วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๑๕)


๑๓.  นครกัณฑ์

ครั้นพระเวสสันดรได้ทรงสดับคำของเหล่าประชาราษฏร์ทูลอาราธนาให้ทรงลาผนวช  เสด็จครองราชสมบบัติดังนั้น  จึงทูลถามพระราชบิดาว่า  "ข้าพระบาทได้ทรงครองราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรม  ไฉนฝ่าพระบาทและชาวนครสีพี  จึงพร้อมใจกันเนรเทศข้าพระบาทเสียจากราชอาณาเขตเล่า ?"

พระเจ้าสญชัย  "ลูกรัก  การที่พ่อเชื่อคำชาวสีพีให้ขับไล่ลูกผู้หาความผิดมิได้เช่นนี้  เป็นการที่พ่อได้กระทำรุนแรงเกินไป  นับเป็นความผิดของพ่อ  ชึ้นชื่อว่าบุตรผู้มีกตัญญูกตเวทีควรที่จะยอมสละชีวิต  ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์โศกของบิดามารดาและพี่น้องได้  เพราะฉะนั้น  ลูกไม่ควรถือโทษพ่อ  จงทำตามคำพ่อ  ลาผนวชจากเพศฤษีกลับเป็นกษัตริย์ตามเดิมเถิด"

เมื่อพระราชบิดาตรัสอยู่อย่างนี้เป็นครั้งที่สอง  พระเวสสันดรจึงทรงรับคำ  แล้วเสด็จเข้าในบรรณศาลา  ทรงเปลื้องเครื่องดาบสบริขารออกเก็บไว้  แล้วทรงผ้าขาวผ่องใสดุจสีสังข์  เสด็จออกนอกบรรณศาลา  ทรงดำริว่า  สถานที่นี้เราบำเพ็ญสมณธรรมมาได้  ๙ เดือน  ๑๕  วัน  เป็นที่เรายึดยอดพระบารมีบำเพ็ญทานจนเกิดแผ่นดินไหว  จึงทรงทำประทักษิณดำเนินเวียนพระบรรณศาลาสามรอบ  แล้วหยุดประทับที่หน้ามุข  ถวายนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์
ครั้นแล้ว  เจ้าพนักงานภูษามาลา  ก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตน  เช่น  เจริญพระเกษาและพระมัสสุเป็นต้นตามควรแก่ราชกิจ  แล้วก็พร้อมกันถวายอภิเษกให้ขึ้นครองราชสมบัติในพระนครสีพีสืบต่อไป  และโดยนัยเดียววกันนี้เจ้าพนักงานฝ่ายหญิงก็ได้ถวายการปฏิบัติแก่พระนางเจ้ามัทรีตามราชพิธีดุจกัน
สมเด็จพระเวสสันดรบรมราชา  พระองค์ทรงระลึกย้อนถึงชีวตผจญความลำบากกับพระนางมัทรีมาในป่าใหญ่  จึงให้ประกาศทั่วไปว่าให้ประชาชนทุกคนที่มาอยู่ในบริเวณเขาวงกตนี้มีการมหรสพรื่นเริงกันให้เต็มที่
ส่วนพระนางมัทรี  ไม่มีอะไรจะเป็นที่ทรงพระปรีดาปราโมทย์เท่ากับได้ประสบพบลูกรักทั้งสองพระองค์  จึงตรัสว่า  "ลูกรักทั้งสอง  เมื่อพราหมณ์พาลูกไปแล้ว  แม่ก็ได้แต่ตั้งใจปรารถนาว่าอยากจะพบลูกทั้งสองอีก  จึงตั้งใจบำเพ็ญวัตจริยา  คือบริโภคอาหารวันละหนเดียว  นอนบนแผ่นดินเป็นนิจ  ก็ได้ประสิทธิสมประสงค์ในวันนี้เอง  ขออำนาจบุญบารมีของแม่จงคุ้มครองลูก  และขอให้สมเด็จพระเจ้าปู่พระเจ้าย่าจงปรานีชุบเลี้ยง  บุญกุศลอันใดของแม่ก็ดี  ของพ่อก็ดี  ที่มีอยู่  จงส่งผลดลบันดาลให้ลูกจงอย่ารู้เจ็บ  อย่ารู้ไข้  จงมีพระชนมายุยืนนานเถิด"

สมเด็จพระเวสสันดรและพระนางมัทรีบรมราชินีนาถ  ก็ได้เสด็จสู่ค่ายหลวงที่ประทับแห่งสมเด็จพระบรมชนกาธิราช  ด้วยพระราชอิสริยยศใหญ่  ด้วยประการฉะนี้

ต่อจากนั้นกษัตริย์ทั้งหมด  พร้อมด้วยราชบริพารจำนวนใหญ่ก็เสด็จเที่ยวชมภูเขาลำเนาไม้เป็นที่สำราญพระราชหฤทัยประมาณเดือนหนึ่ง และด้วยเดชะพระเมตตาแห่งพระมหาเวสสันดรบันดาลให้เหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายในป่า  อยู่อย่างสงบระงับ  ไม่ข่มเหงเบียดเบียนซึ่งกันและกัน  ต่างก็มาประชุมกันเป็นอันเดียว  แล้วก็แสดงความอาลัยโศการ่ำไห้ด้วยความเสียดายที่พระองค์จะต้องเสด็จจากไป

ครั้นได้เวลาสมควรที่จะนำขบวนกลับได้แล้ว  ขบวนทัพที่ต้อนรับสมเด็จพระเวสสันดรก็เคลื่อนออกจากเขาวงกต  มาตามทางที่จัดทำไว้สิ้นระย  ๖๐  โยชน์  ก็บรรลุถึงพระนครเชตุดร  พอสมเด็จพระเวสสันดรทรงระลึกถึงยาจก  พระอินทรีก็บันดาลให้ฝนตกลงมาเป็นรัตนมณีของมีค่าเหลือคณานับ  ก็เป็นอันสมกับพรที่ทรงขอไว้ตามที่กล่าวมานั้นทุกประการ  พระองค์จึงออกประกาศว่า  ฝนนี้ตกลงบ้านของผู้ใด  ผู้นั้นก็จงมีสิทธิ์เป็นเจ้าของเถิด  ส่วนที่เหลือก็ให้เก็บเข้าไว้ในท้องพระคลังเป็นสมบัติหลวงสืบต่อไป

เรื่องนี้เก็บความจากเสสันดรชาดก  คติธรมที่ได้จากเรื่องนี้  คือ  เมตตา  การเสียสละ


...............................



จาก....หนังสือทศชาดชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์












วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๑๔)


๑๒.  ฉกษัตริย์

เสียงกองทัพที่ยกมาดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณป่า  ได้ยินถึงพระเวสสันดร  แล้วทำให้พระองค์ตกพระทัย  สำคัญว่าเป็นเสียงกองทัพศัตรูยกมาจับพระองค์  จึงทรงพาพระนางมัทรีขึ้นไปบนยอดเขา  เพื่อทอดพระเนตรดูให้รู้แน่  พระนางมัทรีทรงพิจารณาดูแล้วก็ทรงทราบได้ว่ามิใช่ศัตรู  จึงตรัสว่า  "มิใช่กองทัพศัตรูยกมา  พวกศัตรูไม่มีที่จะมาย่ำยีพระองค์ได้  เหมือนไฟในห้วงน้ำ  ย่อมไม่อาจติดขึ้นได้ฉะนั้น"  จึงทำให้พระเวสสันดรบรรเทาความหวาดระแวงลงได้  แล้วจึงเสด็จพาพระนางมัทรีลง ประทับนั่งหน้าบรรณศาลา  โดยมีพระมัทรียอดชายาประทับอยู่อีกแห่งหนึ่งต่างหาก

พระเจ้าสญชัยทรงทำความตกลงกับสมเด็จพระนางผุสดี  "ถ้าเราจะเข้าไปพร้อมกัน  อาจทำให้มีการเศร้าโศกกรรแสงกันเป็นการใหญ่  ตัวเราจะเข้าไปผู้เดียวก่อน  เมื่อพระน้องทรงเห็นเป็นเวลาสมควรแล้วจึงเสด็จตามเข้าไปเถิด"

ขณะที่พระเจ้าสญชัยเสด็จเข้าไปใกล้พระอาศรม  พระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นทรงจำได้  จึงรีบเสด็จลุกออมาต้อนรับถวายอภิวาท  ส่วนพระนางมัทรีก็มิได้รีรออยู่ช้า  รีบเสด็จมาถวายความเคารพเช่นเดียวกัน  ทั้งสามกษัตริย์พบกันด้วยความปีติยินดีจนไม่รู้ที่จะตรัสประการใด

เมื่อค่อยคลายสะอื้นไห้ลงได้บ้างแล้ว  ก็ได้ทรงสนทนาถามถึงทุกข์สุขความเป็นไปตามสมควรแก่พระราชอัธยาศัย  ครั้นได้เวลาพอสมควรก็ปรากฏว่า  สมเด็จพระราชมารดาผุสดีเสด็จเข้ามาอีก  พระเวสสันดรและพระนางมัทรีต่างก็รีบลุกไปต้อนรับอภิวาท  ทันใดนั้นพระนางมัทรีทรงเหลือบเห็นพระชาลีและพระกัณหาเสด็จตามเข้ามา  คราวนี้เองพระนางลืมตัวโผวิ่งเข้าไปหาร้องครวญด้วยเสียงอันดัง  พระกายสั่นระรัว  ถึงวิสัญญีล้มลงตรงที่นั้นเอง  ฝ่ายพระกุมารทั้งสองก็วิ่งโผเข้ามาหา  พอถึงพระมารดาก็สิ้นสมปฤดีล้มทับพระมารดา  พระเวสสันดรทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น  ก็พลันถึงแก่สิ้นสติสลบลงตรงที่นั้น  แม้พระเจ้าสญชัยและพระนางผุสดีก็มีอันเป็นไปเช่นเดียวกัน  เพราะไม่อาจกำหนดอดกลั้นความตื้นตันไว้ได้ พวกอำมาตย์ข้าราชบริพารที่ได้เห็นเหตุการณ์โดยใกล้ชิด  ต่างก็สิ้สติล้มลงระเนระนาดไปตาม ๆ  กัน

ท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า  หกกษัตริย์กับราชบริพารได้ถึงแก่วิสัญญีหมดเช่นนี้  ย่อมไม่มีใครจะลงมาประพรมชโลมกายใคร ๆ  ได้  จึงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมาเพื่อให้ความสดชื่นแก่ทุก ๆ  คน  บัดดลนั้นหกกษัตริย์พร้อมทั้งเหล่าบริวารก็ฟื้นชีวิตขึ้นมา

เมื่อประชาชนทั้งหมดฟื้นขึ้นแล้ว  ต่างก็เห็นเป็นมหัศจรรย์ไปตาม ๆ  กัน  พลางก็ประนมมือขึ้นนมัสการกล่าวพร้อมกันว่า  "ขอให้พระเวสสันดรและพระนางมัทรีจงเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย  ขอให้พระองค์จงรับตำแหน่งพระราชาของพวกเราเถิด"


................................


จาก....หนังสือทศชาติ  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์


วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๑๓)


๑๑.  มหาราช

เมื่อตาเฒ่าชูชกพาสองกุมารเดินทางทุรกันดารมารวมระยะทางได้ประมาณ  ๖๐  โยชน์  เทพเจ้าทั้งหลายได้เฝ้าอภิบาลพระกุมารตลอดทาง  เวลาพระอาทิตย์ตก  ตาชูชกก็ผูกสองกุมารไว้ที่กอไม้  ส่วนตัวแกขึ้นไปผูกเปลนอนอยู่บนค่าคบไม้  เพราะเกรงภัยจากสัตว์ร้าย  แต่ทว่าทุกราตรีจะมีเทพบุตรองค์หนึ่งจำแลงเพศเป็นพระเวสสันดร  และเทพธิดาองค์หนึ่งจำแลงเพศเป็นพระนางมัทรี  มาแก้เชือกพระกุมารทั้งสองออก  แล้วก็บริกรรมบีบนวดให้สรงสนานชำระกาย  เสวยอาหารทิพย์เลิศรส  ประดับประดาด้วยเครื่องอลังการ  แล้วให้บรรทมเหนือทิพยอาสน์  จนรุ่งอรุโณทัยจึงกลับให้เป็นอย่างเดิมตามที่ชูชกผูกไว้  แล้วเทพยดาก็หายไป  พระกุมารทั้งสองจึงปราศจากภัยพิบัติทุกประการ  ครั้นสว่างตาชูชกก็ลงจากต้นไม้ถวายน้ำและไม้สีฟันแก่พระกุมารทั้งสอง  แล้วให้เสวยผลไม้ตามที่หาได้  คราวนั้นชูชกพาพระกุมารทั้งสองไปลุถึงทางสองแพร่ง  ทางหนึ่งไปกาลิงครัฐ  ทางหนึ่งไปเชตุดร  ชูชกจะไปกาลิงครัฐแต่เทววดาดลใจให้หลงผิดไปถนัด  ให้เลี้ยวลัดหลงทางไปเชตุดร  ล่วงเวลาได้ครึ่งเดือนก็ลุถึงชานพระนคร

ณ  คืนนั้น  พระเจ้าสญชัยแห่งกรุงเชตุดรทรงพระสุบินว่า  ขณะพระองค์ประทับอยู่หน้าพระที่นั่งมหาวินิจฉัย  ได้มีบุรุษดำนำดอกปทุมสองดอกมาน้อมเกล้าถวายวางลงตรงพระหัตถ์  พระองค์ทรงรับมาทัดไว้บนพระกรรณ  พลันเกสรก็ร่วงลงตรงพระอุระพอดี  ครั้นทรงตื่นพระบรรทมจึงตรัสให้โหราจารย์เข้าเฝ้าแล้วให้ทำนาย  โหราจารย์ทูลถวายว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  พระราชวงศ์ของพระองค์ซึ่งจากไปนานแล้วจะเข้ามาเฝ้า"  พระองค์ทรงพระปรีดาปราโมทย์  จึงรีบเสด็จออกประทับ  ณ  พระที่นั่งมหาวินิจฉัย  ซึ่งขณะนั้นเทพเจ้าก็ได้ดลบันดาลให้ชูชกพาสองพระกุมารมาปรากฏอยู่หน้าพระลานหลวงพอดี

ขณะนั้น  พระองค์ทอดพระเนตรเห็นสองพระกุมารเข้าจึงตรัสว่า  "เด็กทั้งสองนั้นมีหน้าตาแจ่มใสอย่างดี  คนหนึ่งคล้ายพ่อชาลี  คนหนึ่งคล้ายแม่กัณหา"  ตรัสแล้วทรงสั่งอำมาตย์ให้ไปนำเข้ามาเฝ้า

พระเจ้าสญชัย  "พ่อพราหมณ์  ท่านนำเด็กสองคนนี้มาจากไหน  ท่านมาจากไหนจึงมาถึงที่นี่ในวันนี้ ?"

