วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๙)


พระเจ้าจุลนีสั่งจับพระเจ้าวิเทหราช

พระเจ้าจุลนีจัดกำลังกองทัพล้อมอุปการนครอยู่จนกระทั่งสว่าง  มิได้ทรงทราบว่า  พระเจ้าวิเทหราชเสด็จหนีไปแล้ว  พระองค์ทรงช้างพระที่นั่ง  ได้ทรงบัญชาการที่จะให้ทหารยกกำลังบุกอุปการนครของพระเจ้าวิเทหราช  จึงรับสั่งขึ้นด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า  "พวกทหารจงบุกเข้าไปทำลายเมืองเสีย  จับพระเจ้าวิเทหราชมา"

มโหสธนอนอยู่ได้ยินเสียงแว่วว่า  ให้จับ ๆ  จึงลุกขึ้น  แต่งตัวด้วยเครื่องแบบสง่างาม  เปิดบัญชรปราสาทมองไปเห็นพระเจ้าจุลนีกำลังสั่งทหารอยู่โหวกเหวก  จึงเดินเยื้องกรายไปมาด้วย่าทางอันผึ่งผาย

พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรเห็นแต่มโหสธ  ไม่เห็นพระเจ้าวิเทหราช  ก็ยิ่งไม่พอพระทัยหนักขึ้น  เร่งไสช้างหวังจะจับมโหสธให้ได้

มโหสธนึกแต่ในใจว่า  พระเจ้าจุลนีชะรอยไม่ทรงทราบว่า  เราได้จับมเหสี  พระราชบุตร  ราชธิดา  ส่งไปมิถิลานคร  พร้อมกับพระราชาของเราแล้ว  เราควรทำความเข้าใจกับพระองค์ก่อน  คิดแล้วจึงยืนตรงหน้าต่าง  กราบทูลกับพระเจ้าจุลนีด้วยเสียงอ่อนหวานว่า

"ข้าแต่สมมติเทพ  พระองค์จะด่วนไสช้างพระที่นั่ง
มาทำไม  พระอาการของพระองค์ดูร่าเริง  เห็นจะทรง
สำคัญว่า  ชัยชนะจะเป็นของพระองค์กระนั้นหรือ

ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นจอมประชาราษฏร์   ขอ
พระองค์ทรงลดสายธนูที่โก่งนั้นเสีย  ทิ้งลูกศรเสีย
นำเกราะที่ทรงสวมนั้นออกเสียเถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าจุลนีได้สดับคำของมโหสธ  ก็ทรงกริ้ว  หาว่ามโหสธพูดจาเย้ยหยัน  จึงตรัสว่า

"เจ้าผู้มีดวงหน้าผ่อง  บัดนี้  มรณสัญญาได้ปรากฏ
แก่เจ้าแล้ว  เพราะคนที่จวนจะตาย  ย่อมมีผิวพรรณ
ปรากฏเช่นนี้แหละ"

พลนิกายที่ได้รับบัญชาจากพระเจ้าจุลนีให้ตัวเมือง  เมื่อเห็นพระเจ้าจุลนีกับมดโหสธสนทนากัน  ก็อยากจะทราบว่า  สนทนาอะไรกัน  จึงหยุดฟังความอยู่ใกล้ ๆ  กับพระราชาของตน

มโหสธกราบทูลว่า

"ข้าแต่ขัตติยราช   พระดำรัสที่พระองค์คุกคามนั้น
ไม่มีประโยชน์อะไรเลย  พระเจ้าวิเทหราชที่พระองค์
สั่งให้จับนั้นก็ไม่มีประโยชน์เหมือนม้าสินธพ  ซึ่งม้ากระจอก
ไล่ไม่ทัน  ฉันนั้น

พระเจ้าวิเทหราช  พร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพาร
เสด็จข้ามคงคาไปแล้วแต่วานนี้  กาบินไล่ตามหงส์จักตก
ในระหว่างทาง  ฉันใด  หากพระองค์จักติดตามพระเจ้า
วิเทหราช  ก็จะตกถึงความพินาศ  ฉันนั้น

สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ที่ต่ำช้ากว่ามฤค  เห็นดอก
ทองกวาวบานในราตรี  ก็สำคัญว่าชิ้นเนื้อ  ใคร่จะกิน
ครั้นดวงอาทิตย์ขึ้น  สุนัขจิ้งจอกจึงเห็นเป็นดอกทองกวาว
ไม่อยากกิน  ฉันใด

ข้าแต่บรมกษัตริย์  พระองค์ทรงล้อมพระเจ้าวิเทหราช
เมื่อทรงทราบว่า  พระเจ้าวิเทหราชมิได้เสด็จอยู่  ณ  ที่นี่
ก็จักหมดหวังจักเสด็จกลับไปเหมือนสุนัขจิ้งจอกเห็น
ดอกทองกวาว  มิใช่ชิ้นเนื้อ  ก็หมดความอยากกิน  ฉันนั้น"

พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับคำอันไม่ครั่นคร้ามของมโหสธ  จึงทรงดำริว่า  "มโหสธนี้กล้าพูดเหลือเกิน  มโหสธคงให้พระเจ้าวิเทหราชหนีไปอย่างแน่นอน"  ทรงกริ้วมาก  รับสั่งแก่ทหารว่า  "ทหารทั้งหลาย  จงจับมโหสธแล้วตัดมือ  ตัดเท้า  ตัดหู  ตัดจมูกเสีย  แล้วเอาหลาวเสียบทวารทะลุปาก  นำไปย่างกับไฟ  ฐานปล่อยพระเจ้าวิเทหราชศัตรูของเราไป"

มโหสธได้ฟังพระราชดำรัสก็หัวเราะ  คิดว่า  "พระราชาพระองค์นี้ยังคงไม่ทราบว่า  เราได้จับพระมเหสี
พร้อมด้วยโอรสธิดาส่งไปมิถิลานครแล้ว  จึงคิดแต่จะทำโทษเราอย่างแสนสาหัสด้วยความพิโรธ  เราจะต้องแจ้งเรื่องราวให้ทรงทราบ  เมื่อทรงทราบแล้วคงโศกาอาดูรถึงวิสัญญีภาพบนหลังช้างพระที่นั่งแน่  คิดแล้ว  จึงกราบทูลว่า

"ถ้าพระองค์ให้ตัดมือ  เท้า  หูและจมูกของข้าพระองค์
พระเจ้าวิเทหราชก็จักได้ตัดพระหัตถ์  พระบาท  พระกรรณ
และพระนาสิกของพระมเหสี  ราชบุตรและราชธิดาของ
พระองค์เหมือนกัน

ถ้าพระองค์ให้เสียบข้าพระองค์ด้วยหลาวเอาย่างไฟ
พระเจ้าวิเทหราชก็จักเสียบพระมเหสี  ราชบุตรและราชธิดา
ของพระองค์เหมือนกัน

ถ้าพระองค์ทิมแทงข้าพระองค์ด้วยหอก  พระเจ้า
วิเทหราชก็จักทิ่มแทงพระประยูรญาติของพระองค์ด้วย
หอกเหมือนกัน้าพระพุทธเจ้าและพระเจ้าวิเทหราชได้ตกลง
กันไว้  ดังที่กราบทูลให้ทราบ  ฉะนี้"

พระเจ้าจุลนีได้สดับถ้อยคำของมโหสธ  ก็ทรงสงสัยวา  "ทำไมโหสธจึงพูดกับเราอย่างนั้นว่า  ถ้าเราทำโทษแก่เขาอย่างใด  พระเจ้าวิเทหราชก็จะทำโทษมเหสี  ราชบุตร  และราชธิดาของเราอย่างนั้น  ชะรอยมโหสธจะไม่รู้ว่า  เราได้จัดการรักษามเหสีและโอรสของเราไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว  เห็นจะเพ้อไปตามลักษณะของคนกลัวตายมากกว่า  เราจะไม่ฟังคำของมโหสธ"  จึงตรัสว่า  "ดูก่อนมโหสธ  เจ้าอย่าพร่ำเพ้อไปเพราะกลัวตายเลย  เราจะไม่ยอมฟังคำของเจ้า  บัดนี้  เจ้าอยูในเงื้อมมือเราแล้ว"

มโหสธเทื่อเห็นว่าพระเจ้าจุลนีไม่ทรงเชื่อถ้อยคำที่ตนกล่าว  จึงกราบทูลว่า

"ข้าแต่บรมกษัตริย์  หากพระองค์มิทรงเชื่อถ้อยคำ
ของข้าพระองค์  ขอเชิญพระองค์เสด็จไปทอดพระเนตร
พระราชนิเวศน์ของพระองค์ซึ่งว่างเปล่าเถิด

พระราชมารดา  พระมเหสี  พระราชบุตร  และ
พระราชธิดาของพระองค์  ได้ถูกทหารของข้าพระองค์
จับนำไปถวายพระเจ้าวิเทหราชหมดแล้ว"

พระเจ้าจุลนีได้สดับดังนั้น  จึงทรงหวนระลึกถึงเสียงร้องเมื่อตอนกลางคืน  ซึ่งพระองค์ได้ยินเหมือนเสียงของพระนางนันทาเทวีมเหสี  และมโหสธก็ได้กล่าวถ้อยคำยืนยันเป็นจริงเป็นจังอยู่เช่นนี้  น่ากลัวว่า  จะเป็นความจริง  ทรงกระวนกระวายพระทัยอย่างเหลือล้น  แต่ก็ทรงระงับไว้ได้ไม่แสดงออกให้มโหสธเห็น  เพื่อให้เห็นเท็จจริง  จึงตรัสเรียกอำมาตย์คนหนึ่งให้ไปดูพระราชนิเวศน์  ว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงดังที่มดหสธทูลหรือไม่

อำมาตย์พร้อมด้วยราชบุรุษ  พากันไปยังพระราชนิเวศน์เปิดพระทวารเข้าไป  ได้เห็นคนรักษาราชนิเวศน์พร้อมด้วยนางข้าหลวงต่างถูกมัดมือเท้า  ถูกอุดปากมัดติดไว้กับเสาบ้าง  กับต้นไม้ที่ยื่นออกมาบ้าง  เครื่องภาชนะก็ถูกทูบแตกทำลาย  ของเคี้ยวของบริโภคเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด  ห้องพระคลังถูกเปิด  ทรัพย์สินไม่มีเหลือ  ห้องที่กษัตริย์ทั้ง  ๔  พระองค์ประทับก็ว่างเปล่า  อำมาตย์พร้อมด้วยราชบุรุษจึงรีบมากราบทูลพระเจ้าจุลนีว่า  "ขอเดชะ  ในพระราชนิเวศน์ปรากฏดังที่มโหสธกราบทูลทุกอย่าง  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าจุลนีได้ฟังอำมาตย์กราบทูล  ทรงเสียพระทัยที่ต้องพรากจากกษัตริย์ทั้ง  ๔  ทรงพิโรธมโหสธ พระเนตรแดงกล่ำดุจงูพิษถูกตีด้วยท่อนไม้  ตรัสขึ้นว่า  "มโหสธทำแก่เรามากนัก"


....................................

































วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๘)


พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปอุตรปัญจาลนคร  (ต่อ)

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำเทวินท์  ก็ทรงระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระองค์ได้ทรงทำแก่มโหสธไว้  จึงไม่สามารถจะตรัสกับมโหสธได้  ได้แต่ทรงคร่ำครวญจนมโหสธได้ยินถนัดว่า

"บุคคลแสวงหาแก่นต้นกล้วย  และแก่นไม้งิ้วไม่ได้
ฉันด  เราแสวงหาอุบายที่ปลดเปลื้องให้พ้นทุกข์จาก
นักปราชญ์ทั้ง  ๕  ก็ไม่ได้  ฉันนั้น

ช้างอยู่ในที่ที่ไม่มีน้ำ  ที่นั้นก้หาเป็นประเทศไม่  ฉันใด
เราอยู่ใกล้กับคนเขลา คนชั่ว  คนขลาด  คนหาปัญญา
มิได้  ก็ชื่อว่าอยู่ในสถานที่อันมิใช่ประเทศ  ฉันนั้น  เพราะ
บัณฑิตทั้ง  ๕  คนจะหาคนที่เป็นที่พึ่งแก่เรา  สักคนเดียว
ก็ไม่มี

หัวใจของเราหวั่นไหว  ปากของเราแห้งผาก  เรา
เป็นเหมือนถูกไฟเผากลางแดด  ย่อมจะไม่ดับได้โดยง่าย

เตาของช่างทองร้อนระอุภายใน ภายนอกไม่ร้อน
ฉันใด  หัวใจของเราก็เร่าร้อนภายใน  ภายนอกไม่ร้อน
ฉันนั้น"

มโหสธบัณฑิตได้สดับพระราชดำรัสก็เกิดความสงสาร  กับเห็นพระองค์ทรงมีพระเสโทหลั่งโซมพระพักตร์  และทรงเช็ดอยู่บ่อย ๆ  จึงกราบทูลให้เบาพระทัยว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงศักดิ์  ขอพระองค์อย่าทรงวิตก
กังวลพระราชหฤทัยไปเลย  ข้าพระพุทธเจ้าขอรับอาสา
ปลดเปลื้องพระองค์ผู้เป็นเสมือนจันทร์หรือสูรย์ถูก
ราหูจับ  หรือเหมือนช้างติดหล่ม หรือเหมือนงูติดใน
กระโปรง หรือเหมือนนกติดกรง  หรือปลาอยู่ในแห
ให้พ้นจากความลำเค็ญ  ข้าพระพุทธเจ้าจักให้กองทัพ
ปัญจาลนครหนีไป  เหมือนไล่ฝูงกาด้วยก้อนดิน  ฉะนั้น

หากข้าพระพุทธเจ้ามิได้ปลดเปลื้องพระองค์ให้พ้น
จากที่คับขันแล้วไซร้  ปัญญาของข้าพระองค์จะมี
ประโยชน์อย่างไร  หรือบุคคลเช่นข้าพระองค์มาเป็น
อำมาตย์จะมีประโยชน์อย่างไร"


พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำของมโหสธ  ก็กลับได้ความอุ่นพระทัยว่า  "บัดนี้เรารอดตายแล้ว"  ทุกคนที่อยู่  ณ  สถานที่นั้น  ต่างพากันแสดงความยินดีทั้วหน้ากัน

เสนกะพูดละล่ำละลักด้วยความดีใจว่า  "ท่านบัณฑิต  ท่านจะพาพวกเราทั้งหมดไปได้อย่างไร ?"

