปกับเราด้วย  เราจะได้รับประโยชน์ถึง  ๒  ประการ  คือ  ๑. เราได้หญิงแก้วมาเป็นคู่ชื่น   ๒. เราจะได้ผูกสันถวไมตรีกับพระเจ้าจุลนีพรหมทัต"

มโหสธกราบทูลว่า  "ถ้าเช่นนั้น  ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมลาล่วงหน้าไปก่อน  เพื่อไปสร้างพระราชนิเวศน์สำหรับพระองค์ให้สมพระเกียรติ  เมื่อข้าพระองค์สร้างเสร็จแล้ว  จะส่งข่าวมากราบทูลเชิญเสด็จในภายหลัง"

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำกราบทูลของมโหสธ  ทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง  มีพระดำรัสว่า  "พ่อมโหสธลูกรัก  พ่อไปก่อน  จะต้องการอะไรบ้าง ?"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าพระพุทธเจ้าขอพลและพาหนะ  ขอพระองค์โปรดมีพระบรมราชโองการให้เปิดเรือนจำ  ๔  แห่ง  ให้ถอดเครื่องจองจำออกแล้วให้นักโทษทั้งหมดไปกับข้าพระพุทธเจ้า"

พระราชาทรงอนุญาตตามที่มโหสธกราบทูลต้องการ

มโหสธเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว  จึงได้ผู้คุมเรือนจำเปิดเรือนจำ  ให้นักโทษที่เป็นชายฉกรรจ์ออก  แล้วจัดให้มีการควบคุมกันเป็นกองร้อยกองพัน  จัดเป้นหมู่เป็นหมวด  มีหมวดช่างไม้  ช่างเหล็ก  ช่างหนัง  ช่างศิลา  ช่างเขียน  ช่างอิฐ  ให้ทุกหมวดเตรียมเอาเครื่องอุปกรณ์สำหรับใช้ในการนั้น ๆ  ตลอดจนมีด  ขวาน  จอบ  และเสียม เป็นต้นไปด้วย  เมื่อเสร็จแล้วพอได้เวลาก็ยกกองพลเคลื่อนขบวนออกจากพระนครไปสู่อุตรปัญจาลนคร

มโหสธได้ให้ช่างไม้สร้างบ้านรายทางเป็นระยะ ๆ  ไป  แล้วให้อำมาตย์คนหนึ่ง ๆ  อยู่ประจำบ้านหลังหนึ่ง ๆ  ให้ทุก ๆ  บ้านที่อยู่รายทางจัดช้าง  ม้า  รถ  เตรียมไว้  เมื่อพระราชานำนางปัญจาลจันทีผ่านมา  ก็ให้รีบพาไปให้ถึงมิถิลานครโดยเร็ว  อย่าให้ข้าศึกทำอันตรายแก่พระองค์

เมื่อขบวนพลของมโหสธเดินทางถึงฝั่งคงคา  ได้เรียกอำมาตย์คนหนึ่งชื่อ  อานันทะ มาสั่งว่า  "อานันทะ ท่านจงพาช่างไม้  ๓๐๐  คน  ไปทางเหนือคงคา  ให้เอาไม้แก่นสร้างเรือ  ๓๐๐  ลำ  แล้วหาไม้ที่จะทำกระดาน  เสา  ฝา  และอื่น ๆ  สำหรับสร้างเมือง  บรรทุกเรือ  ๓๐๐  ลำ  มาโดยเร็ว"


..................................

(ยังมีต่ออีก)






































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น