ชูชก  "ข้าแต่พระเจ้าสญชัย  กุมารทั้งสองนี้มีผู้บริจาคให้  ข้าพระองค์นำมาได้  ๑๕  วันเข้าวันนี้  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าสญชัย  "ท่านมีน้ำคำดูดดื่มเพียงไร  จึงมีคนให้เด็กเป็นทาน  ซึ่งใครเลยจะเชื่อท่านได้ว่าท่านไม่ได้ลักพามา  จงชี้แจงให้เราฟัง"

ชูชก  "ใคร ๆ  ก็ย่อมรู้จักท่านผู้มีพระทัยดุจน้ำในสาคร  คือ พระเวสสันดร  ซึ่งเสด็จอยู่ในป่า  ได้พระราชทานแก่ข้าพระองค์มา  พระเจ้าข้า"

ทันใด  บรรดาอำมาตย์ทั้งหลายในที่ประชุมนั้น  จึงกล่าวตำหนิพระเวสสันดรว่า  "กระไรเลย  ช่างให้มาได้  ช้าง  ม้า  วัว  ควาย  ทรัพย์สินเงินทองซึ่งเป็นของควรให้ก็ให้ไปเถิด  ทำไมจึงให้พระโอรสมาเช่นนี้เล่า"

พระชาลีทรงสดับดังนั้น  จึงกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระอัยกา  ถ้าหากว่าของที่ควรให้ไม่มี  บุคคลจะให้อะไรเล่า ?"

พระเจ้าสญชัย  "หลานเอ๋ย  เรารู้น้ำใจของพระบิดาของเจ้า เราไม่ติเตียนเลย  แต่อยากจะรู้ว่าพระบิดาของเจ้า  เมื่อบริจาคเจ้านั้น  มีอาการเป็นอย่างไรบ้าง ?"

พระชาลี  "พระบิดาทรงกรรแสง  แล้วเสด็จเข้าในบรรณศาลา  พระเจ้าข้า"

"อนิจจา"  พระเจ้าสญชัยตรัส  "หลานรักทั้งสองของปู่  ทำไมไม่ขึ้นมานั่งบนตักเหมือนแต่ก่อนเล่า ?"

"เวลานี้  กระหม่อมทั้งสองตกเป็นบ่าวของตาพราหมณ์นี้แล้ว  จึงทำเหมือนแต่ก่อนไม่ได้  ต้องเจียมตนอยู่อย่างนี้แหละ  พระเจ้าข้า ?

พระเจ้าสญชัย  "โธ่เอ๋ยหลานรัก  พ่อของเจ้าเขาตีราคาเจ้าไว้เท่าไร  จงบอกมาตามจริงเถิด ?"

พระชาลี  "กระหม่อฉันมีราคาเท่าทองหนึ่งพันแท่ง  น้องกัณหาตีราคาด้วย  ช้าง ม้า รถ ทาสชายหญิง  อย่างละร้อย  และทองร้อยแท่ง  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าสญชัย  "อำมาตย์  จงไปนำทรัพย์จำนวนนี้มามอบให้พราหมณ์รับเอาไปเถิด"

เมื่อทรงไถ่พระกุมารแล้ว  พระเจ้าสญชัยได้มอบปราสาทเจ็ดชั้นแก่ชุชกอีก  ชุชกก็ให้ทาสบริวารชายหญิงช่วยกันขนทรัพย์เข้าเก็บ  แล้วขึ้นสู่ปราสาทนั่งบนบัลลังก์ใหญ่  บริโภคอาหารอย่างดี  และนอนบนที่นอนใหญ่  ชื่นชมสมบัติของตน

ฝ่ายพระเจ้าสญชัย  จึงได้สรงสนานพระกุมารทั้งสอง  ประดับตกแต่งด้วยเครื่องทรง  ให้เสวยพระกระยาหาร  ครั้นเสร็จแล้ว  พระเจ้าปู่ทรงอุ้มพ่อชาลี  พระเจ้าย่าทรงอุ้มแม่กัณหา  ด้วยความชื่นชมโสมนัสยิ่งนัก  พลางก็ตรัสถามถึงความเป็นไปของพระเวสสันดรและพระนางมัทรี  ซึ่งพระกุมารก็กราบทูลบรรยายโดยละเอียด

พระชาลี  "ตามธรรมดาสามัญมนุษย์ทั่วไปย่อมรักใคร่ในบุตรเป็นที่สุด  แต่ไฉนพระเจ้าปู่และพระเจ้าย่าจึงไม่ทรงมีเยื่อใยในพระบิดาและพระมารดาของหม่อมฉันเอาเสียเลย  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าสญชัย  "จริงแล้วหลานรักเอ๋ย  เราได้ทำผิดไปแล้ว  เอาเถอะ  บัดนี้เรายินดียกโทษให้แก่พระบิดาของเจ้า  ทรัพย์สมบัติอันใดที่มีอยู่ในแว่นแคว้นแดนดินนี้  เรายินดียกให้แก่พระบิดาของเจ้าหมดสิ้น  ขอให้เขาเสด็จกลับมาเถิด"

พระชาลี  "พระบิดาไม่เสด็จมาหรอก  นอกจากว่าพระองค์จะเสด็จไปรับถึงที่  นั่นแหละจึงจะเสด็จมารับราชสมบัตินี้ได้"

พระเจ้าสญชัยได้ทรงสดับ  แล้วจึงมีพระราชโองการให้จัดกองทัพและป่าวประกาศทั่วไป  แล้วทรงให้ตัดหนทางจากกรุงเชตุดรถึงเขาวงกต  โดยให้มีความกว้าง  ๘  อุสภ  (โค ๘  ตัวเดินเรียงกันไปได้)  ให้ประดับประดาด้วยธงสีต่าง ๆ  กัน

ฝ่ายชูชกเพลินชมสมบัติจนลืมตัว  ได้บริโภคอาหารรสดีเกินประมาณ  จนไม่อาจให้อาหารย่อยได้  จึงทำกาลกิริยาตายในที่บริโภคนั้นเอง   พระเจ้าสญชัยจึงมีพระราชโองการให้ทำฌาปนกิจและให้ออกประกาศหาญาติผู้ตายให้มารับสมบัติ  แต่ไม่ปรากฏมี  จึงทรงให้รวบรวมเก็บเข้าพระคลังหลวงไว้ทั้งสิ้น  ครั้นถึงวันที่  ๗  จึงทรงให้ประชุมกองทัพจัดเป็นขบวน  ตั้งให้พระชาลีกุมารเป็นมัคคุเทศก์  แล้วเสด็จออกจากพระนครไป

ในขบวนทัพนี้  มีข้างมงคลหัตถีทรงเครื่องประดับอย่างดี  เป็นศรีสง่าอยู่ด้วย  ช้างนี้ก็คือช้างที่ทรงพระราชทานให้ชาวกาลิงครัฐไปนั่นเอง  เมื่อพราหมณ์ทั้ง  ๘  นำไปทำให้ฝนตกในแคว้นกาลิงครัฐดีแล้ว  พืชพันธุ์ธัญญาหารก็บริบูรณ์  จึงได้นำมาถวายคืน เพราะฉะนั้น  มงคลหัตถีนี้จึงบันลือเสียงดังกว่าช้างใด  เพราะดีใจที่จะได้พบพระเวสสันดรเจ้านายเก่าของตนนั่นเอง


.................................



จาก.....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย.... โดย  แปลก  สนธิรักษ์


























วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๑๒)



๑๑.  สักกบรรพ


เมื่อกษัตริย์ทั้งสองมีพระหฤทัยชื่นชมโสมนัสในการบริจากคทานร่วมกันเป็นอันดีดังนั้นแล้ว  ท้าวสักกเทวราชจึงทรงดำริว่า  ต่อไปอาจมีใครที่ใจชั่วช้าเข้าไปหาท้าวเธอแล้วทูลขอพระนางมัทรีไป  ซึ่งแน่นอนเหลือเกินว่าจะต้องทรงประทานให้ไม่เป็นปัญหา  ก็จะเป็นเหตุให้พระเวสสันดรถูกทอดทิ้งอยู่แต่พระองค์เดียวในป่าใหญ่  ไม่มีใครปรนนิบัติ  เราควรจะแปลงเพศเป็นพราหมณ์เข้าไปทูลขอไว้เสียก่อน  แล้วก็จะถวายคืนให้แก่ท้าวเธอ  เป็นการทำอาญัติตัดหนทางคนอื่นที่จะมาขอเสียก่อน  เมื่อทรงดำริชอบเช่นนี้แล้ว  พอราตรีสว่างแจ้ง  ก็ทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ไปปรากฏอยู่ในสำนักพระเวสสันดรทันที  หลังจากได้กล่าวสัมโมทนียกถาต้อนรับกันตามอัธยาศัยแล้ว  ท้าวสักกะจึงทูลว่า  "ข้าพเจ้าเป็นคนแก่  ที่มานี้ก็เพื่อจะทูลขอพระนางมัทรีมเหสีของพระองค์  ข้าพเจ้าเชื่อว่า  ห้วงน้ำใหญ่ย่อมไม่ขาดแห้งแล้งน้ำลงได้ฉันใด  น้ำพระทัยของพระองค์ก็คงเป็นเช่นนั้น  ขอพระองค์ได้ทรงโปรดยกพระนางมัทรีผู้มีสิริโฉมเลิศนารีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด"

พระเวสสันดร  "เรายินดี มิได้มีความหวั่นไหวอย่างใดเลยในเรื่องบริจาคทาน  เอาเถอะท่านพราหมณ์  เราขอมอบให้แก่ท่านด้วยความเต็มใจ"  ตรัสแล้วก็ทรงหยิบพระคนโทหลั่งน้ำลงบนมือพราหมณ์  เพื่อแสดงว่า  ได้ทรงยกให้แล้ว  "ท่านพราหมณ์เอ๋ย  ในโลกนี้ก็มีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นที่เรารักและปรารถนายิ่งกว่า
มัทรี  สิ่งนั่นคือพระสัพพัญญุตญาณอันวิเศษสุด  การที่เราเสียสละบุตรไปเมื่อวันวาน  ก็มิใช่ว่าจะเกลียดชังบุตรหามิได้  และวันนี้เรายกมัทรีให้ก็มิใช่ว่าจะสิ้นรักในพระนาง แต่เราเห็นว่าพระสัพพัญญุตญาณเป็นใหญ่กว่า  จึงกล้าเสียสละบริจาคของรักดุจชีวิตทั้งนั้นได้  หวังว่าท่านคงเข้าใจดี"  ตรัสดังนี้แล้วก็ทรงพิศดูพระพักตร์ของพระนางว่า  จะมีอาการผิดปรกติอย่างไรบ้าง  ฝ่ายพระนางทรงทราบในพระอัธยาศัยจึงทูลว่า  "ไฉนจึงทรงเพ่งข้าพระบาทดังนั้นเล่า  อันหม่อมฉันนี้เป็นสิทธิ์ของพระองค์ผู้สามีทุกอย่าง  เมื่อทรงปรารถนาจะขายก็ขายได้  จะฆ่าก็ฆ่าได้  ตามแต่ใจปรารถนา  ขอจงอย่าได้ระแวงพระทัยแต่อย่างใดเลย"

ณ  บัดนั้น  ท้าวโกสีย์ก็ทรงประจักษ์ชัดในพระอัธยาศัยอันประณีตของสองกษัตริย์  จึงตรัสสรรเสริญพระเกียรติคุเป็นนักหนา  ตรัสว่า  "ทวยเทพทุกสรวงสวรรค์จะพากันสาธุการว่า  พระองค์ได้ทรงทำสิ่งที่ใคร ๆ  ทำได้ยาก  การเสียสละเช่นนี้  คนไม่ดีทำตามไม่ได้  เพราะว่าทางของคนดีนั้น  คนไม่ดีตามไปได้ยากนัก  เพราะฉะนั้น  คนดีกับคนไม่ดีจึงได้รับผลต่างกันเสมอ"  ตรัสดังนี้แล้วก็ทรงดำริว่า  เราไม่ควรจะอยูช้า  แล้วจึงตรัสต่อไปว่า  "ข้าพเจ้าขอถวายพระนางมัทรีคืนแก่พระคุณเจ้า  ขอจงเป็นคู่บุญคู่บารมีกันไปจนถึงที่สุดเถิด"  แล้วจึงแสดงให้ทราบว่า  ตัวเธอเป็นท้าวโกสีย์  และยินดีจะประสาทพรให้ตามปรารถนา  ขอให้ทรงเลือกแล้วเสนอมาเถิด  จะประสาทให้ทุกประการ

พระเวสสันดรและพระนางมัทรีทรงสดับด้วยความปรีดา  แล้วจึงเสนอขอประทานพรรวมด้วยกัน  ๘  ประการ  คือ

  1. ขอให้พระราชบิดาทรงอภัยโทรและรับให้ครองราชสมบัติต่อไป
  2. ขอให้พระองค์อย่ามีจิตคิดพอใจในการฆ่าคน  แม้ว่าคนนั้นจะมีโทษผิดเพียงใดก็ตาม
  3. ขอให้พระองค์จงเป็นที่พึ่งของประชากรทุกถ้วนหน้า
  4. ขออย่าให้พระองค์ประพฤติผิดในประเวณี  ลุอำนาจแก่สตรีทั้งปวง
  5. ขอให้บุตรที่พลัดพรากไปนั้นจงมีอายุยืนนาน  และได้กลับมาครองราชสมบัติสืบต่อไป
  6. ขอให้อาหารอันเป็นทิพย์จงบังเกิดมี  นับแต่วันที่ข้าพระองค์เสด็จกลับถึงพระนคร
  7. ขอให้ได้โอกาสบริจาคทาน  สิ่งของทั้งปวงอย่ารู้จักหมดสิ้น  และขอให้จิตใจจงอย่าเกิดความเสียดายในภายหลัง
  8. ขอให้ได้เสด็จสู่สุคติสวรรค์ไปตามลำดับ  จนบรรลุถึงความสำเร็จพระโพธิญาณ  ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
พระอินทร์ทรงสดับแล้วก็รับรองว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น  ตอนสุดท้ายตรัสว่า  "ในไม่ช้า  พระราชบิดาก็จะเสด็จมาถึงที่นี่  ขออวยพรให้ท่านจงสำเร็จสมดังปรารถนาจงทุกประการ"  แล้วก็อันตรธานหายไป


......................................



วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๑๑)


๙.  มัทรี

การที่พระเวสสันดรทรงบริจาคปิยบุตรทั้งสองนั้น  นับเป็นประวัติการณ์ยิ่งใหญ่  ที่ไม่มีสามัญชนคนใดจะกระทำได้ง่ายนัก  จึงทำให้เกิดโกลาหลหวั่นไหวไปถึงพรหมโลก  ทวยเทพดาในราวป่าหิมวันต์  ได้สดับเสียงรำพันของกุมารทั้งสองแล้วแสนจะสงสาร  จึงปรึกษากันว่า  ถ้าพระนางมัทรีกลับถึงพระอาศรมแต่ยังวัน  เมื่อไม่ทรงเห็นพระราชบุตรก็จะทรงถาม  เมื่อได้สดับความก็จะเสด็จวิ่งโลดแล่นไปด้วยความอาลัยในบุตรทั้งสองเป็นกำลัง  ก็น่าจะพึงเสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสนัก  จึงตกลงมอบหน้าที่ให้เทพบุตรทั้งสามแปลงเพศเป็นราชสีห์  เสือโคร่ง  และเสือเหลือง  ไปกั้นหนทางที่พระนางเสด็จกลับไว้  จนกว่าจะได้เวลาพลบค่ำจึงหลีกทางให้  พระนางจะเสด็จกลับได้ด้วยแสงจันทร์  และให้เทพทั้งสามนั้นคอยอารักขาอย่าให้มีภยันตรายใด ๆ  เกิดขึ้นแก่พระนางในระหว่างทางได้

วันนั้นตั้งแต่จากพระอาศรมมา  พระนางมัทรีได้มีพระหฤทัยหวาดอยู่ไม่ขาดระยะ  พระนางทรงเชื่อว่าความฝันนั้นเป็นลางร้าย  จึงรีบขวนขวายหามูลพลาหารเพื่อจะได้รีบกลับแต่วัน  แต่ก็ให้มีอันเป็นไปต่าง ๆ  นานา  เสียมหลุดจากพระหัตถ์  กระเช้าเลื่อนหลุดจากพระอังสา  พระเนตรเบื้องขวาก็เขม่นอยู่ริก ๆ  ต้นไม้ที่มีผลก็กลับพิกลเป็นไม่มี  อากาศครึ้มมืดมัวไปทั่วทิศ  พระนางทรงพรันจิตดำริในพระทัยว่า  "นี่เหตุไฉน  แต่ก่อนมาไม่เคยเป็น  วันนี้เห็นประหลาดนัก  ชะรอยจะมีเหตุเภทภัยแก่เราหรือไม่ก็แก่สองกุมาร  หรือมิฉะนั้นก็แก่พระสามี  จึงหันพระพักตร์มุ่งหน้ากลับมาพระอาศรม  พลันก็ทอดพระเนตรเห็นสัตว์ร้ายทั้งสามขวางอยู่ในหนทาง  พอพระนางเสด็จเข้าไปใกล้ก็ลุกขึ้นสะบัดขนน่าสะพรึงกลัว  ครั้นพระนางจะหลีกลัดไปทางอื่นก็ไม่ได้  เพราะข้างซ้ายมีสระ  ข้างขวามีบึงกั้นไว้  มีทางเดียวที่จะไปได้ก็ที่สัตว์ทั้งสามขวางอยู่  พระนางยิ่งคิดถึงพระราชบุตรและพระสามีเป็นกำลัง  ว่าป่านฉะนี้คงจะหิวโหยคอยหา  ในที่สุดพระนางจึงนั่งลง  ยกหัตถ์ขึ้นวันทาและตรัสว่า  "ข้าแต่พญามฤคราชทั้งสาม  ตูข้านี้เป็นสตรีที่ตั้งหน้าหาเลี้ยงพระสามีและราชโอรสโดยสุจริตธรรม  มิได้เคยกระทำความผิดหรือประมาทแต่อย่างใดให้เสียหน้าที่เลย  ขอจงเปิดหนทางให้ข้าพเจ้าเดินไปเถิด  ข้าพเจ้ายินดีจะแบ่งผลไม้ที่หาได้ในวันนี้ให้แก่ท่านทั้งสามครึ่งหนึ่ง"

เทพบุตรทั้งสามแลดูเวลา  พอกำหนดรู้ว่า  เป็นเวลาที่ควรเปิดทางให้พระนางได้แล้ว  ก็ลุกหลีกไป

คืนนั้นเป็นวันอุโบสถ  พระจันทร์ทรงกลดเต็มดวงสว่างไสว  พระนางรีบเสด็จมิรอช้า  พอถึงบริเวณพระอาศรมก็เริ่มแปลกพระทัยที่ไม่ทรงเห็นพระราชบุตรทั้งสองดังแต่ก่อน  ทั่วบริเวณดูเงียบเหงา  แม้แต่เสียงนกกาก็ไม่ปรากฏให้ได้ยิน  ชะรอยลูกรักของแม่จะเป็นไฉน  จะตายหรือว่าใครนำไปเสียแล้วเป็นแม่นมั่น  พระนางจึงรีบเสด็จตรงไปยังพระอาศรม ทรงเห็นแต่พระสามีประทับนิ่งอยู่  แต่หามีราชกุมารทั้งสองไม่  จึงทูลถามว่า  "ข้าแต่พระองค์  พระลูกรักทั้งสองหายไปไหน  ใครนำไป  หรือว่าวิ่งเล่นไปไกลในที่ลับ  ถูกนกใหญ่จับเอาไปเป็นภักษา  หรือย่างไรกัน  พระเจ้าข้า?"

พระเวสสันดรไม่ตรัสตอบประการใด  ทรงนิ่งเฉยอยู่  พระนางจึงทรงรำพันต่อไป  "เหตุไฉนพระองค์จึงไม่ตรัสแก่หม่อมฉัน  กลับทำให้หม่อมฉันยิ่งปวดร้าวใจหนักขึ้นเป็นทวี  ถ้าเป็นอย่างนี้มัทรีก็เห็นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว  พระเจ้าข้า"

ในที่สุด  พระเวสสันดรจึงตรัสคำแสร้งทำเป็นตัดพ้อว่า  "เจ้ามัทรีผู้มีรูปงาม ไฉนวันนี้จึงกลับเสียจนค่ำ  ไม่ห่วงลูกห่วงผัวเสียบ้างเลย  มาตกทุกข์ได้ยากอยู่ด้วยกันเท่านี้  ยังจะมาริประพฤติมิดีอีกหรือไร"

พระนางได้สดับดังนั้น  ดุจสายฟ้าฟาด  จึงรีบกราบทูลว่า  "ขอพระองค์ทรงโปรด"  แล้วก็ทรงเล่าเหตุการณ์ตามลำดับตั้งแต่ต้นจนจบ  ตอนท้ายจึงทูลว่า  "พระองค์ได้ทรงเห็นพระกุมารทั้งสองบ้างหรือ  ขอได้โปรดช่วยบอก  อย่าทรงหลอกมัทรีด้วยเรื่องเช่นนี้เลย  พระเจ้าข้า"

เมื่อเห็นว่าพระสามีไม่ยอมตรัสอะไร  พระนางจึงถวายบังคม  ลุกจากพระอาศรมเข้าไปในแนวป่า  เที่ยวเสาะแสวงหาร้องเรียกไปตามเรื่อง  เมื่อไม่ทรงประสบพบเห็นก็หันเสด็จกลับมาหาพระสามี  เมื่อพระสามีไม่ยอมตรัสอะไร  ก็รีบเสด็จออกไปอีกถึงสามครั้งสามคราว  ก็พอดีราตรีสิ้นไป

พออรุณเริ่มฉายขอบฟ้า  พระนางจึงเสด็จกลับมายังพระอาศรม  ทรงครวญคร้ำร่ำไห้ประหนึ่งว่าดวงหฤทัยจะสลายลง  ในที่สุดด้วยความเหนื่อยอ่อนเหลือกำลัง  ทั้งหมดความหวังประดังกับความเมินเฉยของพระสามี  พระนางมัทรีก็ถึงวิสัญญีภาพสลบลงตรงพระบาทมูลของพระสามีนั่นเอง

พระเวสสันดรตกพระทัยด้วยสำคัญว่าพระนางมัทรีสิ้นชีวิต  พระกายสั่นระรัวถึงกับตรัสออกมาได้ว่า  "โถ  แม่มัทรีเพื่อนยาก  เจ้ามาตายลงในขณะลำบากที่เป็นเวลาไม่สมควร  แล้วพี่จะทำอย่างไรกัน"  พลางก็เสด็จลุกจากอาสน์  ปราดเข้าไปประคองร่างของพระนางไว้  ทรงสัมผัสที่พระทรวงดูก็ทรงรู้ได้ว่ายังไม่ตาย  จึงวางลงแล้วรีบนำเอาน้ำมาประพรมลงไปให้สดชื่น  ประคองเศียรวางลงบนพระเพลา  แล้วทรงลูบพระพักตร์และทั่วพระวรกาย  พระนางสิ้นสติไปครู่ใหญ่กลับฟื้นขึ้นมาได้  พอรู้สึกพระองค์ดีก็รีบลุกขึ้นนั่งถวายบังคมทูลถามว่า  "พระลูกรักทั้งสองหายไปไหน  พระเจ้าข้า ?"

พระเวสสันดร  "ดูก่อนมัทรีที่รัก  ลูกรักทั้งสองพี่ได้ให้เป็นทานแก่พราหมณ์ชูชกไปแล้ว  ขอให้พระน้องจงหักใจทำความยินดีในทานร่วมกับพี่เถิด  แม้นเรามีชีวิตอยู่ก็คงจะได้ประสบกับพราหมณ์ชูชกและลูกทั้งสองของเราอีกเป็นแน่  อย่าโศกเศร้าเสียใจไปนักเลย  ขึ้นชื่อว่าสัปบุรุษ  เมื่อเห็นประโยชน์สูงสุดก็ควรเสียสละได้แม้ดวงหทัยของตนเองให้เป็นทาน  พี่เองปรารถนาพระโพธิญาณในภายหน้า จึงได้ให้ลูกรักเป็นทานไป  น้องเองก็ย่อมมีส่วนใหญ่ในการเสียสละนี้ด้วยเหมือนกัน  ขอจงทำใจให้เบิกบานอนุโมทนากับพี่ในครั้งนี้ด้วยเถิด"

พระนางมัทรีได้สดับดังนั้น  ความอัดอั้นตันพระทัยก็คลายลง  เมื่อทรงระลึกไปในผลประโยชน์ที่สามีปรารถนา  ก็เห็นว่าภรรยาควรส่งเสริมด้วยความจริงใจ  จึงกลับทำพระทัยให้เป็นปรกติ  แล้วก็ค่อย ๆ  ยินดีและอนุโมทนา  แต่ก็ยังอดค่อนขอดไม่ได้ว่า  "โอ  น่าอัศจรรย์  พระองค์สามารถตัดใจยกปิยบุตรสุดที่รักให้เป็นทานแก่พราหมณ์ได้"

"ไฉนจึงกล่าวอย่างนั้น แม่มัทรี"  พระองค์ตรัส  "ถ้าพี่ไม่ยกให้ด้วยใจเสียสละจริงแล้ว เหตุอัศจรรย์ก็จะไม่บังเกิดมี"  และพระองค์ก็ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนถึงพรหมโลกให้ทรงฟัง  พระนางก็ค่อยแจ่มแจ้งในพระหฤทัย  คลายความโศกอาลัยเสียสิ้น  และอนุโมทนาในมหาทานบริจาคของพระสามีด้วยใจจริง


...............................



















วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๑๐)


๘. กุมาร  (ต่อ)

สองกุมารได้สดับดังนั้น  ก็ตกใจไหวหวั่น  จึงพากันแอบไปหลังพระคันธกุฎีแล้วเสด็จหนีซอกซอนไปตามพงรก  ด้วยกลัวว่าตาชูชกจะมาตามจับตัว  ให้ตกใจสั่นระรัวไม่อาจแอบอยู่ในที่ใด ๆ  ได้  จึงพากันวิ่งไปทางโน้น  แล้วก็กลับมาทางนี้  จนในที่สุดก็มาถึงขอบสระโบกขรณี  จึงพากันลงไปในน้ำ  เอาใบบัวปิดพระเศียร  ซ่อนกายประทับยืนอยู่ในกระแสชลในสระนั้น

ฝ่ายชูชกเมื่อไม่เห็นสองกุมาร  จึงเอะอะขึ้นว่า  "ดูเถอะท่านพระเวสสันดร  พระองค์ประทานสองกุมารให้แล้ว  ครั้นพอกระหม่อมฉันทูลว่า  จะไม่พาไปหาพระอัยกาที่กรุงเชตุดร  แต่จะพาไปให้พราหมณีอมิตดาใช้ต่างทาส  กลับทำสัญญาบุ้ยใบ้ให้กุมารพากันหนีไปเสีย  แล้วกลับทำเป็นนั่งนิ่งไม่รู้ไม่ชี้  เจ้าข้าเอ๋ย  บรรดามนุษย์ในโลกนี้เห็นจะไม่มีใครขี้ปดมดเท็จเหมือนพระองค์อีกแล้ว"

พระเวสสันดร  "พราหมณ์เอ๋ย  อย่าวุ่นวายไปเลย  เอาเถอะเราจะนำกุมารทั้งสองมามอบให้"  ตรัสแล้วก็เสด็จลงตรงไปหลังบรรณศาลา  ตามรอยเท้าเรื่อยไปจนถึงสระโบกขรณี  ก็ทรงทราบได้ทันทีว่า  สองกุมารลงไปซ่อนตัวอยู่ในน้ำ  จึงตรัสเรียกว่า  "พ่อชาลีของพ่อเอ๋ย  ไยเจ้านิ่งเฉยอยู่เล่า  จงขึ้นมา  จงช่วยให้พ่อได้บำเพ็ญทานบารมีที่ประสงค์  ทั้งสองเจ้าจงเป็นดั่งนาวา  พาพ่อข้ามมหาสมุทรไปให้ถึงฝั่งดังปรารถนาเถิด"

พระกุมารชาลีได้สดับดังนั้น  ก็ทรงตัดสินพระทัยมั่นลงไปว่า  ตาพราหมณ์เฒ่านี้จะดีร้ายกะเราอย่างไรก็ตาม  ก็จงทำเอาตามปรารถนาเถิด  เราจะเสียสละบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่พระบิดา  ณ  บัดนี้  แล้วพระชาลีจึงโผล่พระเศียรแหวกน้ำขึ้นมา  คลานเข้าไปหมอบอยู่แทบพระบาทาของพระบิดา  แล้วทรงกรรแสงเป็นที่น่าสมเพชยิ่งนัก

พระเวสสันดรเมื่อทรงเห็นแต่พ่อชาลี  ไม่ทรงเห็นแม่กัณหา  จึงตรัสว่า  "พ่อชาลี  แม่กัณหาน้องเจ้าไปอยู่ไหนเล่า ?"

พระกุมารชาลี  "ข้าแต่พระบิดาบังเกิดเกล้า  ธรรมดาสรรพสัตว์  เมื่อเห็นภัยพิบัติมีมา  ก็ต้องพยายามรักษาตัวแหละยิ่งกว่าสิ่งใด  พระเจ้าข้า"

พระเวสสันดรจึงทรงดำริว่า  "ชะรอยลูกทั้งสองจะทำกติกาสัญญานัดแนะกัน"  แล้วจึงตรัสเรียกว่า  "แม่กัณหาลูกรักจงมาหาพ่อเถิด"

ดังนั้น  พระกุมารีกัณหาก็เสด็จขึ้นมาซบอยู่แทบพระบาทพระบิดาหลั่งอัสสุชลธาราลงบนพระบาทจนเปียกชุ่ม

พระเวสสันดร  มีพระหฤทัยแทบจะแตกสลาย  เอื้อมพระหัตถ์ลูบหลังทั้งสองกุมาร  แล้วทรงประคองให้ลุกขึ้นแล้วตรัสว่า  "เจ้าไม่รู้หรือพ่อนี้ปรารถนาจะบำเพ็ญทานบารมีให้ถึงที่สุด  ซึ่งจะไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่จะทำได้"  แล้วก็ทรงตีราคาค่าตัวของสองกุมารว่า  "ถ้าเจ้าอยากจะเป็นไทไม่เป็นทาส   ก็ต้องไถ่ตัวด้วยทองคำพันแท่ง  ส่วนเจ้านั้นเป็นหญิงมีค่ามาก  จักต้องไถ่ ตัวด้วยจำนวนทาสชายหญิง  และช้างม้าโคอุสภอย่างละ  ๑๐๐  ถ้วน  พร้อมกับทองคำ  ๑๐๐  แท่ง "  ตรัสแล้วก็ทรงจูงหัตถ์สองกุมารมายังพระกุฎี  ตรัสเรียกชูชกมาว่า  "พราหมณ์เอ๋ย  เชิญมานี่เถิด"  พระองค์ทรงหยิบพระเต้าอุทกพร้อมกับตั้งปณิธานจิตมั่นต่อพระสัพพัญญุตญาณ  แล้วหลั่งลงในมือพราหมณ์  เพื่อแสดงว่าได้มอบสองกุมารให้แล้ว  ณ  บัดนั้น

ชูชกดีใจ  หันเข้าไปในป่า  เอาปากกัดเถาวัลย์ลากลงมา  แล้วก็ผูกพระหัตถ์ซ้ายขวาของสองกุมารเข้าด้วยกัน  ถือปลายเถาวัลย์แล้วก็ลงไม้เรียว  ฉุดกระชากลากเอาไป  เสียงไม้เรียวดังขวับเควี้ยว  เนื้อของสองกุมารก็แตกโลหิตไหลเป็นทาง  พอแกเฆี่ยนองค์น้อง  องค์พี่ก็เอาหลังรับเอาไว้  พอเฆี่ยนองค์พี่  องค์น้องก็เอาหลังรับไว้  ยิ่งทำให้ตาชูชกเดือดดาลเป็นการใหญ่  ดึงไปเฆี่ยนไปในหนทางไม่ราบเรียบ  แกเหยียบก้อนหินพลาดหกคะมำคว่ำลงไป  เถาวัลยหลุดมือสองกุมารก็วิ่งกลับไปหมอบอยู่แทบเท้าพระบิดาสั่นระรัวไปทั้งองค์

สองกุมารพากันกราบทูลพระบิดาว่า  "ข้าแต่พระบิดา  ขออย่าเพิ่งประทานลูกให้ไปก่อน  รอจนกว่าลูกจะได้พบพระมารดาซึ่งเสด็จกลับมาในเวลาเย็น  เมื่อลูกและพระมารดาได้เห็นกันแล้ว  จึงค่อยประทานให้ไปเถิด"

พระเจ้าข้า   ข้าแต่พระบิดา  อีตาพราหมณ์แก่นี้มันแสนจะเหี้ยมโหด  สารรูปก็เต็มไปด้วยบุรุษโทษถึง  ๑๘  ประการ  คือ

  1. ฝ่าเท้าทั้งสองข้างใหญ่โค้งคด
  2. เล็บทั้งหมดดำเป็นหนองเน่า
  3. น่องทู่  ยู่ขึ้นยานลงเป็นกระติกย้อย
  4. ฝีปากบนหุบย้อยหุ้มฝีปากล่าง
  5. น้ำลายไหลเป็นยางยืดทั้งสองแก้ม
  6. เขี้ยวงอกแยกแย้มบนปากเหมือนเขี้ยวหมู
  7. จมูกฟุบยุบอยู่ดูน่าชัง
  8. ท้องพลุ้ยเป็นกะเปาะตั้งดังหม้อใหญ่
  9. สันหลังไหล่ค่อมคดโกงหัก
  10. ตาถล่นลึกทรลักษณ์  ข้างหนึ่งเล็ก  ข้างหนึ่งใหญ่ไม่เท่ากัน
  11. หนวดเคราดังทองแดงดูน่ากลัว
  12. ผมเหลืองสลัวดังสีลาน
  13. ตามตัวสะพรั่งด้วยเส้นเอ็นนูนเกะกะ
  14. มีต่อมแมลงวันและตกกระดั่งโรยงา
  15. ตาเหลือกเหล่เหลืองเหมือนตาแมว
  16. คอ  หลัง  และสะเอวคดค่อม
  17. เท้าทั้งสองโกงกางเกะกะ  (ขาเก)
  18. ขนหยาบแข็งดังแปรงหมู
"ลักษณะอย่างนี้ผิดมนุษย์ธรรมดา  น่าจะเป็นยักษ์มากกว่า  พระบิดาไม่สงสารลูกแล้วหรือ  จึงทรงนิ่งเฉยไม่นำพา  ปล่อยให้มันมาเฆี่ยนตีเอาตามใจชอบ  ถึงอย่างไรก็ขอโอกาสให้ลูกทั้งสองได้พบพระมารดาก่อนเถิด  พระเจ้าข้า"

พระเวสสันดรทรงนิ่งอั้นตันพระหฤทัย  พระชาลีจึงทรงคร่ำครวญต่อไปว่า  "ตาเฒ่าแกเฆี่ยนตีลูกนี้ไม่เดือดร้อน  กระหม่อมฉันเป็นชายย่อมทนได้เป็นธรรมดา  แต่ทุกข์ที่พระน้องกัณหากับพระมารดาจะไม่ได้พบกันนี่สิร้ายนัก  พระมารดาจะทนมีชีวิตอยู่อย่างไรกัน  ตั้งแต่เสด็จกลับมาพอไม่เห็นหน้าลูกรักก็คงจักเศร้าโศกสุดพรรณนา  ข้าแต่พระบิดา  ไฉนพระองค์จึงตัดได้ไม่รู้สึกเสียบ้างเลย"  ก็พอดีตาชูชกตามมาถึง  แกก็เข้ามาดึงฉุดคร่าพาเอาไปอีก  พระชาลีจึงร้องสั่งพระบิดาเป็นครั้งสุดท้ายว่า  "ได้โปรดบอกพระมารดาด้วย  ขอให้ทรงดูตุ๊กตาช้างม้าและโคแทนลูกไปก่อน  จะช่วยผ่อนความเศร้าโศกลงไปได้บ้างเป็นแน่  ก็แต่ว่าเมื่อไรเล่าจึงจะได้พบกันอีก  พระแม่จ๋า"

พระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นสองกุมารถูกฉุดกระชาก  และโบยตีไปต่อหน้า  พระหฤทัยของพระองค์ปวดร้าวแทบจะพินาศ  จึงรีบเสด็จเข้าในบรรณศาลา  พลางก็ทรงพระปริเทวนาถึงสองกุมาร  พระองค์ทรงระลึกเห็นภาพที่สองกุมารจะต้องประสบกับความลำบากทุกขเวทนาในการเดินทาง  เช่น  ต้องเดินเท้าเปล่า  ต้องหิวโหยในเวลาอาหาร  ทั้งยังถูกพราหมณ์ใจร้ายเฆี่ยนตีอย่างทารุณ  ทำให้พระองค์รู้สึกโกรธแค้น  และทรงดำริเลยไปว่า  "เออ กูจะถือธนูและเหน็บพระแสงตามไปเอาลูกคืนมาเสียจากพราหมณ์ใจร้าย"  แต่แล้วก็กลับพระทัยหวนคิดไปว่า  "ทุกข์ที่ลูกถูกเฆี่ยนตีนั้นไม่ใช่เหตุสำคัญ  การบริจาคทานไม่สำเร็จต่างหากเป็นเรื่องสำคัญที่สุด  ซึ่งเราควรจะพยายามให้สำเร็จลงให้จงได้ในชีวิตนี้"

สองพี่น้องถูกพราหมณ์ชูชกพาไปโดยรีบด่วน  เพื่อจะได้ห่างไกลออกไปจนพระนางมัทรีตามไม่ทัน  เพราะฉะนั้น  แกจึงเร่งลงไม้เรียวไม่ขาดระยะ  กุมารทั้งสองแสนเจ็บปวดทั่วสรรพางค์  วิ่งพลาง  ร้องไห้พลาง  ทั้งเหนื่อยทั้งหิว  พระชาลีจึงตรัสกับน้องว่า  "เด็กผู้ใด  กำพร้าพ่อ  แต่ยังมีแม่  หาได้ชื่อว่ากำพร้าไม่  เด็กผู้ใด  กำพร้าแม่  แต่ยังมีพ่อ  ก็เหมือนกำพร้าทั้งพ่อทั้งแม่  เพราะมีพ่อก็ไม่เหมือนแม่"

สำหรับพระกัณหานั้นน่าสงสารมาก  เพราะเป็นเด็กผู้หญิง  เดินพลางวิ่งพลาง  ร้องไห้พลาง  เฝ้าแต่เรียกหาแม่ทุกระยะ  เมื่อเวลาใกล้ค่ำลงก็ยิ่งทรงรำพันมากขึ้น  เพราะเคยเห็นแม่กลับจากป่า เอาผลไม้มีรสดีส่งให้รับประทาน  ป่านฉะนี้แม่จะเห็นใคร

การเดินทางในวันนั้น  ยังไม่ทันพ้นประตูเขาวงกตไป  ก็พอดีค่ำลงตรงกลางป่านั้นเอง


................................




จาก.......หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย.......แปลก  สนธิรักษ์






















.........................................




















วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๙)



๘.  กุมาร

ตาเฒ่าชูชกมุ่งหน้าดุ่มเดินไปตามทางที่พระอัจจุตฤษีบอก  ด้วยความหวังตั้งใจมั่นที่จะได้สองกุมารใช้เป็นทาส  จนตราบเท่าถึงขอบสระโบกขรณีสี่เหลี่ยมจตุรัสริมบริเวณพระอาศรม  ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำ  แกจึงหยุดคิดขึ้นได้ว่า  วันนี้เย็นมากแล้ว  พระนางมัทรีคงกลับจากป่ามาถึงที่อยู่เรียบร้อยแล้ว  เราอย่าด่วนเข้าไปเลย  เพราะว่าธรรมดาสตรีย่อมมีนิสัยตระหนี่เหนียวแน่น  และมักขัดขวางการบริจาคทาน  อย่ากระนั้นเลย  วันพรุ่งนี้เมื่อพระนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้  เราจึงจะเข้าไปเฝ้าพระเวสสันดรทูลขอสองกุมาร  แล้วก็ฉวยโอกาสพาสองกุมารหนี  ด้วยอุบายอย่างนี้จึงจะสำเร็จสมปรารถนา

ในคืนนั้น  พระนางมัทรีทรงสุบินว่า  มีบุรุษดำ  กำยำร่างใหญ่  นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์  ทัดดอกไม้แดง  ถือดาบ  บุกรุกเข้ามาในบรรณศาลา  จับพระนางที่ชฎา  แล้วฉุดกระชากลากออกมา  ผลักพระนางให้ล้มหงายบนแผ่นดิน  แล้วก็ควักเอาพระเนตรทั้งสองข้าง  ตัดเอาพระพาหาทั้งขวาซ้าย  และผ่าพระอุระล้วงเอาดวงหทัยไป  พระนางสะดุ้งพระทัยผวาตื่น  พระวรกายสั่นด้วยฝันร้าย  จึงรีบเสด็จไปหาพระเวสสันดรเพื่อทูลขอให้ช่วยทำนาย  พอเสด็จถึงจึงทรงเคาะประตูทั้ง ๆ  ที่ยังไม่สว่าง

พระเวสสันดรจึงตรัสถาม  "ฬครกันนั่น  มาเคาะประตูทำไมในยามดึกดื่น ?