มโหสธตอบว่า  "คอยดูก็แล้วกัน  ว่าเราจะพาพวกท่านไปได้อย่างไร"  แล้วมโหสธจึงออกคำสั่งทหารด้วยเสียงเฉียบขาดว่า  "ทหารทั้งหลาย  จงเปิดประตูอุโมงค์  ประตูห้องเครื่องยนต์  คือ  ประตูห้องนอน  ๑๐๑ ห้อง  ดวงประทีป  ๑๐๑  ดวง  พระเจ้าวิเทหราชพร้อมเหล่าเสนาอำมาตย์ราชบริพาร  จะเสด็จไปทางอุโมงค์ในบัดนี้"

เหล่าทหารที่มโหสธวางประจำหน้าที่ไว้  ต่างก็ไปเปิดประตูอุโมงค์  ทันใดนั้น   ภายในอุโมงค์ก็มีแสงสว่างจ้าไปทั่ว  ประหนึ่งเทพสภา  เสร็จแล้วทหารจึงไปบอกมโหสธให้ทราบว่า  ได้เปิดประตูอุโมงค์แล้ว

มโหสธจึงกราบทูลพระราชาว่า  "ได้เวลาแล้วพระเจ้าข้า  ขอพระองค์เสด็จลงจากปราสาทเถิด"

พระราชาเสด็จลงจากปราสาท

มโหสธจัดให้เสนกะเดินนำเสด็จ  ต่อมาพระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพาร  ตนเองเดินตามเสด็จไปข้างหลัง  เมื่อพระราชาทอดพระเนตรดูภายในอุโมงค์อย่างตะลึงลาน  ค่อย ๆ  ย่างพระบาทเสด็จไปทีละน้อย ๆ  มโหสธต้องทูลเตือนบ่อย ๆ  ให้รีบเสด็จ

ทหารอีกเหล่าหนึ่งที่มโหสธวางไว้  เมื่อรู้ว่าพระเจ้าวิเทหราชเสด็จมา  จึงนำพระนางสลากเทวีพระราชมารดาพระเจ้าจุลนี  พระนางนันทาเทวีมเหสีพระเจ้าจุลนี  พระปัญจาลจันทกุมารราชโอรส และนางปัญ
จาลจันทีราชธิดาของพระเจ้าจุลนี  ออกจากอุโมงค์ให้ประทับอยู่  ณ  พลับพลากว้างใหญ่

พระเจ้าวิเทหราชเสด็จพระราชดำเนินออกจากอุโมงค์กับมโหสธ

กษัตริย์ราชวงศ์ทั้ง  ๔  พระองค์  ครั้นทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าวิเทหราชกับมโหสธก็ทราบว่า  ได้ถูกคนของมโหสธหลอกจับตัวมาเสียแล้ว  ต่างตกพระทัยกรรแสงไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา  ขณะนั้นเป็นยามราตรีที่เงียบสงัดเสียงคร่ำครวญของกษัตริย์ทั้ง  ๔  ดังได้ยินไปถึงพระเจ้าจุลนี  พระเจ้าจุลนีเกือบจะตรัสออกมาว่า  "นั่นดูเหมือนเสียงพระนางนันทาเทวีอัครมเหสี"  แต่ก็ยั้งไว้ได้  ไม่ตรัสออกไป  เพราะทรงเกรงจะถูกเย้ยหยันจากอำมาย์ราชบริพาร  ว่าพระองค์ช่างห่วงใยพระทัยตระหวัดถึงมเหสีมาก  จนถึงกับระแวงไปว่า  เป็นเสียงของพระนางนันทาเทวีทั้ง ๆ  ที่ไม่เห็นองค์มเหสี  จึงไม่ตรัสอะไรออกไป  แต่ก็ไม่หายวุ่นวายพระทัย

มโหสธนำเสด็จพระเจ้าวิเทหราชประทับบนพลับพลาเรียบร้อยแล้ว  จึงเชิญให้พระนางปัญจาลจันทีประทับบนกองรัตน  จัดทำพิธีอภิเษก  โดยกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชให้ทรงรับพระนางเป็นมเหสี  เป็นอันเสร็จพิธีอภิเษกสมรสกันในคืนนั้น


................................

























วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๗)


พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปอุตรปัญจาลนคร  (ต่อ)

มโหสธคิดว่า  จะต้องทำให้พระราชาซึ่งมัวเมาในกามสะดุ้งพระทัยสักเล็กน้อย  แล้วจึงจะแสดงกำลังปัญญาของเราให้ปรากฏในภายหลัง  กราบทูลว่า  

"ข้าแต่บรมกษัตริย์  พระเจ้าจุลนีทรงมีกำลังแสนยานุภาพมาก
ทรงจัดกำลังทหารมาล้อมพระนคร  หวังจะ
จับพระองค์ปลงพระชนม์ในวันพรุ่งนี้เช้า"

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำของมโหสธกราบทูล  พระศอแห้งผาก  พระพักตร์ซีด  ทรงกระวนกระวายพระทัย  พระวรกายผะผ่าวร้อน  ทรงคร่ำครวญว่า

"พ่อมโหสธเอ๋ย  ใจของพ่อสั่นระริก  ปากคอแห้งผาก
ความรุ่มร้อนเกิดภายในเหมือนไฟสุม"

มโหสธได้ฟังพระราชาทรงคร่ำครวญ  จึงดำริว่า  พระราชาไม่เชื่อเราดั้งแต่ต้น  เชื่อคนอื่นมากกว่าเรา เราจะต้องทรมานพระองค์ต่อไป  ได้กราบทูลว่า

"ข้าแต่บรมกษัตริย์  พระองค์ทรงประมาท  ข้าพระองค์
กราบทูลห้ามแล้วเมื่อก่อนจะเสด็จ  พระองค์มิทรงเชื่อ
ข้าพระบาท  กลับทรงกริ้วข้าพระพุทธเจ้า  บัดนี้  อาจารย์
ทั้ง  ๔  ก็อยู่ที่นี่  ขอพระองค์จงทรงรับสั่งให้อาจารย์ทั้ง
๔  ผู้มีความฉลาดรอบครอบ  หาทางป้องกันพระองค์เถิด

ข้าแต่บรมกษัตริย์  ปลาอยากกินของสด  คือเเหยื่อที่เบ็ด  
ย่อมไม่รู้จักความตาย  ฉันใด  พระองค์ทรงปรารถนากาม
ย่อมมิทรงทราบว่า  พระราชธิดาของพระเจ้าจุลนี
เป็นประดุจเหยื่อ  พระองค์ราวกะปลาไม่รู้จักเหยื่อ
คือความตายของตน  ฉันนั้น

ข้าแต่พระจอมประชากร  บุรุษอนารยะย่อมเป็นเหมือนงูอยู่ในพก  ผู้มีปัญญาย่อมไม่ทำไมตรีกับบุรุษอนารยะ  เพราะการสมาคมด้วยบุรุษอนารยะรังแต่จะนำทุกข์มาให้

ข้าแต่พระจอมนิกรชน   บุรุษอารยะมีศีล  เป็นพหูสูต
ย่อมรู้คุณค่าของไมตรี  ผู้มีปัญญาควรทำ  ไมตรีด้วยบุรุษ
อารยะ  เพราะการสมาคมด้วยบุรุษอารยะย่อม
นำความสุขมาใด้

ข้าแต่พระราชา  ข้าพระองค์ไม่รู้กิจอันเป็นมงคลของ
กษัตริย์  ไม่เหมือนอาจารย์เกวัฏกับคนอื่น ๆ  ย่อมรู้
ความเจริญอันเป็นมงคลของกษัตริย์  ข้าพระองค์รู้จัก
แต่เพียงคันไถและกิจการของชาวบ้านเท่านั้น  ไม่รู้ถึง
กิจการของกษัตริย์  พระองค์ตรัสสั่งราชบุรุษให้ไสคอข้า
พระพุทธเจ้าออกไป  เพราะข้าพระพุทธเจ้าพูดไม่เป็น
มงคลแด่กษัตริย์"

มโหสธ  "ขอเดชะ  ถ้อยคำที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลมาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องในอดีต  พระองค์ทรงระลึกได้ ก็เมื่อพระองค์ทรงขับไล่ไสส่งข้าพระองค์ไปแล้ว  ไฉนจักต้องมาตรัสถามข้าพระองค์ในบัดนี้"

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังมโหสธดังนั้น  จึงดำริว่า  มโหสธแสดงโทษที่เราทำไปแล้ว  เพราะมโหสธรู้แน่ว่า  จะมีภัยเกิดขึ้น  จึงได้กล่าวทับถมย่ำยีเราถึงเพียงนี้  แต่ก็คงไม่ปล่อยให้เราถึงความพินาศแน่  เขาคงหาทางป้องกันให้เราปลอดภัยไว้แล้ว  เราต้องอาศัยมโหสธอยู่ตลอดไป  เมื่อทรงดำริดังนี้แล้ว  จึงตรัสว่า

"พ่อมโหสธ  บัณฑิตเขาไม่ทิ่มแทงถึงโทษที่ล่วงแล้ว
ด้วยหอกคือปากกันดอก  ก็แต่เจ้ามาทิ่มแทงเราให้
เป็นเหมือนม้าที่ผูกเครื่อง  ถูกทิ่มแทงด้วยเหล็กแหลมทำไม

เจ้าเห้นอุบายที่จะทำให้เราพ้นภัย  หรือเห็นความเกษมสวัสดี
ของเราจะเกิดขึ้นได้อย่างไร   ก็ขอให้บอก
แก่เราด้วยดีเถิด  อย่ามาทิ่มแทงเราด้ววยเรื่องที่ล่วงแล้วเลย"

มโหสธกราบทูลซ้ำเติมทรมานพระเจ้าวิเทหราชหนักขึ้นอีกว่า

"กรรมที่มนุษย์ก่อ  ถึงจะล่วงเลยไปแล้วก็ไม่อาจ
แก้ได้  ผู้ใดทำกรรมใดไว้  ดีก็ตาม  ชั่วก็ตาม  ผู้นั้นจะต้อง
ได้รับผลของกรรมนั้น  ดังนั้น  ข้าพระองคจึงไม่สามารถ
ปลดเปลื้องพระองค์ให้พ้นจากภยันตรายได้  ขอพระองค์
ทรงทราบด้วยพระองค์เองเถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับถ้อยคำของมโหสธ  ก็ต้องจำนนตามหลักความจริง  จึงมิได้ตรัสอย่างไร  ประทับเฉยอยู่

ทีนั้น  เสนกะเห็นว่าจะไม่เป็นการ  เข้าใจเอาว่า  มโหสธคงไม่คิดจะช่วยเหลืออย่างไรแล้ว  ทั้งพระราชาก็ทรงเดือดร้อนวุ่นวายถึงกับไม่ตรัสอะไร  เพราะตรัสไม่ออก  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้  ถ้ามโหสธถอนตัวเสียแล้ว  ก็คงถึงความพินาศกันไปหมด  เสนกะจึงอ้อนวอนมโหสธว่า

"ท่านมโหสธบัณฑิต  อันบุรุษที่ว่ายเวียนอยู่กลาง
มหาสมุทร  เมื่อยังไม่เห็นฝั่ง  หากได้เครื่องยึดเหนี่ยวพอ
พำนักได้ในที่ใด  เขาก็จะได้รับความสุขในที่นั้น  ฉันใด

ท่านมโหสธ  ขอท่านจงเป็นที่พึ่งพำนักของพระราชา
ของพวกข้าพเจ้าฉันนั้นเถิด  เพราะท่านเป็นผู้ประเสริฐ
เลิศด้วยปัญญายิ่งกว่าพวกข้าพเจ้า  ขอท่านจงปลด
เปลื้องภัยพิบัติในครั้งนี้เถิด"

มโหสธเมื่อเห็นเสนกะอ่อนข้อลงบ้างแล้ว  จึงพูดสำทับไปว่า


"อาจารย์เสนกะ  ท่านก็ทราบแล้วว่า  กรรมที่คนก่อ
ไว้ถึงจะล่วงไปแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้  กรรมย่อมสนอง
ผู้ก่อกรรม  ไม่มีใครจะสู้กับกรรมได้  เพราะฉะนั้น
ข้าพเจ้าไม่สามารถจะปลดเปลื้องให้พวกท่านและ
พระราชาพ้นจากทุกข์ได้  ขอให้ท่านหาทางแก้ไขกันเองเถิด"

พระเจ้าวิเทหราชทรงอึดอัดในพระทัยอย่างยิ่ง  เมื่อไม่ทรงเห็นใครจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวได้  ทั้งมโหสธก้ไม่ยอมที่จะคิดช่วยเหลือ  จึงทรงดำริว่าเสนกะก็คงมีอุบายอะไร ๆ  ที่จะมีประโยชน์อยู่บ้าง  จึงรับสั่งถามเสนกะว่า  "อาจารย์เสนกะ  มหาภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นแก่เราคราวนี้  ท่านคิดว่า  เราจะควรทำอย่างไร ?"

เสนกะกราบทูลว่า   "ขอเดชะ  ข้าพระพุทธเจ้า  เห็นว่าควรเอาไฟเผาเสียตั้งแต่ประตูปราสาทให้พินาศไป หรือไม่พวกเราก็พากันฆ่าพวกเราให้ตายเสียให้หมด  อย่าทันให้พระเจ้าจุลนีพรหมทัตมาจับพวกเราฆ่าเสีย  แล้วเอาปราสาทนั้นเป็นจิตกาธาน  พระเจ้าข้า"

พระวิเทหราชได้สดับคำกราบทูลของเสนกะ  ไม่ทรงพอพระทัย  ตรัสว่า  "เสนกะ  เจ้าจงทำจิตกาธานเช่นนั้นแก่บุตรภรรยาของเจ้าเถิด"  แล้วรับสั่งถามปุกกุสะ  กามินท์  เทวินท์  เป็นลำดับไป

ปุกกุสะกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า  พวกเราควรดื่มยาพิษให้ตายกันเสียก่อน  อย่าทันให้พะเจ้าจุลนีมาจับฆ่าพวกเราเลย  พระเจ้าข้า"

กามินท์กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พวกเราทำอัตวินิบาตกรรมเสียเอง  เช่น  ผูกคอตาย  โดยบ่อตาย  แทงตัวตาย  อย่าทันใด้พระเจ้าจุลนีมาจับเราฆ่าเลย"

เทวินท์กราบูลว่า  "ขอเดชะ  หากมโหสธไม่สามารถช่วยพวกเรา  ให้พ้นจากภัยใหญ่นี้ได้  ก็ขอให้โปรดรับสั่งให้ทำตามที่อาจารย์เสนกะกราบทูลไว้เถิด  พระเจ้าข้า"  เทวินท์ได้เพ้อต่อไปว่า  "พวกเราจะลองวิงวอนมโหสธดูอีกครั้ง  หากมโหสธไม่สามารถจะปลดเปลื้องพวกเราได้  ก็ขอให้พวกเราทำตามที่อาจารย์เสนกะได้กราบทูลไว้"


..............................


(ยังมีต่ออีก)




























วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๖)


พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปอุตรปัญจาลนคร

เมื่อการก่อสร้างตามแผนการของมโหสธเสร็จเรียบร้อยแล้ว  มโหสธจึงส่งทูตไปเชิญเสด็จพระเจ้าวิเทหราชให้เสด็จไปได้แล้ว

พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระกมลชื่นชมโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง  ได้เสด็จออกจามิถิลานครพร้อมด้วยเหล่าจาตุรงคเสนา

มโหสธได้ออกไปรับที่ฝั่งคงคา  เมื่อขบวนเสด็จถึงจึงนำเข้าสู่นครที่ตนสร้าง

พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปยังปราสาทอันมโหฬารตระการตา  ประทับพักอยู่พอสมควร  เวลาเย็นทรงส่งราชชทูตนำพระราชสาสน์ไปถวายพระเจ้าจุลนีพรหมทัตว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ  ข้าพระุทธเจ้าวิเทหราชกษัตริย์แห่งมิถิลานครแคว้นวิเทหะ  มาเพื่อถวายบังคมพระองค์  ขอพระองค์ทรงประทานราชธิดา  พร้อมด้วยหมู่สาวสรรกำนันในแก่ข้าพเจ้าในบัดนี้เถิด"

พระเจ้าจุลนีได้สดับสาสน์ของพระเจ้าวิเทหราชตามที่ทูตนำมาถวายแล้วนั้น  ทรงปรีดาปราโมทย์เป็นที่ยิ่ง  ดำริว่า  "ปัจจามิตรร้ายของเราจะหนีจากเงื้อมมือเราไม่พ้นแล้ว  เราจะตัดศีรษะเสียทั้งสอง  (คือพระเจ้าวิเทหราชกับมโหสธ) แล้วจะดื่มชัยบาน"  ทรงทำเป็นแสดงอาการชื่นชมโสมนัสต่อหน้าทูตและพระราชทานรางวัลแก่ทูตตามสมควร  แล้วพระองค์ก็ให้ทูตนำพระราชสาสน์ตอบของพระองค์ไปถวายพระเจ้าวิเทหราช  ในสาสน์นั้นมีใจความว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า วิเทหราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว  เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้  พระองค์จงทรงตรวจหาฤกษ์  เพื่อทำพิธีอาวาหมงคลเถิด  ข้าพเจ้าพร้อมที่จะถวายราชธิดา  พร้อมด้วยสาวสรรกำนัลในแก่พระองค์ในบัดนี้แล้ว"

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงอ่านสาสน์ของพระเจ้าจุลนีเสร็จแล้ว  พระองค์จึงมีพระทัยใคร่ได้ราชธิดาปัญ
จาลจันที  โดยมิชักช้า  จึงตรัสแก่ทูตให้ไปกราบทูลว่า  "วันนี้แหละฤกษ์ดีแล้ว  ขอให้ส่งราชธิดามาเถิด"

พระเจ้าจุลนีได้สดับดังนั้น  จึงตรัสลวงว่า  "เราจะส่งไปเดี๋ยวนี้"  ทรงให้ทูตรีบไปทูลพระเจ้าวิเทหราช

เมื่อทูตไปแล้ว  พระเจ้าจุลนีจึงให้สัญญาณแก่พระราชา  ๑๐๑  พร้อมด้วยทหารหลายแสนคนที่เตรียมไว้ก่อนแล้วให้ออกรบ  ตรัสสำทับไปว่า  "วันนี้พวกเราจะตัดเศียรข้าศึกทั้งสอง  พรุ่งนี้จักได้ดื่มชัยบานกัน"

พระราชา  ๑๐๑  พร้อมด้วยทหาร  ก็เคลื่อนขบวนทัพออกไปตามรับสั่ง

พระเจ้าจุลนีเมื่อจะเสด็จออกทำยุทธสงคราม  ได้ให้พระนางสลากเทวีพระราชมารดา  พระนางนันทาเทวีพระอัครมเหสี  ปัญจาลจันทกุมารราชโอรส  พระนางปัญจาลจันทีพระราชธิดา  รวม  ๔  พระองค์  ประทับอยู่ในตำหนักเดียวกันพร้อมด้วยนางสนม  เสร็จแล้วพระองค์จึงเสด็จออกทำสงคราม  ทรงจัดทหารล้อมนครที่พระเจ้าวิเทหราชประทับติดต่อกัน ๓  ขั้น  มีคนจุดคบเพลิงนับด้วยแสน ๆ  พออรุณขึ้นก็เตรียมยึดเมือง

มโหสธบัณฑิตครั้นทราบว่า  พระเจ้าจุลนียกกองทัพมาล้อมนครที่ตนสร้างไว้โดยรอบแล้ว  จึงเรียกทหาร  ๓๐๐  คน  มาสั่งว่า  "พวกท่านจงไปตามทางอุโมงค์  ไปจับพระราชมารดา  มเหสี  ราชบุตร  ราชธิดาของพระเจ้าจุลนี  แล้วกลับมาทางอุโมงค์  ให้อยู่ในประตูอุโมงค์  ตั้งกองรักษาไว้ให้แข็งแรงจนกว่าเราจะกลับมา  จึงค่อยนำออกจากอุโมงค์

ทหารเมื่อได้รับคำสั่งของมโหสธ จึงไปทางอุโมงค์  เปิดไม้ที่มโหสธให้ลาดไว้ที่เชิงบันได  ขึ้นไปจับคนรักษาเชิงบันได  คนรักษาตำหนัก  นางบำเรอ  นางค่อม  นางแคระและคนอื่น ๆ  ทั้งหมด  มัดมือมัดเท้า เอาผ้าปิดปากไม่ให้มีเสียง  แล้วก็ชวนกันกินเครื่องเสวยที่จัดไว้ถวายพระเจ้าจุลนี  เททิ้งของที่เหลือไว้เกลื่อนกลาด  ทุบทำลายภาชนะจนแตกเสียหายไปทั้งหมด  เสร็จแล้วขึ้นไปบนปราสาท  เคาะประตูร้องเรียก

พระนางสลากเทวี  จึงเปิดประตูออกมาตรัสถามว่า  "พ่อมาทำไมกัน ?"

ทหารเหล่านั้นจึงเสแสร้งกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระแม่เจ้า  พระเจ้าวิเทหราชกับมโหสธถูกพระราชาและทหารของเราจับฆ่าเสียแล้ว  คราวนี้แหละพระเจ้าจุลนีพรหมทัตจะได้เป็นเอกอัครมหาราช  ครอบครองราชสมบัติในสกลชมพูทวีปโดยสิ้นเชิง  ขณะนี้  กำลังเตรียมการดื่มชัยบาน  ฉลองชัยชนะด้วยพระเกียรติอันยิ่งใหญ่  พระราชจุลนีได้รับสั่งให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  มารับเสด็จไปในพิธีดื่มชัยบานทั้ง  ๔  พระองค์  พระเจ้าข้า"

พระนางสลากเทวีทรงเชื่อสนิท  จึงชวนพระนางนันทาเทวี  ปัญจาลจันทกุมาร  ปัญจาลจันทีราชธิดา  ออกจากพระตำหนักไปถึงเชิงบันได  ทหารเหล่านั้นก็นำเสด็จเข้าไปทางอุโมงค์

พระนางสลากเทวีทรงสงสัยที่มีอุโมงค์  จึงตรัสว่า  "ข้าอยู่ที่นี่มาช้านานแล้ว  ยังไม่เคยลงมาทางนี้เลย"

ทหารกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระแม่เจ้า  ทางนี้เป็นทางมงคล  ไม่ได้เปิดสำหรับคนทั่วไป  หรือเปิดประจำ เปิดเฉพาะคนที่มีเกียรติสูง  และเฉพาะวันที่เป็นมงคลเท่านั้น  วันนี้เป็นวันมงคล  พระราชาจุลนีจะทรงทำพิธีดื่มชัยบาน  จึงได้เปิดสำหรับพระองค์ทั้ง  ๔  เพื่อเสด็จในพิธีนี้"

พระนางสลากเทวี  พร้อมด้วยองค์อื่น ๆ  ทรงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงเสด็จดำเนินไปตามอุโมงค์

ทหารบางพวกนำเสด็จไป  บางพวกกลับไปเปิดพระคลังในราชนิเวศน์  เก็บพระราชทรัพย์ไปตามปรารถนา

พระนางสลากเทวีพร้อมด้วยราชวงศ์ทั้ง  ๓   พระองค์  เมื่อเดินเข้าอุโมงค์  ทรงรู้สึกเป็นเหมือนเทพสภา  สำคัญว่าจัดไว้สำหรับพระราชา

ทหารได้นำเสด็จพระราชวงศ์ทั้ง  ๔  พระองค์  ไปประทับอยู่ภายในอุโมงค์ใกล้คงคา  แบ่งทหารออกเป็น  ๒  พวก  พวกหนึ่งอยู่เฝ้ารักษา  พวกหนึ่งไปแจ้งเรื่องที่นำพระราชวงศ์ทั้ง  ๔  มาให้มโหสธทราบ

มโหสธดีใจมากที่แผนการของตนได้สำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง  จึงไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชพร้อมด้วย
อาจารย์ทั้ง  ๔

พระเจ้าวิเทหราชทรงกระหยิ่มพระทัย  ที่หวังจะได้เชยชมราชธิดาของพระเจ้าจุลนี  ทรงฟังทูตมากราบ
ทูลว่า  "พระเจ้าจุลนีจะส่งราชธิดามาคืนนี้และเดี๋ยวนี้"  จึงเสด็จลุกจากราชบัลลังก์  ทอดพระเนตรไปทางช่องพระแกล  เห็นรอบ ๆ  พระนครมีแสงสว่างด้วยคบเพลิงนับตั้งหลายแสนดวง  มีกองทัพมหึมาล้อมรอบพระนคร  ทรงรู้สึกฉงนสนเท่ห์ในพระทัย  รำพึงว่า  "นั่นมันอะไรกัน  เราไม่เข้าใจ  ทำไมถึงได้เตรียมการกันถึงเพียงนี้  หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก"  จึงตรัสถามเสนกะว่า

"อาจารย์เสนกะ  กองทัพหุ้มเกราะซึ่งประกอบด้วย
กองช้าง  กองมัา  กองรถ  กองราบ  มาล้อมพระนคร
อยู่โดยรอบ  มีแสงเพลิงสว่างไสวนั้นน  เขามีประสงค์
อย่างไร  คือ  จะมาดี  หรือมาร้าย ?"

เสนกะกราาบทูลวา  "ขอเดชะ  ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกไปเลย  ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้าว่า อาจเป็นกองเกียรติยศ  ซึ่งพระเจ้าจุลนีจัดไว้  เนื่องในการประกอบพิธีอภิเษกสมรสระหว่างพระองคกับพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีก็เป็นได้  พระเจ้าข้า"

"อาจารย์ปุกกุสะเล่า  เห็นอย่างไร ?"  ทรงรับสั่งถามปุกกุสะ

ปุกกุสะกราบทูลว่า  "เป็นกองเกียรติยศที่พระเจ้าจุลนี  ทรงจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแต่พระองค์  พระเจ้าข้า"

อาจารย์อื่น ๆ  ก็กราบทูลตามความคิดเห็นของตน

พระเจ้าวิเทหราชเมื่อได้สดับเสียงอึงคนึงในกองทัพสั่งกันว่า  "ทหารเหล่านั้น  จงไปตั้งกองอยู่ทางด้านนั้น ๆ  และให้ทุกเหล่าเตรียมพร้อมไว้เสมออย่าประมาท  คองฟังคำสั่งผู้บัญชาจะสั่งประการใด"  ทั้งทรงเห็นทหารทุกเหล่าหุ้มเกราะดูท่าทางฮัดฮัด  ทำทีคลายจะบุกทำลายพระนครให้พินาศไปในพริบตา  ก็ทรงสะดุ้งพระทัย  หวาดหวั่นเกรงว่าขะเป็นอุบายของพระเจ้าจุลนีหลอกเอามาทำร้าย  เพื่อให้แน่พระทัยในเหตุการณ์นั้นจึงตรัสถามมโหสธว่า "พ่อมโหสธบัณฑิตลูกรัก  พ่อเป็นอย่างไร  จะมีอะไรเกิดขึ้นแก่เราในทางดีหรือร้าย ?"  