พระนางมัทรี  "กระหม่อมฉันมัทรี  พระเจ้าข้า"

พระเวสสันดร  "เอ๊ะ  นี่เธอลืมกติกาสัญญาเสียแล้วหรือ  ว่าเราจะไม่ไปมาหาสู่กันในเวลามืดค่ำ  ไฉนจึงได้มาหาเราในเวลาอันไม่สมควรเช่นนี้"

พระนางมัทรี  "หม่อมฉันฝันร้ายเหลือเกิน  พระเจ้าข้า"

พระเวสสันดร  "ถ้ากระนั้นก็จงอยู่ข้างนอก  แล้วบอกมาให้แจ่มแจ้งเถิดว่า  ฝันร้ายเป็นประการใด ?"

พระนางจึงทูลบรรยายฝันร้ายให้ทรงฟังทั้งที่ยังประทับอยู่นอกพระกุฎี

พระเวสสันดรได้สดับแล้วก็ทรงดำริว่า  "เราจะได้บำเพ็ญทานบารมี  พรุ่งนี้จะมียาจกมาขอสองกุมาร  เราจะปลอบมัทรีให้หายกลัวแล้วกลับไป"  แล้วจึงตรัสว่า  "ดูก่อนแม่มัทรีที่รัก  เธอฝันร้ายเพราะธาตุพิการ  เธอเหนื่อยอ่อนนอนไม่สำราญจึงเป็นไป  อย่ากลัวเลยเรื่องที่ฝัน  สงบอกสงบใจแล้วกลับไปกุฎีเสียเถิด"

พอราตรีสว่างแจ้ง  พระนางมัทรีก็ทรงจัดแจงทำกิจวัตรทุกอย่างเสร็จหมด  แล้วก็ทรงสวมกอดพระราชโอรสและโลมลูบจูบกระหม่อมด้วยความรัก  พลางก็ทรงประทานพระโอวาทว่า  "แม่จะเข้าป่าหาผลไม้นะลูกรัก  ระวังเนื้อระวังตัวอย่าประมาท  เมื่อคืนแม่ฝันร้ายยิ่งนักจักมีภัย  อย่าพากันไปเล่นให้ไกลพระอาศรมนะลูกนะ"  ครั้นแล้วก็ทรงพาไปเฝ้าพระราชสามีทูลว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  ขอพระองค์จงอย่าประมาทอาจมีภัยแก่ลูกรัก  หม่อมฉันวิตกนักว่าจะมีภัย  ขอได้โปรดกรุณาประทานความปลอดภัยด้วยเถิด"  เมื่อตรัสฝากฝังดังนี้แล้ว  ก็ทรงหิ้วกระเช้าและถือเสียม  พระเนตรเปี่ยมด้วยอัสสุชลธาราเสด็จเข้าป่าหาเผือกมันตามแนวไพร

ฝ่ายตาชูชกแก่นึกคะเนดูว่า  พระนางมัทรีคงจะเสด็จเข้าป่าไปแล้ว  แกก็รีบออกจากที่พักมุ่งหน้าตรงไปยังอาศรมของพระเวสสันดร  ซึ่งขณะนั้นพระองค์กำลังเสด็จประทับนั่งอยู่บนแผ่นศิลาพร้อมด้วยพระกุมารทั้งสอง  พอพระองค์ทอดพระเนตรเห็นชูชกเดินเข้ามาก็ทรงทราบได้ว่า  ถึงเวลาแล้วที่จะได้บำเพ็ญทานบารมีที่ประสงค์  ทรงมีพระหฤทัยเบิกบานและตรัสว่า  "พราหมณ์เอ๋ย  เชิญท่านเข้ามาเถิด"  แล้วหันไปตรัสกับพระชาลีกุมารว่า  "พ่อชาลีลูกรัก  โน่นดูเหมือนมีคนเดินมา  ลักษณะท่าทางเหมือนพราหมณ์  พอรู้สึกดีใจ  ลูกจงต้อนรับให้แกเข้ามาเถิด"

พระชาลีกุมาร  "กระหม่อมฉันก็แลเห็นเหมือนกับเป็นพราหมณ์  ดูเหมือนแกมีความต้องการจะมาขออะไรสักอย่างหนึ่งแน่  แก่เป็นแขกของเราแล้ว  ลูกจะออกไปต้อนรับ"

ตาชูชกเห็นพระชาลีวิ่งมา  ก็เดาเอาว่า  นี่แหละคือราชโอรสของพระเวสสันดร  ควรที่เราจะข่มขู่ให้รู้จักกลัวเกรงเราเสียก่อนจะได้ไม่ลำบากในภายหลัง  พอกุมารเอ่ยคำต้อนรับว่า  "พ่อพราหมณ์ส่งย่ามส่งบริขารมาเถอะ  หนูจะช่วยรับ"  แกก็ขู่สำทับด้วยผรุสวาจาว่า  "เหม่  อ้ายเด็กน้อย  หลีกไป  หลีกไป"  พระกุมารได้สดับดังนั้นก็รู้สึกว่า  "อีตานี่ช่างหยาบคายเสียจริง ๆ  รูปร่างหรือก็อัปลักษณ์เต็มไปด้วยบุรุษโทษทุกประการ"  พลันตาแกก็เข้าถึงหน้าพระที่นั่งของพระเวสสันดร  แล้วกล่าวคำเป็นสัมโมทนียกถาว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ  พระองค์ทรงเกษมสำราญดีอยู่หรือ  พระเจ้าข้า ?"

พระเวสสันดร  "ดูก่อนพราหมณ์  เรามีความสุขสบายดี  ไม่มีโรคภัยอันตรายใด  ๆ  รบกวน  เชิญท่านเข้ามาในอาศรมของเราเถิด  เราขอต้อนรับท่านด้วยความยินดี  ผลไม้ต่าง ๆ  ทั้งน้ำผึ้งรสหวานของเรามีบริบูรณ์  เชิญท่านบริโภคตามปรารถนาเถิด  ตั้งแต่เรามาอยู่ป่านี้ยังไม่มีผู้ใดมาถึงที่อยู่ของเราเลย  ท่านมีธุระประสงค์สิ่งใดหรือ  จึงมาเป็นแขกคนแรกของเรา ?"

ชูชก  "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณา  กระหม่อมฉันมาก็เพื่อจะทูลขอพระกุมาทั้งสอง  ขอพระองค์ได้ทรงประทานแก่หม่อมฉันด้วยเถิด  พระเจ้าข้า"

พระเวสสันดร  "ดูก่อนพราหมณ์เอ๋ย  เรื่องการบริจาคทานแล้วเรามิได้หวั่นไหวเลย  เอาเถอะ  เรายอมยกให้  แต่ว่าขณะนี้พระนางมัทรีผู้เป็นมารดายังหาผลไม้อยู่ในป่า  กว่าจะกลับมาก็คงเป็นเวลาเย็น  เชิญท่านพักกับเราสักราตรีหนึ่งก่อนเถิด  เพื่อว่ากุมารทั้งสองจะได้รับการตกแต่งประดับประดาจากพระมารดาก่อน  รุ่งเช้าจึงค่อยพาไปนะท่านพราหมณ์"

ชูชก  "ข้าแต่ขัตติยฤษี  กระหม่อมฉันไม่อยากจะพักอยู่ที่นี่ อยากจะทูลลาไปในบัดนี้  เพราะว่า  มัทรีจะขัดขวางทางบริจาคทาน  กระหม่อมฉันไม่ขอพบกับพระนางมัทรี  แต่จะขอทูลลาไปในบัดนี้  ขอพระองค์ได้ทรงตรัสเรียกกุมารทั้งสองมาเถิด  พระเจ้าข้า"

พระเวสสันดร  "ถ้ากระนั้น ก็ขอให้ท่านจงพาสองกุมารตรงไปหาพระเจ้าสญชัยผู้เป็นอัยกา  ท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นหลานรัก  กำลังช่างพูดนารักน่าเอ็นดู  ก็จะทรงมีพระหฤทัยยินดี  และจักพระราชทานทรัพย์แก่ท่านเป็นอันมากนะ  พ่อพราหมณ์"

ชูชก  "ข้าแต่พระราชบุตรผู้ประเสริฐ  กระหม่อมฉันคงจะไม่พ้นพระราชอาญา  โดยจะต้องถูกกล่าวหาว่า  ฉกชิงลักพาเอาสองกุมารมา  อาจจะถูกขายเป็นทาสหรือประหารชีวิตเสียก็ได้  กระหม่อมฉันกลัวที่สุด  ก็คือจะถูกนางพราหมณีอมิตตาก่นด่าเอาจนย่อยยับ  อย่างนี้แหละ  พระเจ้าข้า"

พระเวสสันดร  "กระนั้นท่านจะพาเอาสองกุมารไปไหนกัน ?"

ชูชก  "จะไม่เอาไปขาย  จะมอบให้เป็นทาlของอมิตตาพราหมณี  พระเจ้าข้า"


......................................

(ยังมีต่ออีก)



































วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๘)


๖. จุลพน


พรานเจตบุตรหยุดยืนอยู่ที่ปากทาง  แล้วยกมือขวาขึ้นชี้พร้อมกับกล่าวว่า  "โน่นแน่ะท่านพราหมณ์  
ภูเขาคันธมาทน์  ภูเขาลูกนี้มีศิลาล้วน  พระเวสสันดรพร้อมทั้งพระนางมัทรีและราชโอรสประทับอยู่ที่ภูเขาลูกนี้  ท่านทรงเพศเป็นพราหมณ์  นุ่งห่มหนังเสือ  สวมชฏา  ถือเสียมสำหรับขุดหัวมันและไม้ขอสำหรับสอยผลไม้  ขอให้ท่านบ่ายหน้าตรงไปยังภูเขาลูกนี้เถิด

อนึ่ง  ภูเขาคั่นธมาทน์นั้น  มีต้นไม้หอมวิเศษ  ๑๐  ประการ  (ไม่ใช่ ๑๐ ประเภท  หรือ  ๑๐  ชนิด)  บางต้นมีรากหอม  บางต้นมีเปลือก  กิ่ง  ก้าน  และใบหอม  บางต้นมีแก่น  กระพี้  ผล  และดอกหอม  (ไม่ใช่ต้นเดียวหอมหมดถึง ๑๐ อย่าง)  ภูเขานี้มีต้นไม้กลิ่นหอมรวมกันแล้วได้ไม่น้อยกว่า  ๑๐  ประการ  จึงได้ชื่อว่า  "คันธมาทน์"

ในบริเวณอาศรมที่ประทับของพระเวสสันดร  มีหมู่ไม้ที่ให้ผลรับประทานได้  เช่น  มะม่วง  ขนุน  มะขวิด  สมอพิเภก   สมอไทย  มะขามป้อม  พุทรา  มะพลับ  มะซาง  มะสัง  มะเดื่อ  และองุ่นรสหวาน  กล้วยหอม  กล้วยงาช้าง  กล้วยน้ำว้า  กล้วยตีบ  ล้วนแต่มีรสหอมหวาน  รวงผึ้งที่ไม่มีแม่หวงแหน  ก็ห้อยแขวนอยู่ใต้กิ่งไม้  คนหยิบเอามาบริโภคได้โดยง่าย

"บริเวณที่ไม่ไกลนักจากพระอาศรมสถาน  มีสระน้ำสี่เหลี่ยมกว้างใหญ่พอประมาณ  มีน้ำเย็นใสสะอาด  ดารดาษด้วยดอกปทุมหลายอย่าง  มีนกกาเหว่ามาจับกิ่งไม้ใกล้ขอบสระ  เมารสดอกไม้ส่งเสียงจ้อไพเราะจับใจ  พอถึงฤดูดอกไม้บาน  เกสรดอกไม้ก็ร่วงลงบนใบบัว  มีรสหวานเกิดเป็นขัณฑสกร  ลมที่พัดมาจะพาละอองเกสรโปรยปรายทั่วบริเวณ  แมลงภู่บินว่อน  บันลือเสียงหึ่ง ๆ  อยู่โดยรอบ  เหล่าวิหคนกป่าพากันส่งเสียงขานขันรับกันระงมไพร  บ้างก็จับคู่ชูชมพลอดพร่ำกันอย่างเริงใจ  ทำให้บริเวณอาศรมสถานควรแก่การรื่นรมย์อย่างนี้ทุกวี่วัน"

ชูชกฟังคำพรรณนานั้นอย่างเพลินใจ  พอได้สติก็กล่าวขึ้นว่า  "ขอบคุณนักท่านพรานไพร  เออ  ก็ข้าว
สัตตุผงระคนน้ำผึ้งและข้าวสัตตุก้อนรสหวานอร่อย  นางอมิตดาเมียของลุงจัดให้มา  ลุงจะแบ่งปันให้เจ้าบ้าง  จงรับไว้เถิดหนา"

พรานเจตบุตร  "อย่าเลยท่านพราหมณ์ที่รัก  ข้าพเจ้ามีบริบูรณ์  ขอลุงจงรับน้ำผึ้งกับขาเนื้อทรายย่าง  เป็นเสบียงเดินทางไปเถิด  บ่ายหน้าไปทางนี้มีทางเดียวตรงดิ่งถึงอาศรมของพระอัจจุตฤษี  เมื่อลุงพราหมณ์ถึงอาศรมของท่านแล้ว  จงสนทนาวิสาสะกับท่านเถิด  แล้วท่านจะชี้ทางให้ต่อไป"

ชูชกแสนจะดีใจ  ทำประทักษิณอำลาพรานไพร  แล้วบ่ายหน้าตรงตามทิศทางที่จะไปยังอาศรมพระอัจจุตฤษี




๗.  มหาพน

ตาชูชกเดินมาตามทางที่เจตบุตรบอก  ก็บรรลุถึงอาศรมของพระอัจจุตฤาษี  แกจึงแวะเข้าไปสนทนาปราศรัยด้วยโดยสุภาพ

ชูชก  "ท่านดาบสผู้เจริญ  ท่านมีความสุขสบายดีอยู่หรือ  มูลผลาหารในป่านี้อุดมสมบูรณ์ไหม  โรคภัยอันตรายใด ๆ  ทั้งสัตว์ร้ายในป่า  คงจะไม่มารบกวนพระคุณท่านกระมัง   หรืออย่างไร ?