.......................................

(ยังมีต่ออีก)





















วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๕)



มโหสธไปสร้างนครที่กรุงปัญจาละ  (ต่อ)

อำมาตย์อานันทะก็ไปทำตามคำสั่งของมโหสธ

มโหสธขึ้นเรือข้ามฟากไปฝั่งโน้น  แล้วเดินทางจากฝั่งไปประมาณกึ่งโยชน์  ได้กำหนดวางแผนผังสร้างอุโมงค์ตรงนั้น  จากอุโมงค์ไปราว  ๔  โยชน์  กำหนดสร้างพระราชนิเวศ์สำหรับเป็นที่ประทับของพระเจ้าวิเทหราช  เมื่อกำหนดดังนั้นแล้ว  จึงเดินทางเข้าสู่อุตรปัญจาลนคร

พระเจ้าจุลนีพรหมทัต  เมื่อทรงทราบว่า  มโหสธเดินทางมาถึง  ก็ทรงโสมนัสยินดีอย่างยิ่งที่อุบายซึ่งวางไว้ใกล้สำเร็จสมประสงค์อยู่แล้ว  และทรงดำริว่า  ไม่ช้าพระเจ้าวิเทหราชก็คงเสด็จมา  เมื่อมากันพร้อมหน้า  ก็จะจับฆ่าเสียทั้งสอง  ต่อนั้นราชสมบัติในสกลชมพูทวีปก็จะอยู่ในเงื้อมมือทั้งหมด

มโหสธได้เข้าเฝ้าพระเจ้าจุลนี  ณ  ท้องพระโรง

พระเจ้าจุลนี  จึงรับสั่งถามมโหสธว่า  "พระราชาของเจ้าจะเสด็จมาเมื่อไร ?"

มโหสธกราบทูลว่า  "จักเสด็จมาต่อเมื่อข้าพระพุทธเจ้าส่งข่าวไปกราบทูล"

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า  "ทำไม  เจ้าจึงล่วงหน้ามาก่อน ?"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าพระพุทธเจ้ามาล่วงหน้าก็เพื่อเตรียมสร้างพระราชนิเวศน์  สำหรับเป็นที่ประทับของพระราชาของข้าพระองค์"

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า  "ดีแล้ว  เจ้าจงทำราชการในทางที่ถูกที่ควรอยู่กับเรา  จนกว่าพระราชาของเจ้าจะเสด็จมา"  แล้วรับสั่งให้จัดบ้านพักให้มโหสธตลอดจนคนติดตาม



มโหสธสร้างอุโมค์ใหญ่

วันหนึ่ง  มโหสธขึ้นไปยังพระราชนิเวศน์  ยืนอยู่เชิงบันได  ได้กำหนดว่า  ตรงนี้จะทำประตูอุโมงค์  แต่จะต้องไม่ทำให้บันไดนี้ทรุด  มโหสธได้นึกถึงพระราชดำรัสของพระเจ้าจุลนีที่ตรัสว่า  ให้เรารับราชการทำกิจที่ถูกที่ควรแก่พระองค์  ฉะนั้น  จะต้องไปกราบทูลเพื่อปฏิบัติราชกิจกับพระองค์  แล้วมโหสธก็ขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่พระองค์  ข้าพระพุทธเจ้า  ขณะขึ้นมาเฝ้าวันนี้  ยืนอยู่ที่เชิงบันได  ได้ตรวจดูเห็นพื้นตรงเชิงบันไดน่ากลัวจะทรุด  หากทรงเห็นชอบด้วยพระราชดำริ  ข้าพระพุทธเจ้าจะทำให้มั่นคงแข็งแรงต่อไป"

พระเจ้าจุลนีทรงอนุญาตว่า  "เชิญเจ้าทำตามที่เห็นควรเถิด"

มโหสธเมื่อได้รับพระราชานุมัติให้จัดทำแล้ว  จึงมาตรวจ  ก็เห็นเหมาะที่จะทำช่องประตูอุโมงค์ที่เชิงบันไดนั้น  จึงให้คนงานนำบันไดออก  แล้วเอาแผ่นกระดานมาปูลาดไว้  เพื่อมิให้มีฝุ่นในที่ที่จะเป็นประตูอุโมงค์  แล้วเอาบันไดมาพาดไว้ตามเดิม  ทำเสร็จในวันเดียว

รุ่งขึ้น  มโหสธไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี  กราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์  หากพระองค์ทรงอนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้าเลือกหาสถานที่อันเหมาะสำหรับเป็นที่ประทับของพระราชาของข้าพระพุทธเจ้าได้แล้ว  ข้าพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติให้เป็นที่พอพระหฤทัยของพระองค์ทีเดียว พระเจ้าข้า"

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า  "เลือกดูเถิดบัณฑิต  เชิญท่านเลือกเอาตามใจชอบ  เราขอแต่พระราชนิเวศน์ของเราเท่านั้น  นอกนั้นท่านปรารถนาตรงไหน  ก็จงเอาที่ตรงนั้นเถิด"  การที่พระเจ้าจุลนีรับสั่งให้ง่าย ๆ  เช่นนี้ก็ทรงนึกว่า  พระองค์เป็นต่ออยู่แล้ว  ทำให้มโหสธตายใจไปเลย  แต่หารู้ไม่ว่าใครจะเหนือกว่าใคร

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์อันเนื้อที่  ที่จะจัดสร้างที่ประทับของพระราชาของข้าพระพุทธเจ้านั้น มีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาล  ข้าพระพุทธเจ้าไม่ประสงค์จะสร้างทับที่อันมีเจ้าของปกครองอยู่  หรือถึงกับต้องรื้อบ้านเรือน  ซึ่งเขาปลูกสร้างกันไว้ก่อนแล้ว  ซึ่งจะทำให้เจ้าของมีความลำบาก  ข้าพระพุทธเจ้าไม่ประสงค์จะให้เขาต้องพลัดพรากจากของที่เขารักหวงแหนไปด้วยเหตุนี้  ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต  เอาที่ระหว่างคงคากับพระนคร  ซึ่งจากที่นี่ไปราว  ๔  โยชน์  อยู่นอกเขตพระนคร สำหรับสร้างสถานที่ประทับของพระราชาของข้าพระพุทธเจ้า  จะควรประการใดสุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าจุลนีได้ทรงฟังก็พอพระทัย  รับสั่งอนุญาตทันทีว่า  "ถ้าเจ้าปรารถนาที่แห่งนั้น  ก็จงจัดการตามประสงค์เถิด"  การที่ทรงอนุญาตให้ทันทีเช่นนั้น  ก็เพราะทรงเห็นว่า  การรบกันภายในเมืองเป็นการลำบาก  ทั้งทหารที่ออกต่อสู้กัน  ก็ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นเราเป็นเขา  การรบภายนอกเมืองเป็นการง่าย  จะได้ไม่ต้องฆ่ากันตายภายในเมือง

มโหสธได้เริ่มงานตามแผนการของตนต่อไปโดยกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  การสร้างพระราชนิเวศน์ สำหรับเป็นที่ประทับครั้งนี้  ต้องใช้คนเป็นจำนวนมากและคนเหล่านั้นก็ล้วนมาจากเมืองอื่น  หากคนในเมืองนี้เข้าไปในที่ที่กำลังก่อสร้าง  จะไปเที่ยวหรือจะไปกิจธุระก็ตาม  อาจเกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้นได้  ซึ่งจะทำให้พระองค์ต้องวุ่นวายพระทัยไปด้วย  จนหมดความสำราญส่วนพระองค์ไป  ด้วยเหตุนี้ข้าพระพุทธเจ้าขอให้พระองค์  ออกประกาศห้ามมิให้คนในเมืองนี้เข้าไปในสถานที่ซึ่งทำการก่อสร้างครั้งนี้โดยเด็ดขาด  อนึ่ง  ช้างของข้าพระพุทธเจ้า  ชอบเล่นในน้ำ  หากน้ำขุ่นชาวเมืองจะกล่าวโทษว่าข้าพระพุทธเจ้าทำความเดือดร้อนแก่เขาเรื่องน้ำ  อาจร้องฏีกาถวายพระองค์  ขอพระองค์ทรงระงับฏีกานั้นไว้  อย่าทรงกริ้วพวกข้าพระพุทธเจ้า"

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า  "เจ้าจงปล่อยช้างของเจ้าให้ในน้ำตามสบายเถิด"  แล้วรับสั่งให้ออกประกาศแก่ชาวเมืองของพระองค์ว่า  "ขอประกาศให้ชาวเมืองทราบทั่วกัน  ผู้ใดเข้าไปในเขตที่สร้างเมืองของมโหสธ  ผู้นั้นจะถูกปรับไหม  ๑,๐๐๐  กหาปณะ"  แล้วเอาหมายประกาศนั้นไปติดตามที่ต่าง ๆ  เพื่อให้ชาวเมืองได้ทราบ

มโหสธถวายบังคมลาพระเจ้าจุลนี  พาพวกของตนออกจากพระนคร  เตรียมการสร้างเมืองในสถานที่ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระเจ้าจุลนีแล้ว  เริ่มสร้างบ้านชื่อ  คัคคลิคาม  ริมฝั่งคงคาฟากโน้น  จัดช้าง  ม้า  รถ  โค  ไว้ประจำที่บ้านนั้น  เมื่อสร้างคัคคลิคามเสร็จแล้ว  จึงเตรียมสร้างเมือง  โดยแบ่งหน้าที่กันเป็นฝ่าย ๆ  ไป  เริ่มด้วยการขุดอุโมงค์ก่อน  ประตูอุโมงค์ใหญ่อยู่ริมฝั่งคงคา  ใช้คนประมาณ  ๖,๐๐๐  คน ขุดอุโมงค์ใหญ่  เอากรวดทรายที่ขุดออกนั้นไปถมพื้นที่บ้าง  ผสมกับน้ำพอให้เข้ากันดีก่อกำแพงบ้าง  และอื่น ๆ  อีกหลายอย่าง  ประตูทางเข้าอุโมงค์ใหญ่อีกด้านหนึ่งทางในเมือง  ประกอบด้วยประตูคู่มีเครื่องยนต์สูง  ๑๘  ศอก  เมื่อเหยียบหรือกดสลักอีกอันหนึ่งประตูก็เปิด  ทั้งสองข้างของอุโมงค์ใหญ่ก่อด้วยอิฐถือปูน  ข้างบนปูด้วยไม้ใช้ดินเหนียวยาอุดตามช่องทาด้วยสีขาว  ประตูทั้งหมดในอุโมงค์มีประตูใหญ่  ๘๐  ประตูน้อย  ๖๔  แต่ละประตูมีเครื่องยนต์ประกอบ  เมื่อเหยียบหรือกดสลักอันหนึ่ง  ประตูทั้งหมดก็ปิด  เมื่อเหยียบหรือกดอีกอันหนึ่งประตูก็เปิด  ทั้งสองข้างของอุโมงค์มีโคมไฟมากกว่า  ๑๐๐  ดวง  โคมไฟเหล่านี้ปิดเปิดได้ด้วยเครื่อง  ปิดพร้อมกัน  เปิดพร้อมกัน  ห้องบรรทมของพระราชา  ๑๐๑ องค์  มีอยู่  ๒ ข้างของอุโมงค์  มีเครื่องลาดไว้ในห้องบรรทมทุกห้อง  สถานที่ประทับแต่ละแห่งมีเศวตฉัตรตั้งไว้และแต่ละที่ประทับมีรูปสตรีทำด้วยเส้นป่านสวยงามอย่างยิ่งตั้งอยู่  หากไม่เอามือจับต้องลูบคลำรูปนั้น ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าไม่ใช่รูปคน

อนึ่ง  พวกช่างเขียนที่สามรถดจัดเจน  ได้วาดภาพล้วนเป็นภาพที่วิจิตรตระการตาต่าง ๆ  ไว้ทั้งสองข้างของมหาอุโมงค์  เช่น  ภาพสักกเทวราช  ภาพเขาสุเมรุ  เขาบริภัณฑ์  มหาสาคร  ทวีปทั้ง  ๔  ป่าหิมพานต์  สระอโนดาต  ดวงจันทร์  ดวงอาทิตย์และท้าวจาตุมหาราชิกา  เป็นต้น

ข้างบนอุโมงค์ตามช่องต่าง ๆ  ทำเป็นดอกบัวห้อยไว้อย่างวิจิตรงามตาทั้งสองข้าง  มีร้านค้านานาชนิด แต่ละร้านมีพวงมาลัยห้อยหอมตลบอบอวลทั่วบริเวณ  อุโมงค์นั้นปรากฏประหนึ่งเทพสภา

ฝ่ายช่าง  ๓๐๐  คน  ที่มโหสธให้ไปต่อเรือบรรทุก  ก็ได้ต่อเรือสำเร็จทั้ง  ๓๐๐  ลำ  และบรรทุกทัพสัมภาระที่ประกอบเป็นรูปเสร็จแล้ว  มาทางคงคา  นำไปมอบแก่มโหสธ

มโหสธได้นำทัพสัมภาระเหล่านั้นไปเป็นเครื่องประกอบใช้ในการสร้างเมือง  เมื่อขนทัพสัมภาระออกจากเรือหมด  จึงให้นำเรือไปจอดไว้ในที่มิดชิด  ปกปิดไว้ไม่ให้มีคนภายนอกมาเห็นได้  แล้วสั่งคนประจำเรือว่า  "ท่านทั้งหลายจงนำเรือมาในวันที่เราสั่ง"

การสร้างเครื่องประกอบในตัวเมืองเสร็จไปแล้ว  คือ  คูน้ำ  คูเปือกตม  คูแห้ง  กำแพงสูง  ๑๘  ศอก  ป้อม ประตูเมือง  ซุ้มประตูเมือง  พระราชนิเวศน์  โรงช้าง  สระโบกขรณี  และอื่น ๆ  การก่อสร้างได้เสร็จเรียบร้อยทุกอย่างในเวลา  ๔  เดือน


..........................................




































วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๔)


นกแก้วสืบความลับจากนางนกสาลิกา  (ต่อ)

นกแก้วสงสัยในคำพูดของนางนกสาลิกา  จึงขอร้องให้นางเล่าให้กระจ่าง  นางนกสาลิกาไม่กล้าพูด

นกแก้วจึงพ้อว่า  "เมื่อเจ้าไม่ยอมบอกความลับแก่ข้าผู้เป็นสามีเช่นนี้แล้ว  การเป็นสามีภรรยาของเราก็ไม่มีความหมายอย่างไร  เพราะภรรยาที่ปกปิดความลับแก่สามี  ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี"

นางนกสาลิกาเมื่อไม้นี้ของนกแก้วเข้า  ก็จนใจ  จึงพูดว่า  "ที่รักโปรดฟัง  ข้าจะบอกเดี๋ยวนี้แหละ  เพราะข้าเป็นภรรยาที่ซื่อสัตย์ต่อท่านผู้เป็นสามี"

นกแก้ว  "ยอดรักเชิญบอกไปเถิด  ข้าจะฟัง"

นางนกสาลิกา  


"ข้าไม่อยากให้มีวิวาหมงคล  เกิดขึ้นในระหว่าง
ราชธิดาของพระเจ้าจุลนีกับพระเจ้าวิเทหราชเลย"

นกแก้ว  "เพราะอะไรหรือ ?"

นางนกสาลิกา


"พระเจ้าจุลนีพรหมทัดแห่งปัญจาลนคร  นำพระเจ้า
วิเทหราชมาแล้วก็จักฆ่าพระเจ้าวิเทหราชเสีย  เพราะ
พระเจ้าจุลนีมิใช่เป็นพระสหายของพระเจ้าวิเทหราช

พระเจ้าจุลนีทรงเอาพระราชธิดาเป็นโล่ลวง
พระเจ้าวิเทหราชกับมโหสธ  เมื่อมาถึงปัญจาลนครแล้ว
ก็จักฆ่าเสียทั้งสอง  เพราะการกระทำครั้งนี้มิได้เป็นไป
โดยสุจริตมิตรธรรม"

นางนกสาลิกาพูดต่อไปว่า  "ความลับนี้รู้กันเพียงสองคนเท่านั้น  คือ  พระเจ้าจุลนีกับเกวัฏปุโรหิต  ทั้งสองได้มาปรึกษากันที่ห้องบรรทม  ข้าได้ยินมาอย่างนี้แหละ"

นกแก้วได้ฟังดังนั้น  จึงแกล้งชมเกวัฏปุโรหิตว่า  "แหม  อาจารย์เกวัฏนี่แกเป็นคนฉลาดในอุบายลึกซึ้ง สมเป็นปุโรหิตในราชสำนักของพระเจ้าจุลนี  ที่สามารถจะฆ่าพระเจ้าวิเทหราชและมโหสธด้วยอุบายอย่างนี้ได้"  แล้วก็เสแสร้งพูดเรื่องอื่นต่อไป  เพื่อไม่ให้นางนกสาลิกาจับได้ว่าเป็นสายลับ

นกแแก้วเมื่อความลับแล้วก็พอใจ  ชวนนางนกสาลิกาคุยเรื่องอื่น ๆ  จนกระทั่งเย็นจึงนอนด้วยกัน

รุ่งเช้า  นกแก้วพูดกับนางนกสาลิกาว่า  ไยอดรัก  ข้าเห็นจะต้องกลับไปนครสีวี  เพื่อกราบทูลพระราชาของข้าถึงเรื่องที่ข้าได้ภรรยาที่ถูกใจแล้ว  ข้าจะไปเพียง  ๗  วัน  แล้วจะกลับมา"

นางนกสาลิกาทั้ง ๆ  ที่ไม่อยากจะให้นกแก้วสามีต้องจากไป  แต่ก็ห้ามไม่ได้  เพราะนกแก้วได้รับพระราชโองการจากพระราชาของเขาว่า  เมื่อได้ภรรยาที่ถูกใจแล้วก็ให้กลับไปกราบทูล  นางจึงพูดว่า  "เอาเถอะที่รัก  ข้าขอให้ท่านไปเพียง  ๗  วัน  ถ้าครบ  ๗  วัน  ท่านไม่มา  ข้าขอลาตาย"

 นกแก้วพูดว่า  "ยอดรัก  พูดอะไรอย่างนั้น  ข้าสิถ้าไม่เห็นเจ้าในวันที่  ๘  ข้าก็คงไม่มีชีวิตอยู่ได้"

เมื่อต่างร่ำลาแสดงอาลัยต่อกันแล้ว  นกแก้วก็บินออกจากช่องพระแกล  ทำมุงไปแคว้นสีวี  ไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับมาหานางนกสาลิกา  แสดงอาลัยอาวรณ์ให้เห็นว่าแสนที่จะห่วง  เสร็จแล้วโผผินบินด้วยความเร็วไปสู่มิถิลานคร  ตรงไปหามโหสธ  จับลงที่บ่าของมโหสธ  แล้วแจ้งเรื่องความลับที่ได้มาจากนางนกสาลิกาให้มโหสธทราบทุกประการ.





มโหสธไปสร้างนครที่กรุงปัญจาละ

มโหสธบัณฑิตเมื่อได้ทราบความลับแล้ว  จึงดำริว่า  "เรานึกแล้วไม่ผิด  ว่าจะต้องมีอุบายซับซ้อนกลอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง  ระหว่างพระเจ้าจุลนีกับเกวัฏ  แต่พระราชาของเราไม่ทรงคิดว่าจะมี  ครั้นเราทูลห้ามไม่ให้เสด็จ  พระองค์ก็จะเสด็จ  เมื่อเสด็จไปถึงก็จะได้รับอันตรายดังที่เขาคิดไว้  เราต้องป้องกันพระมหากษัตริย์ของเรา  เราจะล่วงหน้าไปเฝ้าพระเจ้าจุลนีก่อน  แล้วขอพระราชทานที่สำหรับสร้างพระนครให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าวิเทหราช  ทำอุดมงค์ใต้ดินเป็นทางยาว  ๔  โยชน์  กว้างราวครึ่งโยชน์  เสร็จแล้วจัดการภิเษกพระนางปัญจาลจันที  ให้เป็นบาทปริจาริกของพระราชาของเรา  เมื่อพระราชา  ๑๐๑  พร้อมด้วยพลนิกายหลายล้านแวดล้อมอยู่  หมายจะปลงพระชนม์พระราชาของเรา  เราจะต้องป้องกันพระราชาให้พ้นอันตรายดุจเปลื้องดวงจันทร์จากปากอสุรินทรราหู  ฉะนั้น  แล้วพาเสด็จกลับมิถิลานคร  เรื่องทั้งหมดเราต้องรับภาระให้เป็นที่เรียบร้อย"  นี่เป็นความดำริของมโหสธ

มโหสธครั้นดำริดังนั้นแล้ว  ก็เกิดปีติโสมนัสซาบซ่านไปทั่วกาย  ได้เปล่งอุทานขึ้นด้วยความภาคภูมิว่า


"บุคคลได้รับอุปการะจากท่านผู้ใด  ควรทำตนให้
เป็นประโยชน์แก่ท่านผู้นั้น  แม้ท่านจะดุด่าตัดพ้อทุบตี
เสือกไสไล่ส่งอย่างไรก็ตาม  ไม่ควรถือเอามาเป็น
เหตุลบล้างบุญคุณของท่าน"


มโหสธรู้สึกภาคภูมิในความคิดของตนเป็นอย่างยิ่ง  จัดแจงแต่งกายเสร็จแล้ว  ไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช กราบบังคมทูลว่า  "ข้าแต่สมมติเทวราช  พระองค์ยังทรงดำริที่จะเสด็จไปอุตรปัญจาลนครอยู่อีกหรือ พระเจ้าข้า ?"

พระราชาตรัสว่า  "เราต้องไป  หากเราไม่ได้นางปัญจาลจันทีมาเป็นคู่ชื่น  เราก็จะไม่ขอครองราชสมบัติต่อไป  มโหสธบัณฑิต  เจ้าอย่าทิ้งเรา  จงไปกับเราด้วย  เราจะได้รับประโยชน์ถึง  ๒  ประการ  คือ  ๑. เราได้หญิงแก้วมาเป็นคู่ชื่น   ๒. เราจะได้ผูกสันถวไมตรีกับพระเจ้าจุลนีพรหมทัต"

มโหสธกราบทูลว่า  "ถ้าเช่นนั้น  ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายบังคมลาล่วงหน้าไปก่อน  เพื่อไปสร้างพระราชนิเวศน์สำหรับพระองค์ให้สมพระเกียรติ  เมื่อข้าพระองค์สร้างเสร็จแล้ว  จะส่งข่าวมากราบทูลเชิญเสด็จในภายหลัง"

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำกราบทูลของมโหสธ  ทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง  มีพระดำรัสว่า  "พ่อมโหสธลูกรัก  พ่อไปก่อน  จะต้องการอะไรบ้าง ?"

มโหสธกราบทูลว่า  "ข้าพระพุทธเจ้าขอพลและพาหนะ  ขอพระองค์โปรดมีพระบรมราชโองการให้เปิดเรือนจำ  ๔  แห่ง  ให้ถอดเครื่องจองจำออกแล้วให้นักโทษทั้งหมดไปกับข้าพระพุทธเจ้า"

พระราชาทรงอนุญาตตามที่มโหสธกราบทูลต้องการ

มโหสธเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว  จึงได้ผู้คุมเรือนจำเปิดเรือนจำ  ให้นักโทษที่เป็นชายฉกรรจ์ออก  แล้วจัดให้มีการควบคุมกันเป็นกองร้อยกองพัน  จัดเป้นหมู่เป็นหมวด  มีหมวดช่างไม้  ช่างเหล็ก  ช่างหนัง  ช่างศิลา  ช่างเขียน  ช่างอิฐ  ให้ทุกหมวดเตรียมเอาเครื่องอุปกรณ์สำหรับใช้ในการนั้น ๆ  ตลอดจนมีด  ขวาน  จอบ  และเสียม เป็นต้นไปด้วย  เมื่อเสร็จแล้วพอได้เวลาก็ยกกองพลเคลื่อนขบวนออกจากพระนครไปสู่อุตรปัญจาลนคร

มโหสธได้ให้ช่างไม้สร้างบ้านรายทางเป็นระยะ ๆ  ไป  แล้วให้อำมาตย์คนหนึ่ง ๆ  อยู่ประจำบ้านหลังหนึ่ง ๆ  ให้ทุก ๆ  บ้านที่อยู่รายทางจัดช้าง  ม้า  รถ  เตรียมไว้  เมื่อพระราชานำนางปัญจาลจันทีผ่านมา  ก็ให้รีบพาไปให้ถึงมิถิลานครโดยเร็ว  อย่าให้ข้าศึกทำอันตรายแก่พระองค์

เมื่อขบวนพลของมโหสธเดินทางถึงฝั่งคงคา  ได้เรียกอำมาตย์คนหนึ่งชื่อ  อานันทะ มาสั่งว่า  "อานันทะ ท่านจงพาช่างไม้  ๓๐๐  คน  ไปทางเหนือคงคา  ให้เอาไม้แก่นสร้างเรือ  ๓๐๐  ลำ  แล้วหาไม้ที่จะทำกระดาน  เสา  ฝา  และอื่น ๆ  สำหรับสร้างเมือง  บรรทุกเรือ  ๓๐๐  ลำ  มาโดยเร็ว"


..................................

(ยังมีต่ออีก)






































วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๓)


นกแก้วสืบความลับจากนางนกสาลิกา

มโหสธรู้ว่า  พระราชากริ้ว  ไม่รอที่จะให้ราชบุรุษมาไล่ตนออกไป  จึงรีบกราบถวายบังคมลาพระราชา  ลุกออกจากที่นั่งกลับไปบ้าน  ถึงบ้านแล้วก็รำพึงอยู่คนเดียวว่า  "พระราชาของเรานี่  ช่างไม่ทราบถึงในสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์แก่พระองค์เสียแลย  มุ่งแต่จะทรงหวังพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีเท่านั้น  ไม่ทรงทราบถึงภัยที่จะมาถึงเมื่อเสด็จไปกรุงปัญจาละ  เราควรจะหาทางป้องกันพระองค์  แม้ว่าจะทรงกริ้ว  เราก็ไม่ควรจะถือเป็นเหตุสำคัญ  เพราะพระองค์ทรงมีอุปการะแกเรามาก"  เมื่อรำพึงดังนี้แล้ว  จึงนึกหาวิธีที่จะช่วยเหลือป้องกันพระมหากษัตริย์  และทำอย่างไรจึงจะรู้อุบายของพระเจ้าจุลนีและเกวัฏที่วางแผนการในเรื่องนี้  เมื่อตรึกตรองหาช่องทางก็นึกได้ถึงข้อความที่ทูตทหารซึ่งวางประจำไว้ที่ปัญจาลนครเคยส่งข่าวบอกมาว่า  วันหนึ่ง  พระเจ้าจุลนีกับเกวัฏไปปรึกษาราชการกันถึงห้องบรรทมอยู่กันสองต่อสอง  จึงยากที่จะรู้ได้ว่า  ปรึกษาเรื่องอะไรกัน เพราะที่ห้องบรรทมไม่มีใครเข้าไปได้เลย  มีแต่นางนกสาลิกาซึ่งเลี้ยงไว้ในห้องพระบรรทมเท่านั้นที่จะรู้เรื่อง

เมื่อมโหสธนึกขึ้นได้ดังนี้  จึงคิดจะส่งนกแก้วแสนรู้ไปสืบความลับจากนางนกสาลิกา

วันหนึ่ง  มโหสะได้เรียกนกแก้วมาแล้วพูดว่า  "แน่เจ้าผู้มีปีกเขียวขจี  ณ  ห้องบรรทมของพระเจ้าจุลนีแห่งปัญจาลนคร  มีนางนกสาลิกาอยู่ตัวหนึ่ง  เป็นนางนกที่ฉลาดมาก  เราขอให้เจ้าไปที่นั่น  ไปทำความสนิทสนมกับนางนกสาลิกา  แล้วถามความลับกับนางนกสาลิกาโดยละเอียด  เพราะนางนกรู้ความลับทั้งหมดของพระเจ้าจุลนีกับเกวัฏเป็นอย่างดี"

นกแก้วแสนรู้รับคำมโหสธ  แล้วก็บินโผออกจากเรือน  มุ่งไปที่อยู่ของนางนกสาลิกา  ณ  ปัญจาลนคร  พอถึงก็แอบเข้าทางช่องพระแกล  ไปจับกรงทองซึ่งมีนกสาลิกาอยู่  เริ่มปราศรัยตามภาษานกว่า


"แน่ะเจ้าผู้มีกรงทอง สีสวย  พูดไพเราะ  เจ้าพออดทน
อยู่ในกรงงามดอกหรือ  เจ้าผาสุกสบายตามเพศดอกหรือ
เจ้ามีข้าวตอกกับน้ำผึ้งบริบูรณ์ดอกหรือ ?"


นางนกสาลิกาตอบว่า

"ท่านนกแก้วผู้มีสีสวยสดใส  ข้ามีความผาสุกสบาย
ตามอัตภาพ  ข้าวตอกกับน้ำผึ้งข้าก็มีเพียงพอ
ข้าขอถามท่านบ้างว่า ท่านมาจากไหน  หรือใครใช้ให้
ท่านมา  แต่ก่อนแต่ไรข้าไม่เคยเห็นท่านเลย ?"

นกแก้วได้ฟังนางนกสาลิกาถามดังนั้น  จึงคิดว่า  "ถ้าเราบอกว่า  เรามาจากมิถิลานคร  นางนกสาลิกาคงไม่ให้ความสนิสนมกับเราเป็นแน่  เราควรบอกมาจากเมืองอื่น  เพื่อประโยชน์ในทางสืบความลับ  คิดดังนั้นแล้ว  นกแก้วจึงบอกว่า

"ข้าอยู่บนปราสาทของพระเจ้าสิวิราชแห่งอริฏฐปุระ  
พระราชาทรงโปรดให้ปล่อยสัตว์ทั้งหลายที่ถูกขัง  ข้าได้
ออกจากกรงทองซึ่งเปิดอยู่ตลอดเวลาเที่ไปในที่ต่าง ๆ
แล้วก็กลับเข้ากรงทอง  ข้ามิได้อยู่ในกรงทอง  ตลอดเวลาเหมือนเจ้า"


นางนกสาลิกาถามว่า  "ท่านมาแต่เมืองไกล  มาถึงนี่เพื่อประสงค์อะไร ?"


นกแก้วต้องการสืบความลับ  ยังไม่บอกตรง ๆ  ถึงความประสงค์ที่มาเสพูดอย่างอื่นว่า

"ข้ามีนางนกสาลิกานางหนึ่งเป็นภรรยา  เหยี่ยวตัวหนึ่ง
ได้มาฆ่านางนกสาลิกาภรรยาข้าในตำหนักยอด  ต่อหน้าข้า
ผู้มองดูอยู่ในกรงงาม  หมดทางช่วยเหลือได้  ข้ารักและสงสาร
นางนกสาลิกาภรรยาข้ามาก"


นางนกสาลิกาขอให้นกแก้วเล่าเรื่องเหยี่ยวฆ่าสาลิกาภรรยาของเขา

นกแก้วจึงเล่าให้ฟังว่า  "วันหนึ่ง  ข้าและภรรยาตามเสด็จพระราชาไปในการสรงสนาน  ณ  แม่น้ำตกแห่งหนึ่ง ตอนเสด็จกลับ  ข้าและภรรยาก็ได้ตามกลับมาด้วย  แล้วขึ้นไปบนปราสาทพร้อมกับพระราชา  ขณะนั้น  มีเหยี่ยวตัวหนึ่งโผลงมาโฉบข้าและภรรยา  ข้าบินหนีเข้ากรงทองได้  แต่ภรรยาของข้ากำลังมีครรภ์แก่  บินหนีไม่ทัน  เหยี่ยวจึงเฉี่ยวภรรยาของข้าไปต่อหน้า  ข้าร้องไห้ด้วยความสงสารและอาลัยในภรรยาของข้า  จนไม่เป็นอันกินอันนอน

"พระราชาของข้าทอดพระเนตรเห็นข้าร้องไห้  จึงตรัสถามว่า  'เจ้านกแก้วเอ๋ย  เจ้าร้องไห้ทำไม ?'  ข้ากราบทูลว่า  'ข้าแต่พระองค์  เหยี่ยวได้มาเฉี่ยวสาลิกาภรรยาของข้าพระองค์ไปกินเสียแล้ว  พระเจ้าข้า' พระราชารับสั่งว่า  "เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย  จงไปหานางนกสาลิกาอื่นมาเป็นภรรยาใหม่เถิด"  ข้ากราบทูลว่า  'ข้าแต่พระองค์  ข้าไม่ต้องการมีภรรยาใหม่อีกแล้ว  เพราะภรรยาใหม่อาจไม่มีศีลพร้อมสัตย์และมารยาท  เหมือนสาลิกาภรรยาเก่าของข้าพระพุทธเจ้าก็ได้  ข้าพระพุทธเจ้าพอใจจะอยู่คนเดียว  พระเจ้าข้า'  พระราชารับสั่งว่า  'เจ้านกแก้ว  เจ้าอย่านึกว่า  สาลิกาอื่นจะไม่ดีเหมือนภรรยาของเจ้า  ข้าได้เห็นนกสาลิกาตัวหนึ่งเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติ  เช่นเดีวยวกับภรรยาเจ้า  อยู่ที่ห้องบรรทมของพระเจ้าจุลนีพรหมทัต แห่งอุตรปัญจาลนคร  เจ้าจงไปที่นั่น  ฟังน้ำใจเขาดู  ถ้าตกลงปลงใจกันอย่างไร  เจ้าจงกลับมาบอกข้า  ข้าจะจัดพิธีสู่ขอนางนกสาลิกากับพระเจ้าจุลนีพรหมทัตนำมาให้อยู่กับเจ้า  ขอให้เจ้าจงรีบไปเถิด'  ข้าดีใจมาก  จึงทูลลาพระราชาของข้ามา  ณ  ที่นี้  ก็ด้วยเหตุดังที่ข้าเล่าให้ฟังนี้แหละ  หวังว่าเจ้าคงทราบความประสงค์ในการมาของข้าครั้งนี้ดีแล้วนะ"

นางนกสาลิกาได้ฟังคำนกแก้วก็ดีใจ  แต่ทำเป็นไม่สนใจในคำของนกแก้ว  ทำกระบิดกระบวนอิด ๆ  
ออด ๆ  ไปตามมารยา  พูดว่า

"ธรรมดานกแก้วก้็ป็นนกในตระกูลหนึ่ง  ควรสมสู่
อยู่กับนางนกแก้วซึ่งเป็นนกในตระกูลเดียวกัน  นกสาลิกา
จึงควรอยู่กับนางนกสาลิกา  แต่นกแก้วจะมาสมสู่อยู่
กับนางนกสาลิกาซึ่งผิดตระกูลกันนั้น  จะดูกระไรอยู่"

นกแก้วรู้เชิงนางนกสาลิกาดี  จึงพูดว่า


"ข้อที่เจ้าพูดมานั้นไม่สำคัญ  ม้ากับฬา  กินรีกับดาบส
วานรกับคน  ยังอยู่ร่วมกันได้  ซึ่งก็ต่างตระกูลต่างกำเนิด
กันแท้ ๆ  นับประสาอะไรกับเราทั้งสอง  ซึ่งเป็นนกด้วยกัน
จะอยู่ร่วมกันไม่ได้"


นางนกสาลิกาพูดต่อไปว่า  "ข้ายังไม่ไว้ใจท่าน  กลัวว่าท่านจะมาพูดหว่านล้อมให้ข้าตายใจ  พอสมใจท่านแล้วก็จะทิ้งข้าไป"

นกแก้วฉลาดในมายาสตรีจึงพูดว่า


"เอาเถอะ   แม่นางนกสาลิกา  เมื่อเจ้าเห็นว่า  ข้า
ไม่คู่ควรแก่เจ้า  เจ้าก็ไม่ไว้ใจข้า  ข้าก็จะขอลาละ  ข้าเสียใจ
ที่เจ้าดูหมิ่นข้า"


นางนกสาลิกาได้ฟังคำนกแก้วเช่นนั้น  เข้าใจว่านกแก้วโกรธจะกลับไปจริง  รู้สึกปานประหนึ่งว่าหัวใจจะแตก  เพราะนางก็ปรารถนานกแก้วอยู่ตั้งแต่เริ่มเห็น  แต่ที่ต้องทำกระบิดกระบวนอยู  ก็ด้วยเชิงกลของสตรี  ครั้นเห็นนกแก้วจะไปจริง  นางสาลิกาจึงพูดว่า

"ข้าแต่นกแก้วผู้มีขนปีกงาม  ปากงาม  ขอให้ท่าน
ฟังคำข้าก่อน  ธรรมดาสิริย่อมไม่อยู่แก่ผู้ด่วนได้  ใจเร็ว  ท่าน
จงอยู่ที่นี่ไปก่อนเถิด  ท่านจะได้ฟังเสียงมโหรีปี่พาทย์
และเสียงขับร้องของนารีทรงรูปโฉม  และท่านจะได้เห็น
สิริวิลาสโสภาคของพระเจ้าจุลนี  ในเวลาเย็นวันนี้"


นกแก้ว  เมื่อเห็นว่านางนกสาลิกามีความสมัครรักใคร่  หวังให้อยู่ได้เชยชิด  ปราศจากมารยา  เช่นนั้น
แล้วก็ดีใจ  ทั้งสองจึงได้สมสู่สมัครสังวาลกันในตอนเย็นวันนั้นเอง

เมื่อสำเร็จความประสงค์ในอันดับแรกแล้ว  นกแก้วจึงคิดตามแผนการขั้นต่อไป  คือ  คิดจะสืบถามความลับกับนางนกสาลิกา พอได้โอกาสจึงพูดว่า  "แม่สาลิกายอดรักจ๋า  ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าสักอย่าง  แต่วันนี้ยังไม่ถาม  เพราะวันนี้เป็นวันมงคลระหว่างเราทั้งสอง  เอาไว้วันหน้าเถิด"

นางนกสาลิกาตอบว่า  "ที่รัก  ถ้าเรื่องที่ท่านถามนั้นเป็นมงคล  ก็จงถามมาเถิด  ไม่ต้องรอไปวันหน้า  ถ้าเป็นอัปมงคลก็อย่าเพิ่งถามเลย"

นกแก้วบอกว่า  "ยอดรัก  เรื่องนี้เป็นมงคล  ถ้าเจ้าอนุญาตให้ถามข้าก็จะถามเดี๋ยวนี้"

นางนากสาลิกา  "ถามไปเถิด"

นกแก้วพูดว่า  

"ข้าได้ยินมหาชนตามชนบทเขาพากกันโจษจันอยู่
เซ็งแซ่  ว่าพระนางปัญจาลจันทีราชธิดาของพระเจ้าจุลนี
ทรงมีพระรูปพระโฉมงดงามยิ่งนัก  พระราชบิดาจัก
พระราชทานแก่พระเจ้าวิเทหราชกษัตริย์มิถิลานคร
และกำลังจะกำหนดวันอภิเษกกันอยู่แล้ว  เรื่องนี้เ็น
ความจริงหรือ ?"


นางนกสาลิกามีอาการตกตะลึงพูดว่า  "ที่รัก  ทำไมท่านจึงมากล่าวเรื่องอัปมงคล  ในวันเป็นมงคลของเราอย่างนี้เล่า"

นกแก้วพูดว่า  "ยอดรัก  ข้าว่าเรื่องนี้เป็นมงคล  ทำไมเจ้าจึงว่าเป็นอัปมงคล"

นางนกสาลิกาพูดว่า  "ที่รัก  ตามเรื่องของเรื่องก็ดูเป็นมงคลดอก  แต่ภายหลังจะกลายเป็นอัปมงคลไป"


..................................