ฤาษี  "สบายดีท่านพราหมณ์  ผลหมากรากไม้อุดมสมบูรณ์  ป่านี้ไม่มีอันตรายใด ๆ  ทั้งเหลือบยุงบุ้งริ้นร่าน  ตลอดจนพาฬมฤคร้ายก็ไม่มีมารบกวนเรา  อยู่มาด้วยความปกติสุขนานนักหนาแล้ว  ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย  เออ  ก็นี่ท่านมาอย่างไร  และจะไปไหนกันจึงได้ดั้นดนมาจนถึงสำนักของเรา  นับว่าเป็นศรีสวัสดีดีแก่เรามาก  เชิญท่านมาข้างในเถิด  เราขอต้อนรับท่านด้วยความยินดี  น้ำท่ามีบริบูรณ์  เชิญชำระมือเท้าและอาบฉันตามประสงค์  เราตักมาจากหุบห้วยละหานอันสะอาด  ผลไม้ก็ยังมีอยู่ไม่ขาดและมากมาย  เชิญพ่อพราหมณ์ตามสบายทีเดียว  เชิญ  เชิญเถิด"

ชูชก  "ข้าแต่พระฤษี  ความอารีของท่านเป็นพระคุณยิ่ง  ข้าพเจ้าดั้นด้นมาถึงที่นี่  ก็ด้วยมีความปรารถนาจะไปยังสำนักของพระเวสสันดร  ซึ่งท่านได้พลัดพรากจากมาช้านาน  ผิว่าท่านได้ทราบสถานที่ประทับ  ก็ขอได้โปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบสักหน่อยเถิด"

พระฤาษีทราบได้ทันที  จึงตวาดขึ้นว่า  "เหม่  อ้ายพราหมณ์ถ่อย  จงบอกมาเสียดี ๆ  ว่ามึงนี้จะตามไปขออะไรจากพระเวสสันดรอีก  ตั้งแต่พระองค์จากพระนครมา  ก็หาได้มีทรัพย์สินสิ่งใดติดพระองค์มาแม้แต่น้อย  นอกจากลูกเมีย  มึงนี่มีสันดานเสีย  ขอเสียจนไม่เลือกหน้า  จงบอกมาเสียดี ๆ  ว่าจะขอมัทรีหรือราชโอรส"

ชูชก  "ช้า  ช้า  ข้าแต่พระอาจารย์  อย่าเพิ่งพาลโกรธเอาง่าย ๆ  อย่างนั้นเลย  ข้าพเจ้ามิได้มุ่งจิตคิดมาขอทานอย่างท่านว่า  เพราะเป็นการครหาเสียประเพณี  แต่ข้าพเจ้านี้มีอุดมคติว่า  การคบหาคนดีมีแต่ความสุข  การอยู่ร่วมกับคนดีไม่มีโทษ  มีแต่จะได้รับประโยชน์ความเจริญทุกเวลา  ตั้งแต่พระเวสสันดรเสด็จมา  ข้าพเจ้ายังไม่ได้พบเห็นพักตราพระองค์เลย  ให้รู้สึกระลึกถึงเป็นอย่างยิ่ง  มานี่ก็เพื่อจะได้พบท่านบ้าง  เพื่อจะได้เป็นทางแห่งความสุขสวัสดี  ผิว่าพระคุณเจ้าทราบสถานที่ประทับ  ก็จงเอื้อเอ็นดูแก่ข้าพเจ้าเอาบุญเถิด"

พระอัจจุตฤาษีได้ฟังดังนั้น  ก็สำคัญว่าเป็นความจริง  หลงเชื่อ  จึงกล่าวว่า  "ถ้ากระนั้นก็ดีแล้ว  เป็นความดีของท่าน  แต่ว่าวันพรุ่งนี้เถอะ  อย่าด่วนรีบร้อนไปเลย"

รุ่งเช้าพระฤาษีได้พาตาชูชกมายืนอยู่ที่ต้นทาง  พลางก็ยกมือขึ้นชี้แนวไพรโดยนัยดังที่กล่าวแล้วในกัณฑ์จุลพน  แต่มีความพิสดารขยายละเอียดออกไปอีก  นอกจากจะกล่าวถึงภูเขาคันธมาทน์  ภูเขาอัญชนะ  ต้นไม้  และสระน้ำแล้วยังกล่าวถึงปลาและสัตว์ป่าไว้อย่างน่าฟังอีกด้วย

เฒ่าชูชกได้ฟังคำพรรณนาถึงป่าไม้ใหญ่จบลงด้วยความยินดี  แล้วก็ทำประทักษิณแสดงความเคารพ
พระฤาษี  บ่ายหน้าตรงตามทิศที่ท่านชี้  ด้วยความมีใจกระหายที่จะได้พบพระเวสสันดร



...............................


















วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๗)



๕. ชูชก

ขณะที่กษัตริย์ทั้ง ๔ ประทับอยู่ในเขาวงกตเรียบร้อยแล้ว  ยังมีพราหมณ์คนหนึ่ง  ชื่อว่า  "ชูชก"  อยู่ในแคว้นกาลิครัฐ  ตำบลทุนนวิฏฐ์เลี้ยงชีพด้วยการขอทาน  รวบรวมทรัพย์ไว้ได้ประมาณ ๑๐๐ กษาปณ์  จึงนำไปฝากไว้กับเพื่อนพราหมณ์ผู้หนึ่ง  แล้วก็เที่ยวภิกขาจารไปตามวิสัย  เมื่อชูชกหายไปนานเข้า  เพื่อนพราหมณ์ผู้นั้นจึงเอาทรัพย์มาใช้จ่ายจนหมดสิ้น  ภายหลังชูชกกลับมาทวงคืนก็หาให้ไม่ทัน  จึงยกลูกสาวชื่อ  "อมิตดา"  ให้  ตาแก่จึงพานางอมิตดาไปอยู่ยังบ้านของตน

นางอมิตดาเป็นเด็กที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาดี  จึงปฏิบัติสามีได้ถูกต้องน่าพอใจ  พวกพราหมณ์หนุ่ม ๆ  ในหมู่บ้านนั้นเห็นเข้า  ก็รู้สึกริษยา  พากันดุด่าภรรยาของตน ๆ ว่า  "เห็นไหมว่า  นางอมิตดาเขาปรนนิบัติพราหมณ์ชราด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี  ทำไมเจ้านี้จึงประมาทเรา  ไม่เอาใจใส่ให้ความสุขเหมือนกับเขา"

วันหนึ่ง  ขณะที่นางอมิตดาไปตักน้ำ  ภรรยาพวกพราหมณ์เหล่านั้นพากันโกรธแค้น  ร่วมใจกันจะกำจัด
นางอมิตดาให้ไปเสียจากหมู่บ้านนั้น  จึงพากันไปที่ท่าน้ำ  ประชุมกันรุมด่าเป็นการใหญ่ว่า  "นางตัวดี  อีคนสวย  ดูเจ้าก็ยังเป็นสาวรุ่นอรุณี  ไฉนจึงได้สามีแก่ถึงปานนี้  บิดามารดาและญาติมิตรของเจ้าพากันงุบงิบยกเจ้าให้แก่พราหมณ์เฒ่าละซี  อนิจจา  เป็นการขาดเมตตาปรานีเสียจริงหนอ  น่าอัปยศอดสูใจเหลือเกิน  อยู่ร่วมกับผัวแก่ก็เป็นการขมขื่นน่าคลื่นไส้  ตายเสียดีกว่า  ถูงูกัดก็ยังดี  ถูกหอกแทงก็ยังดี  มิได้มีความเจ็บปวดเหมือนนอนนวดอยู่กับอีตาแก่แร้งทึ้ง  อนาถใจอะไรเช่นนี้  จะหยอกล้อเล่นหัวอะไรแต่ละที  มันจะมีรสสชาติอะไรกันนะแม่คุณ  ส่วนผัวหนุ่มเมียสาวนะ  เขาหยอกล้อกันแต่ละทีในที่ลับ  ความโศเศร้าที่เร้ารุมใจอยู่ ก็พลันระงับเสื่อมคลายหายไปยังกะปลิดทิ้ง  เจ้าหรือก็ยังเป็นสาวสวยรูปงามออกโสภา  จะหาผัวหนุ่มรูปหล่อรุ่นราวคราวเดียวกันก็จะได้ถมไป  ไฉนจึงมาทนอยู่ได้  ไปเสียเจ้า  อีตาพราหมณ์เฒ่ามันจะทำเจ้าให้เริงรสโลกีย์ได้อย่างไรกัน  อนิจจ  น่าอนาถ  หนุ่มฉกรรจ์นั่นแหละเจ้า จะให้หล่อนรื่นรมย์ได้"

นางอมิตดาไม่สามารถทนฟังคำบริภาษนั้นได้  ฉวยหม้อน้ำได้ก็เดินร้องไห้กลับบ้าน  ตาชูชกเห็นเข้าเช่นนั้นก็ลนลานรีบออกมา  รีบถามอย่างละล่ำละลักว่า  "อะไรกันนะแม่อมิตดา ร้องไห้ทำไมกันละเจ้า ?"

นางอมิตดา  "ท่านพราหมณ์  ต่อนี้ไปข้าจะไปตักน้ำที่ท่าน้ำให้ท่านไม่ได้แล้ว  เพราะอีชาวบ้านมันรุมด่าข้า  ก็ด้วยเหตุข้อเดียวแหละที่ท่านเป็นคนแก่"

ชูชกตกใจกล่าวว่า  "ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปอีกละ  ฉันจะไปตักเอง  อย่าเสียอกเสียใจไปเลยแม่คุณ"

นางอมิตดา  "ข้าจะให้ผัวไปตักน้ำไม่ได้ดอก  ถ้าท่านไปตักน้ำเอง  ข้าก็อยู่ในเรือนท่านต่อไปไม่ได้  ถ้าจะให้อยู่ก็ต้องไปหาคนใช้มาให้ข้า  มิฉะนั้นข้าจะไม่อยู่เด็ดขาด"

ชูชก  "โอแม่คุณ  ฉันจะเอาทรัพย์สมบัติอะไรไปหาคนใช้มาได้  เอาเถอะ  ฉันจะปรนนิบัติเธอเอง  อย่าเดือดดาลไปเลย"

เทวดาจึงดลใจให้นางอมิตดาพูดแนะไปว่า  "ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกให้ไปหาพระเวสสันดรสิ  เวลานี้อยู่ที่เขาวงกตโน่นแน่ะ  ท่านมีลูกหญิงลูกชายอยู่สองคน  ไปขอท่านมาสิ  เราจะได้เด็กสองคนนั้นมาเป็นคนใช้  โดยไม่ต้องเสียค่าจ้างอย่างไรละ"

ชูชกร้องว่า  "โอแม่อมิตดา  ฉันหรือก็แก่ชราร่างกายไม่สมประกอบ  จะหิ้วหอบร่างร้ายไปเขาวงกตได้อย่างไร  อย่าพูดเหลวไหลไปเลยแม่คุณ  เอาเถอะ  ฉันจะปรนนิบัติเธอเอง"

นางอมิตดาจึงกล่าวเป็นคำขาดว่า  "คนขี้ขลาด  ยังไม่ได้ไปถึงสนามรบ  ยังไม่ทันรบก็ยอมแพ้  อะไร้   ยังไม่ทันไปก็ยอมจำนน  จงรู้ไว้เถอะ  ข้าจะไม่ยอมอยู่กับท่านอีกละ  ข้าจะทำตามใจชอบละคราวนี้  เมื่อถึงคราวมีงานนักขัตฤกษ์  ข้าจะแต่งตัวเดินคลอเคลียกับชายอื่นให้ชื่นมื่นไปเลย  แล้วท่านก็จะต้องทนทุกข์ไปเอง  ร่างกายที่งออยู่แล้วก็จะงอโก่งมากขึ้น  ผมที่หงอกอยู่แล้วก็จะหงอกมากขึ้น  เอาละ  จะได้เห็นดีกันละคราวนี้"

ชูชกได้ฟังดังนั้นก็ตกใจไปตามวิสัยคนแก่ที่หลงเมียสาว  เหงื่อกาฬแตกตัวสั่นอยู่งันงก  ร้องขึ้นว่า  โอย  แม่คุณ  อย่าทำอย่างนั้นเลย  ถ้าเธอไปชื่นมื่นกับชายอื่นละก้อ  ฉันคงจะดับจิตชีวิตออกจากร่างไปเลย  ถ้ากระนั้นก็เร็วเข้าเถอะแม่อมิตดาเอ๋ย  จงจัดเสบียงเดินทางเข้าสิ  อย่าชักช้า  เห็นท่าจะไม่ได้การ  ขนมแดกงา  ขนมอ้อย  ขนมผึ้ง  ทั้งสัตตูก้อนสัตตูผง  และข้าวผอก  จงจัดให้ดี ๆ  นะแม่นะ  ฉันจะไปนำเอาพี่น้องสองกุมารมาเป็นทาสเธอให้เร็วที่สุด"