(ยังมีต่ออีก)




















วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๒)


มโหสธถูกกริ้ว

มโหสธบัณฑิต  ครั้นทราบว่า เกวัฏกลับไปเมืองตนแล้ว  จึงเข้าไปเฝ้าพระราช

พระราชารับสั่งถามเช่นเดียวกันกับที่ได้ถามอาจารย์ทั้ง ๔  และตรัสกับมโหสธว่า  "อาจารย์ทั้ง  ๔  เห็นควรอย่างยิ่งที่จะไปรับราชธิดาแห่งกษัตริย์ปัญจาลนคร"

มโหสธคิดว่า  พระราชาของเรานี้ช่างข้องอยู่ในกามารมณ์มากเหลือเกิน  เชื่อถือถ้อยคำอาจารย์โง่ทั้ง  ๔  ไม่ทรงทราบถึงโทษในการเสด็จไป  เราจักแสดงให้เห็นโทษในการเสด็จไป  เพื่อกลับพระทัยเสีย  คิดดังนั้นแล้วจึงกราบทูลว่า


"ข้าแต่สมมติเทพ  ขอพระองค์จงทรงทราบพระเจ้า
จุลนีพรหมทัตทรงมีพระยศยิ่งใหญ่ในสกลชมพูทวีป  ทรง
มีแสนยานุภาพมาก  ทรงมุ่งหมายจะปลงพระชนมชีพของ
พระองค์เหมือนพรานฆ่าเนื้อด้วยนางเนื้อ  คือ  นายพราน
จับนางเนื้อมาฝึกอย่างดี  แล้วนำไปผูกไวในที่อุดมสมบูรณ์
ด้วยหญ้าและน้ำ  ให้นางเนื้อล่อฝูงเนื้อมา  เมื่อฝูงเนื้อหลง
หวังจะโลมเล้านางเนื้อ  ต่างก็พากันมา พรานได้ทีก็ยิงเอา
แทงเอา  จับเอา  ตามความต้องการ

พระเจ้าจุลนีเป็นเหมือนพราน พระราชธิดาเป็น
เหมือนนางเนื้อ  เป็นเหยื่อล่อ  เกวัฏเป็นเหมือนอาวุธ
ในมือพราน

ธรรมดาปลาที่อยู่ในน้ำลึกราว  ๑๐๐  วา  อยากกิน
ของสดซึ่งเขาทำเป็นเหยื่อติดไว้ที่เบ็ด  มันย่อมไม่รู้จัก
ความตายของมัน  ฉันใด

ข้าแต่พระราชา  พระองค์ทรงปรารถนาในกามไม่ทรง
ทราบว่าพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนี  เป็นเหมือนเหยื่อ
พระองค์เป็นเหมือนปลาปรารถนาเหยื่อไม่รู้ว่า  ความตาย
จะมาถึง  ฉันนั้น

ข้าแต่พระองค์  หากพระองค์ตั้งพระทัยจะเสด็จ
ไปปัญจาลนครแน่แท้แล้ว  ขอได้ทรงเลิกละพระดำรินั้น
เสียเถิด  เพราะว่าภัยใหญ่จักมาถึงพระองค์เหมือนภัย
มาถึงเนื้อ  (ผู้ตามมาถึงประตูบ้าน)"


พระเจ้าวิเทหราชไม่พอพระทัยในคำกราบทูลของมโหสธเป็นอย่างยิ่ง  ทรงพิโรธว่า มโหสธดูหมิ่นพระองค์  เปรียบพระองค์เป็นเหมือนเนื้อโง่บ้าง  เป็นเหมือนปลาติดเบ็ดบ้าง  เป็นเหมือนเนื้อตามถึงประตูบ้านบ้าง  จึงรับสั่งด้วยความกริ้วว่า

  "มโหสธ  ทำไมท่านจึงพูดแก่เราถึงเพียงนั้น
เรารึพูดแต่สิ่งที่เจริญเป็นมงคลแก่ตัวท่าน  ท่านซิกลับพูด
แต่สิ่งไม่เป็นมงคลแก่ตัวเรา  ท่านไม่รู้จักกิจที่เป็นมงคลของ
กษัตริย์  คนอื่น ๆ  เช่น  อาจารย์เกวัฏ  อาจารย์เสนกะ  เป็นต้น  รู้จัก
ความเจริญและสิ่งที่เป็นมงคลของกษัตริย์  ทานไม่รู้จักอะไร
เสียเลย"

พระเจ้าวิเทหราชบริภาษมโหสธด้วยพระสุรเสียงอันเคียดแค้น  ยังไม่หนำพระทัย  ตรัสว่า  "มโหสธเป็นอันตรายแก่สิริมงคลของเรา  ราชบุรุษจงนำมโหสธออกไปเดี๋ยวนี้"



..................................





















วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๑)



เกวัฏใช้อุบายล่อด้วยกามคุณ  (ต่อ)

ข่าวลือที่ว่าเกวัฏจะมาเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชนั้น  ก็ปรากฏเป็นความจริงขึ้น  คือ  วันหนึ่งเกวัฏได้มาถึงมิถิลานคร   และเข้าเฝ้าถวายบังคมพระเจ้าวิเทหราช  ถวายเครื่องบรรณาการ  เมื่อได้มีโอกาสจึงกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในมิถิลานคร  พระราชาของข้าพระพุทธเจ้า  พระนามว่า  จุลนีพรหมทัตแห่งปัญจาลนคร   ทรงมีพระประสงค์จะทำราชสัมพันธไมตรีกับพระองค์  เพื่อให้นครทั้งสองได้เป็นสุวรรณปฐพีทองแผ่นเดียวกัน  ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้รับพระบรมราชโองการจากพระเจ้าจุลนี  ให้มาเจริญสัมพันธไมตรีกับพระองค์ในครั้งนี้  ข้าพระพุทธเจ้าหวังด้วยเกล้าว่า  พระองค์คงจะทรงยินดีและพอพระราชหฤทัย  ในการผูกสัมพันธไมตรีกับพระราชาของข้าพระพุทธเจ้า  ขอได้โปรดทรงรับไมตรีอันนี้เถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระดำรัสปฏิสันถารกับเกวัฏเป็นอย่างดีและตรัสรับสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าจุลนีแห่งปัญจาลนครด้วยความเต็มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง

เกวัฏจึงกราบทูลต่อไปว่า  "ขอเดชะ  เพื่อให้สัมพันธไมตรีของนครทั้งสองสนิทแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น  ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระบรมราชโองการจากพระเจ้าจุลนี  ให้มากราบทูลขอถวายราชธิดาพระนามว่า 
ปัญจาลจันทีแด่พระองค์  ขอพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทำพิธีอภิเษกกับพระนาง  ณ  ปัญจาลนครเถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำของเกวัฏปุโรหิตดังนั้น  ทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง  แต่เพื่อให้มโหสธได้รับทราบเรื่องนี้ไว้ด้วย  จึงตรัสว่า  "ท่านเกวัฏ  ขอให้ท่านนำความเรื่องนี้ไปสนทนากับมโหสธบัณฑิตของเราให้ทราบไว้ด้วย  อนึ่ง  ท่านกับมโหสธก็เคยมีเรื่องกันอยู่  เมื่อครั้งทำธรรมยุทธ  ถ้ากระไรขอให้ท่านจงไปปรับความเข้าใจกันเสียให้ดีก่อน  แล้วมาหาเราอีกครั้ง"



มโหสธไม่ยอมพูดกับเกวัฏ

มโหสธรู้ว่า  เกวัฏจะมาหาในวันนั้น  จึงคิดว่า  ตนไม่สมควรจะพูดกับคนลามกเช่นเกวัฏ  จึงได้ดื่มเนยใสแต่เช้า  ให้คนรักษาเรือนเอาโคมัยสดมาละเลงทั้วเรือน  เอาน้ำมันทาเสาเรือน  ตั้งเตียงผ้าใบไว้  ๑  เตียง  สำหรับมโหสธนอน  นอกนั้นให้เก็บจนหมดไม่ว่าเตียงและตั่ง  มโหสธนุ่งผ้าแดงนอนบนเตียงผ้า  วางคนรักษาประตูไว้  ๗  คน  และบอกวิธีที่จะปฏิบัติต่อเกวัฏไว้แก่คนเฝ้าประตูทุกชั้น

เกวัฏปุโรหิตออกจากที่เฝ้าพระราชาแล้วก็ตรงมาที่บ้านมโหสธ  ถึงประตูชั้นที่ ๑  จึงถามคนเฝ้าประตูว่า  "ท่านบัณฑิตมโหสธ  อยู่ไหม ?"  แล้วจะเดินเข้าไป

คนเฝ้าประตูกั้นไว้พูดว่า  "ท่านอย่าส่งเสียง  ถ้าท่านจะมาหาท่านบัณฑิตก็จงมานิ่ง ๆ  เพราะวันนี้ท่านบัณฑิตดื่มเนยใสอย่างแรง  ท่านจะต้องไม่ทำเสียงเอ็ดอึง"  แล้วให้เกวัฏผ่านประตูชั้น  ๑  ไป  พอถึงประตูชั้นที่  ๒  คนเฝ้าประตูก็พูดอย่างเดียวกับคนเฝ้าประตูแรก  แล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป  จนถึงประตูชั้น  ๓-๔-๕-๖-๗  จึงถึงที่มโหสธอยู่

มโหสธนอนอยู่บนเตียงผ้า  เห็นเกวัฏเข้ามาขยับจะพูด  แต่มีคนห้ามว่า  "ท่านบัณฑิต  ท่านอย่าพูด เพราะท่านดื่มเนยใสอย่างแรง  ไม่ควรพูดกับคนเลว ๆ  อย่างเกวัฏนี้  เมื่อถูกห้ามตามนัดแนะไว้  มโหสธก็ไม่พูด

เกวัฏเข้าไปหามโหสธ  เมื่อไม่มีที่จะนั่ง  ไม่มีผู้ต้อนรับ  ก็ทำอาการเก้อ ๆ  เคอะ ๆ  ทั้งยังยืนเหยียบโคมัยสดอยู่อีก

คนของมโหสธได้แสดงอาการแก่เกวัฏต่าง ๆ  กัน  บางคนทำยักคิ้วบางคนถลึงตา  บางคนเงื้อมมือ  บางคนยกกำปั้น  บางคนทำท่าจะเตะ

เกวัฏเห็นกิริยาอาการของคนเหล่านั้นไม่น่าไว้ใจเลย  ให้รู้สึกหวาดสะดุ้งเป็นอย่างยิ่ง  คิดว่า  ขืนอยู่ต่อไปคงไม่ปลอดภัยแน่  จึงพูดกับมโหสธว่า  "ท่านบัณฑิต  ข้าพเจ้าลาละ"  แล้วก็เดินออกไป

คนของมโหสธจึงช่วยกันจับคอเกวัฏผลักไป  บางคนก็ตบหน้าเอา  บางคนก็ทุบที่หลัง  ไปถึงประตูชั้นไหนก็ถูกคนเฝ้าประตูผลักใสไล่ส่งไป

เกวัฏได้รับความบอบช้ำ  ทั้งเจ็บทั้งอาย  รีบเดินมุ่งตรงไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช

พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า  "วันนี้  มโหสธบุตรของเรากับเกวัฏคงได้พบกันแล้ว  และคงได้สนทนาธรรมสากัจฉากันจนเป็นที่พอใจ  ทั้งคงปรับความเข้าใจกันในเรื่องที่แล้วมาเป็นอย่างดี  ต่างก็คงให้อภัยให้กันและกัน  อนึ่ง  มโหสธคงดีใจด้วยกับเรา  ที่จะได้พระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาเป็นมเหสี"

ขณะที่พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริอยู่ด้วยความกระหยิ่มพระทัยนั้น  ก็พอดีทอดพระเนตรเห็นเกวัฏเดินเข้ามาหมอบเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์  จึงตรัสถามว่า  "ท่านอาจารย์  ท่านพบมโหสธแล้วหรือ   มโหสธพูดกับท่านอย่างไรบ้าง  และคงอโหสิให้แก่กันและกันแล้วกระมัง  มโหสธชอบใจข่าวที่ท่านนำมานี้หรือไม่ ?"

เกวัฏกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พระอาญาไม่พ้นเกล้า  คนอย่างมโหสธไม่ควรนับว่าเป็นบัณฑิต  มโหสธเป็นคนถ่อย  กระด้าง  ข้าพระพุทธเจ้าไปหาถึงบ้าน  มโหสธไม่พูดกับข้าพระพุทธเจ้าเลย  แม้แต่ที่นั่งก็ไม่มีให้  ไม่มีต้อนรับ  ไม่มีปราศรัย  ทำเป็นใบ้และทำเป็นหูหนวก  คนอย่างมโหสธนี้ไม่ควรอยู่ในตำแหน่งอันมีเกียรติในราชสำนักนี้เลย  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำของเกวัฏ  ก็มิได้ทรงแสดงความพอพระทัย  หรือไม่พอพระทัยอย่างไร  โปรดรับสั่งให้จัดหาที่พักและอาหารให้แก่เกวัฏและข้าราชการที่มาด้วย

เกวัฏเฝ้าอยู่พอสมควรแล้วก็ทูลลากลับไปที่พัก  ซึ่งทางการจัดให้

พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า  "มโหสธเป็นผู้จัดเจนในการปฏิสันถารและเคารพต่อการปฏิสันถาร  การที่เกวัฏมาบอกว่า  ไม่ได้รับการปฏิสันถารจากมโหสธเลยนั้น  อาจเป็นจริงได้  เพราะมโหสธเป็นคนมีเหตุผลและเป็นคนเห็นกาลไกล  อาจนึกว่า  เป็นกลอุบายของเกวัฏอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้  อันความคิด
ของมโหสธลึกซึ้ง  ยากที่ผู้อื่นจะรู้ถึงได้  อนึ่ง  มโหสธอาจเห็นไปว่า  เกวัฏคงจะมาเล้าโลมด้วยกามคุณ  เอาความสัมพันธไมตรีขึ้นบังหน้า  พวกเรายอมไปทำพิธีอภิเษกสมรสในเมืองเขา  เขาอาจเก็บตัวเราไว้ก็ได้  มโหสธคงเห็นเหตุนี้อันจะเกิดแก่เราภายหน้าก็เป็นได้"  ทรงดำริดังนี้แล้วก็รู้สึกหวาดหวั่นพระทัย  ประทับนั่งเหม่อมอง  พระเนตรลอย  พออาจารย์ทั้ง ๔  คือ  เสนกะ  ปุกกุสะ  กามินทื เทวินท์  เข้าไปเฝ้า  จึงรับสั่งถามเสนกะว่า  "อาจารย์เสนกะ  ท่านได้ทราบข่าว่า  พระเจ้าจุลนีจะทรงยกพระราชธิดาให้เรา  ได้ส่งเกวัฏมาเพื่อกำหนดวันไปรับราชธิดาหรือเปล่า ?"

เสนกะทูลว่า  "ได้ทราบแล้ว  พระเจ้าข้า"

พระราชาตรัสถามว่า  "ท่านเห็นอย่างไร  เราควรจะไปหรือไม่ ?"

เสนกะทูลว่า  "ควรอย่างยิ่ง  พระเจ้าข้า  สิริได้มาถึงพระองค์แล้ว  อย่าให้ลอยไปเสีย  หากพระองค์เสด็จไปกรุงปัญจาลก็จะได้ราชธิดามา  กษัตริย์ในสกุลชมพูทวีปยกพระองค์เสียจะหาองค์ใหเสมอเหมือนพระเจ้าจุลนแห่งปัญจาลนครไม่มีแล้ว  การได้ราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาเป็นมเหสีของพระองค์  เป็นการคู่ควรอย่างยิ่ง  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามอาจารย์อีก  ๓  คน  ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกันกับเสนกะ

ในขณะที่พระราชาทรงรับสั่งอยู่กับอาจารย์ทั้ง  ๔  นั้น  เกวัฏก็เข้ามาเฝ้ากราบถวายบังคมลากลับเมืองของตน.


..................................


















วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๓๐)



อุบายซ้อนกลของมโหสธ (ต่อ)

พระเจ้าจุลนีทรงมีพระบรมราชโองการ  ตามถ้อยคำที่อนุเกวัฏกราบทูล  เมื่อพระราชา  ๑๐๑  แต่งเครื่องทรงมาให้ทอดพระเนตร พระเจ้าจุลนีก็ทอดพระเนตรเห็นชื่อมโหสธปรากฏที่ราชาภรณ์ของพระราชาทั้ง  ๑๐๑

ราชาภรณ์เหล่านี้มีฉลองพระบาท  พระขรรค์ทอง  พระมาลา  ซึ่งมโหสธได้จารึกชื่อของตนไว้แล้วตั้งสัตยาธิษฐานขอให้ชื่อนั้นปรากฏเมื่อต้องการให้ปรากฏ  แล้วมอบแก่ทูตทหารที่ไปประจำเมืองต่าง ๆ  ทั้ง ๑๐๑  หัวเมือง  ให้นำไปถวายพระราชาในเมืองนั้น ๆ  ชื่อของมโหสธได้ปรากฏขึ้นครั้งนี้ก็เพราะแรงอธิษฐาน

พระเจ้าจุลนีเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นอักษรจารึกชื่อมโหสธปรากฏในราชาภรณ์ของกษัริย์  ๑๐๑  เช่นนั้น ก็แน่พระทัยว่า  พระราชาเหล่านี้รับสินบนมโหสธ  และคิดทรยศต่อพระองค์  ทรงกลัวต่อมรณภัยอันจะมาถึงแก่พระองค์อย่างยิ่ง  จึงรับสั่งถามอนุเกวัฏว่า  "อนุเกวัฏ  คราวนี้เราจะควรทำอย่างไรดี ?" 

อนุเกวัฏกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  หมดหนทางพะย่ะค่ะ  ทางที่ดีที่สุด  ขอพระองค์รีบขึ้นม้าหนีไปเสียก่อนเถิด  อย่ารอให้ทหารของมโหสธมาจับพระองค์ได้เลย"

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า  "ถ้าเช่นนั้น  อนุเกวัฏช่วยผูกม้าที่นั่งให้เราไว ๆ  ด้วย"

อนุเกวัฏจึงเตรียมผูกม้าพระที่นั่ง  ผูกอย่างมีเงื่อนงำ  คือ  ถ้ารั้งจะให้หยุด  ม้าก็สำคัญว่าให้วิ่ง  ยิ่งรั้งให้หยุดยิ่งวิ่งหนักขึ้น  แล้วนำม้าพระที่นั่งมาถวายพระเจ้าจุลนีในเวลามัชฌิม  กราบทูลให้รีบเสด็จหนีไป

พระเจ้าจุลนีทรงขึ้นม้าควบตะบึงไปทันที  อนุเกวัฏก็ขึ้นม้าทำเป็นขี่ควบตามเสด็จไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับ พระราชาเมื่อทรงเห็นว่า   ควบม้ามาไกลพอสมควร  จะรั้งม้าให้หยุด  ม้าก็ยิ่งวิ่งเร็วหนักขึ้น

อนุเกวัฏกลับเข้าไปอยู่ในกองทัพตะโกนขึ้นว่า  "พระเจ้าจุลนีเสด็จหนีไปแล้ว"

พวกบุรุษที่มโหสธวางไว้ก็ร้องบอกกันต่อ ๆ  ไป

พระราชา  ๑๐๑  และเกวัฏปุโรหิตพร้อมด้วยพวกทหารในกองทัพของพระเจ้าจุลนีต่างพากันหนึเอาตัวรอด  เป็นอันว่า  อุบายการขับไล่ข้าศึกของมโหสธ  ได้สำเร็จไปโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อทหารเลย.





เกวัฏใช้อุบายล่อด้วยกามคุณ

วันเดือนผ่านมาครบ  ๑  ปี  หลังจากที่กองทัพปัญจาลนครพ่ายแพ้มา  เพราะอุบายของมโหสธบัณฑิต  พระเจ้าจุลนีเสียรู้ในอุบาย  มิใช่เรื่องทหารกินสินบนดังที่อนุเกวัฏกราบทูล  ทรงหาทางแก้แค้นอยู่ตลอดเวลา

เกวัฏปุโรหิตมองดูหน้าของตนที่กระจก  เห็นแผลเป็นที่หน้าผากทีไร  ให้รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น
มโหสธมาก  วันหนึ่ง  เกวัฏคิดอุบายได้อย่างหนึ่ง  จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี

พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรเห็นเกวัฏปุโรหิตมาเฝ้า  จึงตรัสว่า  "ว่าอย่างไรท่านเกวัฏ  ท่านมีอุบายอะไรที่จะมาบอกให้เราทำอีกหรือ  ถ้าเป็นอย่างที่แล้วมา  เราก็เห็นจะไม่ยอมทำตามความคิดของท่านเป็นแน่ แต่เรายังแค้นใจอยู่มาก  ที่แล้วมาเราเสียรู้ในกลอุบายของมโหสธ  ต้องถอยหนีกลับมาอย่างไม่มีท่า"

เกวัฏ  "ขอเดชะ  ข้าพระพุทธเจ้าคิดอุบายได้อย่างหนึ่งแล้ว  คราวนี้ต้องชนะแน่  และไม่มีทางที่มิถิลานครจะรอดพ้นเงื้อมมือไปได้เลย  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าจุลนี  "ท่านจงว่าไปซิ"

เกวัฏ  "อุบายนี้สำคัญมาก  ข้าพระพุทธเจ้าจะกราบทูลได้ก็ต่อเมื่อพระองค์กับข้าพระพุทธเจ้าอยู่กันสองต่อสอง"

พระราชา  "ดีแล้ว"

เกวัฏได้ทูลพระราชาให้เสด็จขึ้นบนปราสาท  แล้วปรึกษากันที่ห้องพระบรรทม

เกวัฏกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ควรใช้อุบายล่อพระเจ้าวิเทหราชด้วยกามคุณ  แล้วเอาตัวมาฆ่าเสียพร้อมด้วยมโหสธ"

พระราชา  "อุบายของท่านน่าฟัง  แต่เราจะล่อเขามาได้อย่างไร  ลองว่าไปทีซิ ? "

เกวัฏ  "ข้าแต่พระมหาราชเจ้า  เรื่องนี้ไม่ยากเลย  พระราชธิดาของพระองค์  ทรงพระนามว่าปัญจาลจันที ทรงมีพระรูปโฉมงามมาก"  เกวัฏยังทูลไม่ทันจบ  พระเจ้าจุลนีทรงกริ้ว  ตรัสด้วยพระสุรเสียงดังว่า   "หยุด เกวัฏ  ท่านจะให้ราชธิดาของเราไปล่อข้าศึกอย่างนั้นหรือ  ท่านดูหมิ่นเรามากไปเสียแล้ว  ตระกูลวงศ์ของเราไม่เคยทำเช่นนั้น  หากท่านพูดไม่ถูกใจเราอีก  เราจะประหารชีวิตท่านเสีย"

เกวัฏกราบทูลอย่างไม่สะทกสะท้านว่า  "ขอเดชะ  ขอได้โปรดฟังข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลให้จบก่อน  อย่างเพิ่งทรงพิโธไปเลย  อุบายของข้าพระพุทธเจ้าคราวนี้จะเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระองค์  หากจะทรงอนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้าเล่าถวายจนจบ  หากไม่เป็นที่พอพระทัย  ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายชีวิต"

พระราชา  "เล่าไปได้"

เกวัฏ  "ข้าพระพุทธเจ้าต้องการให้พระองค์เรียกนักกวี  มาแต่งพรรณนาความงามของพระราชธิดาเป็นเพลงขับ  แล้วให้นักร้องขับกาพย์กลอนนั้นในเมืองมิถิลา  บทขับให้มีใจความว่า  "พระราชธิดาของกษัริย์ปัญจาลนคร  พระนามว่า  ปัญจาลจันที  ทรงมีพระรูปโฉมงามดุจนางเทพอัปสร  สมควรเป็นเอกอัครมเหสีของพระเจ้าวิเทหราชเป็นอย่างยิ่ง  หากพระเจ้าวิเทหราชไม่ได้นารีรัตนะเห็นปานนี้มาเป็นคู่ครองแล้วไซร้  ก็ไม่ควรที่จะเป็นกษัตริย์ครองวิเทหรัฐต่อไปเลย"  เมื่อเพลงขับได้แพร่ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าวิเทหราชแล้ว  เชื่อแน่ว่า  พระองค์ต้องหลงใหลในความงามของพระราชธิดาและคงมีพระประสงค์จะอภิเษกสมรสกับพระนาง  อุบายต่อไปที่จะทำแก่พระเจ้าวิเทหราชและมโหสธเป็นที่ของข้าพระพุทธเจ้า"

พระเจ้าจุลนีทรงพอพระทัยในอุบายของเกวัฏมาก  จึงรับสั่งให้นักขับร้องมาขับกล่อมในพระราชนิเวศน์ ทรงฟังอยู่ด้วยความเพลิดเพลินและพอพระทัยกับทรงหลงใหลในความงามของพระราชธิดาแห่ง
ปัญจาลนครตามบทขับ  ทรงใคร่จะได้พระนางมาเป็นอัครมเหสี  จึงรับสั่งถามพวกนักขับร้องว่า  "ราชธิดาของพระเจ้าจุลนีทรงมีพระรูปโฉมงามมากอย่างที่ท่านขับร้องนี้จริงหรือ ?"

นักขับร้อง  "ขอเดชะ  ข้อความบทนี้  ยังพรรณนาความงามของพระนางไม่ถึงหนึ่งในร้อยในพันของความงามที่ปรากฏแก่พระนางจริง ๆ  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชตรัสว่า  "เราจะส่งสาสน์ไปกราบทูลพระเจ้าจุลนี  เพื่อขอราชธิดาเป็นอัครมเหสีของเรา"

นักขับร้องที่ออกไปจากราชสำนักของพระเจ้าจุลนี  ได้นำพระดำรัสของพระเจ้าวิเทหราชที่ตรัสแก่ตน มากราบทูลพระเจ้าจุลนีให้ทรงทราบ

เกวัฏเมื่อทราบว่า  พระเจ้าวิเทหราชมีพระประสงค์ตามอุบายที่ตนวางไว้เช่นนั้น  จึงรับอาสาพระเจ้าจุลนีนำบรรณาการไปถวายพระเจ้าวิเทหราช  และกำหนดวันที่จะเชิญเสด็จไปทำพิธีอภิเษกสมรส

ข่าวลือไปทั่วพระนครมิถิลาว่า  พระเจ้าจุลนีกับพระเจ้าวิเทหราชจะผูกสัมพันธไมตรีต่อกัน  โดยพระเจ้าจุลนีจะพระราชทานพระราชธิดาของพระองค์แด่พระราชาวิเทหะ  และได้ทราบว่า  เกวัฏปุโรหิตจะมาเฝ้า เพื่อกำหนดวันอภิเษก

ข่าวลือนี้ได้ยินไปถึงพระราชวิเทหะ  และมโหสธบัณฑิต  เกวัฏจะมาไม้ไหนอีก  แต่ก็ได้เตรียมการวางแผนการแก้ไขไว้แล้วด้วยความไม่ประมาท


.................................


(ยังมีต่ออีก)