ขณะที่นางอมิตดาสาละวนอยู่กับการจัดเสบียงเดินทาง  ตาชูชกแกก็จัดแจงดูแลบ้านเรือน  ซ่อมแซมที่ชำรุดทรุดโทรม  ตลอดหมดทั้งประตูหน้าต่างทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน  เก็บฟืนมาจากป่า  ตักน้ำมาใส่ตุ่มจนเต็มหมด  แล้วก็แต่งเพศเป็นดาบส  และสั่งภรรยาว่า  "นี่แน่แม่อมิตดา  นับแต่นี้ไป  ในเวลาค่ำ  แม่อย่าออกจากบ้าน  รักษาตัวไว้ให้ดี  ไว้คอยท่าพี่จนกว่าจะกลับมา"  ว่าแล้วก็สวมรองเท้า  สะพายกระสอบบรรจุเสบียงกรัง  กระทำประทักษิณภรรยา  มีหน่วยตานองด้วยน้ำอัสสุชล  ก้มหน้าเดินร้องไห้ออกจากเรือนไป  บ่ายหน้าตรงไปยังนครสีพี

พอถึงพระนคร  เห็นคนชุมนุมกันอยู่ที่ไหนก็เข้าไปถามเขาที่นั่น  ว่าพระเวสสันดรนั้นอยู่ที่ไหน  ประชาชนเห็นเข้าจึงร้องว่า  "หนอยแน่  อีตาแก่ร่างร้าย  ยังจะมีหน้ามาถามอีกหรือว่าพระเวสสันดรอยู่ที่ไหน  ท่านถูกเนรเทศขับไล่ไปลำบากอยู่ที่เขาวงกต  ก็เพราะพวกแกนี่แหละ  คิดคดเที่ยวขอเสียจนไม่ดูหน้า  พวกแก่นี่แหละที่ทำให้เจ้านายของเราต้องมีอันเป็นไป  ยังจะมายืนให้เห็นอยู่อีกหรือนี่"  ว่าแล้วก็คว้าก้อนดินท่อนไม้ไล่ติดตามชูชกไปอยู่เกรียวกราว

ตาชูชกพาร่างร้ายของแก่หนีกระเจิดกระเจิงไป  แต่เทวดาดลใจให้แกพลัดเข้าไปในทางที่จะไปยังเขาวงกตพอดี  พอพ้นเขตอันตรายที่ถูกไล่ตีมาได้  ก็เจอเข้ากับสุนัขไล่เนื้อหลายตัว  มันพากันเข้ารุมเห่าเสียงออกลั่นป่านัยว่าเป็นสุนัขของพรานเจตบุตรผู้ระวังไพร  ซึ่งมีหน้าที่รักษาทางที่จะเข้าไปยังเขาวงกต  ตาชูชกต้องเผ่นหนีขึ้นไปบนต้นไม้  ขึ้นไปนั่งตัวสั่นอยู่บนค่าคบ  พวกสุนัขก็เข้าห้อมล้อมอยู่รอบโคนต้นไม้นั้น

ตาชูชกเห็นภัยใหญ่อยู่รอบตัวและไม่มีทางหนีไปได้  จึงได้แต่รำพันว่า  "โอ  ข้าแต่พระเวสสันดร  ขอจงเป็นที่พึ่งของเราด้วยเถิด  มีใครที่ไหนบ้าง  ที่รู้หนทางที่จะไปหาพระเวสสันดร  ช่วยบอกเราเอาบุญด้วยเถิด  เจ้าข้า"

ฝ่ายพรานเจตบุตรผู้มีหน้าที่รักษาประตูป่า  ติดตามเสียงสุนัขมาจนใกล้  ก็ได้ยินเสียงรำพันของชูชกเข้า  จึงคิดว่า  เจ้านี่มีเจตนาร้ายมาถึงนี่  คงจะตามไปขอนางมัทรีหรือไม่ก็กุมารทั้งสองเป็นแน่  เราควรจะฆ่ามันเสียให้ตาย  คิดแล้วก็ยกธนูขึ้นน้าว  พร้อมกับตะคอกขู่ไปว่า  "เหม่  อ้ายพราหมณ์จัญไร  กูจะไม่ไว้ชีวิตมึงละคราวนี้"

"ช้า  ช้า  ฟังข้าก่อน"  ชูชกร้องลั่นเสียงหลง  "ท่านพรานไพรอย่าใจเร็ว  ด่วนได้ทำลายประโยชน์เสีย  ลาภใหญ่มาถึงท่านแล้วไซร้  ไฉนจะทำลายเสียเล่า  ลดธนูของเจ้าเก็บเข้าที่เสียก่อนเถิด  เรานี้มาดีมิได้มีเจตนาร้าย  เราเป็นราชทูตมาจากนครสีพี  พระเจ้าสญชัยให้ไปเฝ้าทูลเชิญพระเวสสันดรกลับเมือง  เพราะว่าพระมารดาของท่านนั้นทรงกรรแสงเสียจนพระเนตรทรุดโทรมใกล้จะเสียแล้วในไม่ช้า  ชาวประชาจึงส่งข้ามาเป็นทูต  ตามธรรมดาราชทูตนั้นย่อมได้รับอภัยอันใคร ๆ  ก็ไม่ควรฆ่า  นี่เป็นธรรมเนียมสืบมาแต่โบราณ  ท่านจงฟังข้าเถิดหนา  เจ้าเจตบุตร  ข้าจักเชิญพระราชบุตรเสด็จกลับ  ถ้าเจ้ารู้ทางก็จงแจ้งให้ข้าทราบเถิด"  (ขณะที่ร้องนั้น  พลางแกก็ชูกลักพริกกลักขิงขวักไขว่ไปมา  นัยว่าพรานเจตบุตรเข้าใจว่า  นั่นคือกล่องบรรจุพระราชสาสน์)

เจตบุตรได้ยินดังนั้นก็หลงเชื่อ  จัดแจงผูกสุนัขไว้แล้วเชิญให้ตาชูชกลงมา  หักกิ่งไม้มาปูเป็นอาสนะแล้วเชิญให้นั่ง  จัดอาหารเลี้ยงดูเป็นอย่างดี  พลางก็กล่าวคำปฏิสันถารว่า  "ท่านพราหมณ์ผู้เป็นทูตที่รัก  ท่านเป็นทูตของพระหน่อกษัตริย์ผู้เป็นที่รักของข้า  นี่เต้าบรรจุน้ำผึ้งเต็ม  นี่ขาเนื้อทรายย่างข้าขอให้เป็นของกำนัลแก่ท่าน  และยินดีจะชี้แจงถึงตำแหน่งที่ประทับของพระหน่อกษัตริย์เวสสันดรนั้นให้ท่านทราบอย่างดีทีเดียว"


..............................


















วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๖)


ยังมีพราหมณ์ ๔ คน  มารับทานไม่ทัน  พอรู้ว่าพระองค์เสด็จไปด้วยรถทรง  ก็รีบติดตามไปด้วยตั้งใจจะขอพระราชทานม้า  พระเวสสันดรได้ตรัสกับพระนางมัทรีไว้แล้วว่า ให้คอยดูเผื่อจะมียาจกตามมา  พอทรงทราบว่าเขาอยากจะได้ม้า  จึงให้หยุดรถปลดม้าประทานให้ไปหมดทั้ง ๔ ตัว

ร้อนถึงเทวดา  ต้องแปลงเป็นละมั่งมาเข้าแอกแทนม้าทั้ง ๔  แล้วพารถวิ่งไป  ต่อมายังมีพราหมณ์มาอีกคนหนึ่ง  ทูลขอรถเสียเลย  พระองค์จึงทรงให้รถหยุด  พาพระนางมัทรีพร้อมทั้งพระโอรสลงมาแล้วก็ประทานรถให้ไปโดยมิได้หวั่นไหวหรือท้อพระทัยเลย  ครั้นแล้ว  พระเวสสันดรทรงอุ้มพระชาลี พระมัทรีทรงอุ้มพระกัณหา  ตรัสปราศรัยกันด้วยถ้อยคำน่ารัก  บ่ายพระพักตร์ตรงไปยังแดนหิมพานต์


๔.  วันประเวศน์

เมื่อกษัตริย์ทั้งสองพระองค์  ทอดพระเนตรเห็นพวกมนุษย์เดินสวนทางมาจึงตรัสถามว่า  "เขาวงกตอยู่ที่ไหน ?"

"ยังอีกไกลนัก"  พวกมนุษย์ตอบ

ทารกทั้งสองเห็นต้นไม้ที่มีผลดกต่าง ๆ  ก็ร้องไห้อยากจะได้  ด้วยอานุภาพของพระเวสสันดร  ต้นไม้นั้น ๆ  ก็น้อมกิ่งลงมาใกล้แค่หัตถ์เอื้อม  พระองค์ก็ทรงเลือกผลไม้ต่าง ๆ  ประทานแก่พระราชโอรสทั้งสอง  พระนางมัทรีทรงรู้สึกมหัศจรรย์ยิ่งนัก

ระยะทางจากกรุงเชตุดร (นครสีพี)  ถึงมาตุลนครนั้น  ประมาณ  ๓๐  โยชน์ (๔๘๐ กม.)  เทวดาช่วยย่นระยะทางลงให้เหลือเพียงแค่เดินได้ในวันเดียว  สี่กษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินนับแต่เช้าชั่วเย็นก็บรรลุถึงมาตุลนครแคว้นเจตรัฐ

มาตุลนครแห่งแคว้นเจตรัฐนี้  เป็นชนบทที่เจริญมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์เป็นนิวาสถานของเจ้านายถึง  ๖๐,๐๐๐ องค์  พระเวสสันดรมิได้เสด็จเข้าไปในพระนคร  แต่ประทับอยู่  ณ  บรรณศาลาใกล้ประตูพระนคร  ส่วนพระนางมัทรีทรงจินตนาการว่า  "เราควรแสดงตัวให้ชาวนครทราบว่า  พระเวสสันดรเสด็จมา"  จึงเสด็จออกไปประทับยืนอยูริมประตูบรรณศาลา  ผู้คนที่ผ่านไปมา  โดยเฉพาะพวกสตรีเห็นพระนาง
มัทรีเข้า  ต่างก็พากันมาล้อมดูเป็นวงและพูดจากันว่า  "พระแม่เจ้าสวยงามเป็นสุขุมาลชาติ  ไฉนจึงต้องมาดำเนินไพรเช่นนี้"

ไม่ช้า  การเสด็จของพระเวสสันดรก็แพร่เข้าไปในพระนคร  เจ้านายเหล่านั้นต่างก็พากันมาเฝ้าเพื่อทูลถามความเป็นไป  ครั้นพอได้ทรงสดับคำตามที่พระเวสสันดรตรัส  ก็มีความเสียพระทัยไปตาม ๆ  กัน  ได้ทูลเชิญให้พระเวสสันดรเสด็จประทับสำราญพระอิริยาบถในพระนคร

พระเวสสันดร  "เราขอขอบพระทัยท่านทั้งหลาย  แต่ขอให้ท่านทั้งหลายได้โปรดให้เราได้ไปตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าสญชัยผู้บิดาเถิด  อย่าได้ทรงปริวิตกในเคราะห์กรรมของเราเลย"

"พวกข้าพระองค์จะขอกราบทูลพระราชทานอภัยโทษให้"  พวกเจ้านายเหล่านั้นทูล  "ขอพระองค์เสด็จประทับอยู่ชั่วคราวก่อน  เป็นภารธุระของข้าพระองค์ที่จะจัดการเอง  พระเจ้าสญชัยจะทรงยินยอมอย่างแน่นอน"

พระเวสสันดร  "อย่าเลยท่านทั้งหลาย  แม้ถึงพระราชบิดาของเราก็มิได้ทรงเป็นอิสระในเรื่องนี้  ชาวเมืองต่างหากที่ประสงค์จะกำจัดเราเสีย"

พระยาเจตราชเหล่านั้นจึงกราบทูลพร้อมกันว่า  "ข้าแต่พระองค์  ถ้าพฤติการณ์ของชาวเมืองเป็นเช่นนั้นไซร้  ชาวเจตรัฐนี้ก็ขอถวายตัวเป็นข้าราชบริพาร  เชิญพระองค์เสด็จครองราชสมบัติในเจตรัฐนี้ทีเดียว  ขอได้ทรงโปรดปลงพระหฤทัยเอื้อเฟื้อแก่พวกข้าพระองค์เถิด"

พระเวสสันดร  "เรามีความประสงค์เด็ดเดี่ยวที่จะไปยังเขาวงกต  คำเชื้อเชิญของท่านทั้งหลายครั้งนี้  นับเป็นความปรารถนาดีอย่างที่สุดแล้ว  ถ้าเราจะเปลี่ยนใจครองราชสมบัติในนครเจตรัฐนี้  ก็จะเกิดบาดหมางอย่างร้ายแรงขึ้น  สงครามอันร้ายกาจระหว่างชาวสีพีกับชาวเจตรัฐก็อาจเกิดขึ้นได้  มหาชนก็จะพึงฆ่าฟันกันเพราะเหตุแห่งตัวเราผู้เดียว  อันเป็นผลร้ายอย่างที่สุดซึ่งไม่อาจคาดคะเนได้  ทางที่ดีที่สุด  ก็คือขอให้ท่านจงช่วยชี้ทางที่จะไปยังเขาวงกตแก่เราตามพระบรมราชโองการนั้นเถิด"

แม้ว่าพระยาเจตราชจะกราบทูลวิงวอนสักเท่าไร ๆ  ก็ไร้ผล  แม้กระนั้นก็ได้จัดการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ  ได้พร้อมกันประดับประดาบรรณศาลานั้นกั้นวิสูตร  จัดแท่นบรรทมถวาย  ล้อมวงอารักขาอย่างดียิ่ง  พอรุ่งเช้าจัดถวายพระกระยาหารอันเลิศรสประการต่าง ๆ  ครั้นแล้วก็พากันแวดล้อมพร้อมกันโดยเสด็จตามส่งจนถึงประตูป่า  และได้พรรณนาป่าถวายเป็นใจความโดยย่อว่า

"ข้าแต่พระมหาราช  จากนี้ไป  ขอเชิญพระองค์ทรงบ่ายพระพักตร์ทางทิศอุดร  เสด็จผ่านภูเขาวิบูลบรรพตแล้วจะถึงแม่น้ำเกตุมดี  อันเป็นที่น่ารื่นรมย์สำราญพระทัย  จากนั้นไปจะถึงภูเขานาสิกบรรพต  จะมีหมู่กินรีมากมายและมีสระใหญ่เต็มไปด้วยบัวขาวกลิ่นหอมหวน  ประกอบด้วยหมู่วิหกนกร้องประสานเสียงเร้นอยู่ในไพร  จากนั้นไปก็จะถึงสระโบกขรณีมีท่าน้ำน่ารื่นรมย์  เมื่อพระองค์สร้างบรรณศาลาที่ประทับแล้ว  ก็จะได้ทรงบำเพ็ญเพียร  เลี้ยงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยมูลผลาหาร ฯลฯ"

พระเวสสันตรัสขอบพระทัยพระยาเจตราชทั้งหลายแล้ว  ก็พาพระนางมัทรีและราชโอรสทั้งสอง  บ่ายพระพักตร์ตรงมุ่งไปตามคำบอกเล่า  ระยะทางจากเจตรัฐนครมาถึงประตูป่านั้นได้ ๑๕ โยชน์  จากนั้นได้เสด็จต่อไปตามลำดับ  ในที่สุดก็บรรลุถึงสระโบกขรณีตามคำบอกทุกประการ  และได้ทรงพบบรรณศาลาอันเป็นที่อยู่ของบรรพชิต  ซึ่งเทวดามาเนรมิตไว้ให้  ตามบัญชาของท้าวสักกเทวราช  พระองค์ทรงสัณนิษฐาน  ก็ทรงทราบด้วยพระญาณว่าเทวดาช่วย  จึงให้พระนางมัทรีประทับอยู่ภายนอกบรรณศาลา  แล้วก็เสด็จเข้าไปในนั้น  ทรงเปลื้องพระขรรค์และเครื่องทรงออก  แล้วครองผ้าคากรองอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต  และทรงรำพึงว่า  "การบรรพชาเป็นสุขแล้วหนอ"

ส่วนพระนางมัทรีก็ปฏบัติเช่นเดียวกัน  แต่ทว่าประทับอยู่นอกอาศรมพร้อมด้วยราชโอรส

พระเวสสันดรตรัสว่า  "นับแต่วาระนี้ต่อไป  เธออย่าเข้ามาหาเราในเวลาอันมิบังควร  เพราะว่าสตรีเป็นราคีแก่พรหมจรรย์  ต่อเมื่อมีเหตุการณืสำคัญ ๆ  จึงพาพระราชโอรสมาหาเราได้"

พระนางมัทรีรับพระดำรัส  แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติกิจวัตรด้วยดี  เป็นต้นว่าเช้าก็เข้าป่าไปหาผลไม้มาถวาย  จัดน้ำใช้น้ำฉันให้บริบูรณ์  ดูแลพระราชโอรสให้มีความสุข  ทั้ง ๔ ชีวิตก็ดำรงชีพอยู  ณ  ที่อาศรมนั้น  จนวันเวลาล่วงเลยไปได้  ๗  เดือน


...............................


(ยังมีต่ออีก)





 
















วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า๕)




๓. ทานกัณฑ์   (๒)

                         พระเจ้าสญชัย  "เจ้าจะไปได้อย่างไรกัน  ป่าหิมพานต์นั้นเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย  ตั้งแต่ยุงริ้น                          ไรขึ้นไป  จนถึงงูเหลือมขนาดใหญ่และเสือ  แรก  หมี  ช้าง  ค่ำคืนก็มีแต่เสียงร้องของนก                          กา  สุนัขป่าก็จะเห่าหอนระงมไพร  จะทำให้เจ้าตกใจหวาดผวาไม่หลับนอน  จงตรึกตรองดูเสียก่อนเถอะแม่มัทรี"

                        พระนางมัทรี  "หม่อมฉันไม่ไม่หวั่นไหวอะไรเลย  จะขอโดยเสด็จพระเวสสันดรไปจนถึง                           ที่สุด  ข้าแต่มหาราช  ความเป็นหม้ายนั้นเป็นของเผ็ดร้อนเหลือเกิน  หม่อฉันทนไม่ได้                               ดอก  เพคะ"

                        พระเจ้าสญชัย  "ชีวิตในป่าหิมพานต์ของเธอจะมีแต่ความทุกข์ทรมาน  ถ้าเธอทนไม่ได้ก็                           จะต้องสูญเสียชีวิตลง  เธอเป็นสตรีสุขุมาลชาติ  จะไปทนชีวิตอย่างนั้นได้อย่างไรกัน"

                        พระนางมัทรี  "ข้าแต่พระบิดาผู้ประเสริฐ  อันธรรมดาเกิดมาเป็นสตรีมีสามีแล้ว  ก็ควรที่จะ                         ร่วมสุขร่วมทุกข์กันไปให้ตลอด  ภรรยาที่คอยจะร่วมแต่ความสุข  ครั้นพอสามีได้ทุกข์ก็                             หลีกหนีไม่นำพา  ก็มีค่าไม่ต่างจากนางบำเรอ  กระหม่อฉันขอตัดสินใจไปตายเอาดาบ                             หน้าร่วมกับพระสามี  ดีกว่าจะต้องมาเป็นหม้ายชายร้างอยู่ในรั้วในวัง  การเป็นหม้ายชาย                           ร้างนั้นจะมีแต่ความทุกข์  มีแต่คนเขาจะนินทาว่าร้ายให้ขายหน้า  สิ้นเกียรติยศหมดราคา                         ดูหน้าใครไม่ได้  พวกผู้ชายเจ้าชู้ก็จะพากันดูแคลนล่วงเกินให้เจ็บใจ  อย่างนี้มัทรีเป็นไม่                           ได้ดอก  เพคะ"

                        "อันธรรมดาว่าห้วงนทีไม่มีน้ำก็เปล่าดาย  แว่นแคว้นใดไร้ราชาก็หาสง่ามิได้  เป็นหญิง                             หม้ายไร้สง่าราศีมีแต่จะต้องก้มหน้า  ธงชัยเป็นเครื่องหมายแห่งรถ  ควันเป็นเครื่องหมาย                         แห่งไฟ  พระราชาเป็นเครื่องหมายแห่งแว่นแคว้น  สามีก็เป็นเครื่องหมายแห่งหญิงฉันนั้น                         หม่อมฉันจะขอบวชติดตามพระราชสามีไป  ขอพระองค์จงได้ประทานพระบรมราชานุ                               ญาตแก่กระหม่อมมัทรีนี้ด้วยเถิด  เพคะ"

                        พระเจ้าสญชัย  "ถ้าอย่างนั้น  สำหรับพ่อชาลีแม่กัณหาลูกทั้งสองของเธอนี้ยังเล็กนัก  เรา                         จะรับเลี้ยงดูเอาไว้ให้"

                        พระนางมัทรี  "ลูกทั้งสองนี่แหละจะช่วยให้หม่อมฉันคลายความทุกข์โศกและได้รับความ                         รื่นรมย์ในป่าได้บ้าง"

                        พระเจ้าสญชัย  "ดูก่อนแม่มัทรี  ไม่ควรที่เธอจะพาเอาบุตรทั้งสองไปให้ต้องระกำลำบาก                           ด้วย  เด็ก ๆ  เคยเสวยข้าวสาลี  จะเสวยผลไม้ได้อย่างไร  เคยเสวยด้วยถาดทอง  ก็จะ                               ต้องใช้ใบไม้แทน  เคยทรงผ้ากาสีและผ้าโขมพัสตร์ก็จะต้องทรงผ้าคากรอง  เคยเสด็จ                            ด้วยวอหรือรถ  ก็จะต้องเดินเท้า  เคยนอนบนพรมก็จะต้องนอนบนหญ้า  เคยลูบไล้ด้วย                            กฤษณาจันทน์หอม  ก็จะต้องมอมไปด้วยฝุ่นละออง  เคยพัดวีด้วยแล้จามรีหางนกยูง  ก็จะ                        ต้องถูกเหลือบยุงรุมกัด  แล้วจะทำอย่างไรกัน  ไม่ควรที่เธอจะทำเช่นนั้นนะแม่มัทรี"

                       ขณะที่พระราชมารดาพระราชบิดากับพระราชโอรสและพระสุณิสาพิไรรำพันกันอยู่อย่างนี้                          จนราตรีสว่างพระอาทิตย์ขึ้น  อำมาตย์ก็นำรถทรงเทียมม้ามาเทียบไว้ที่ประตูวัง

                       พระนางมัทรีกราบทูลเป็นครั้งสุดท้าย  "ข้าแต่พระบิดาผู้ประเสริฐ  ขอพระองค์อย่าทรงงปริ                        เทวนาให้เสียพระทัย  เกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองจักเป็นอย่างไร  เด็ก ๆ  ก็จักเป็นอย่างนั้น                          เช่นกัน"  ครั้นแล้วก็กราบถวายบังคมลา  พาพระราชโอรสไปประทับคอยอยู่ในราชรถก่อน                        ส่วนพระเวสสันดรยังคงกล่าวคำอำลาประชาชนที่มาคอยเฝ้า  พระองค์ทรงประทานโอวาท                        ตามสมควรแล้ว  ก็เสด็จขึ้นประทับรถทรง  ทอดพระเนตรนครสีพีเป็นครั้งสุดท้าย  แล้วรถ                          ทรงก็เคลื่อนออกไป


.....................................

                                                                        
                                                                         (ยังมีต่ออีก)

                     






วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๓)


พราหมณ์ทั้ง ๘  คนนั้น  ได้ไปยังนครเชตุดร  คอยดักพบพระเวสสันดรเวลาทรงช้างมงคลออกตรวจดูโรงทานตามประตูเมืองทิศต่าง ๆ  พอพบพระเวสสันดรเสด็จมา  ก็ประคองแขนขึ้นเป็นการแสดงถึงการขอ  พระเวสสันดรจึงทรงขับช้างเข้าไปใกล้แล้วตรัสถาม  พอทรงทราบความประสงค์แล้ว  พระองค์ทรงดำริว่า  "เราได้ตั้งใจอยู่พร้อมแล้วว่า  จะบริจาคแม้กระทั่งชีวิตและเลือดเนื้อที่เรียกว่า  ทานภายใน  แต่ที่พราหมณ์นี้ขอก็คือช้างมงคลซึ่งเป็นเพียงทานภายนอกเท่านั้น  ทำไมเราจะให้ไม่ได้เล่า"  ดำริแล้วเสด็จลงจากคอช้าง  เรียกพรหมณ์เข้ามาใกล้ ๆ  แล้วทรงจับงวงช้างวางลงบนมือพราหมณ์  แล้วทรงหยิบคนโทน้ำหลั่งลงเป็นการแสดงว่า  ได้ประทานช้างให้แล้ว  พร้อมทั้งเครื่องประดับช้างอันประกอบด้วยแก้วแหวนเงินทองราคาหลายแสน

เมื่อการพระราชทานช้างเสร็จลงแล้ว  ก็เกิดแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนไปทั่ว  ชาวพระนครโจษจันกันด้วยความเสียดายอย่างที่สุด  เลยก่อการกำเริบขึ้น  เขาได้พากันไปกราบทูลพระเจ้ากรุงสญชัยให้ทรงทราบ  พระเจ้ากรุงสญชัยทรงสำคัญว่า  ชาวนครจะให้ทรงฆ่าพระเวสสันดรเสีย  จึงตรัสแก่ประชาชนชาวนครว่า  "พระเวสสันดรเป็นบุตรสุดที่รัก  เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา  เป็นสิ่งเดียวที่เรามีอยู่ในชีวิตนี้  เราจะฆ่าเสียได้อย่างไรกัน  อนึ่งเล่า  พระเวสสันดรเป็นผู้มีศีลประเสริฐสุด  การบริจาคทานทั้งปวงไม่ใช่เป็นความผิดคิดร้ายอย่างไร  ไฉนจะให้ฆ่าเสียด้วยเหตุผลอันใด"

ชาวนคร   "ไม่ต้องถึงกับฆ่าดอก  พระเจ้าข้า  แต่ว่าการบริจาคทานอย่างนี้  วันหนึ่งจะทำให้บ้านเมืองพินาศหมดสิ้น  ขอให้พระองค์จงทรงเนรเทศออกไปเสียจากนครสีพีนี้เถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าสญชัย  "ถ้าชาวนครประสงค์อย่างนั้น  เราก็ไม่ขัดข้อง  ก็แต่ว่าขอให้พระราชบุตรของเราได้มีโอกาสพักผ่อนอยู่ในพระนครนี้สักราตรีก่อนเถิด  ต่อพรุ่งนี้จึงจะให้เสด็จออกจากพระนครไป"

ชาวนครได้ฟังดังนั้นก็พอใจ  ต่างทยอยกันกลับเคหสถานของตน  พระเจ้าสญชัยจึงตรัสเรียกนายนักการมา  แล้วให้ไปตามพระเวสสันดรมาเฝ้า

นายนักการนั้น  เข้าไปกราบทูลพระเวสสันดรให้ทรงทราบด้วยความเคารพอย่างที่สุด

นายนักการ  "ขอพระองค์ได้ทรงโปรดเถิด  ข้าพระบาทจะทูลความทุกข์ให้พระองค์ทราบ  ขอพระองค์อย่าได้ทรงโกรธแก่ข้าพระบาทเลย"

พระเวสสันดร  "มีอะไรก็ว่าไปเถอะ  เราจะให้อภัยแก่ท่าน"

นายนักการ  "ชาวนครทั้งหลายได้มาประชุมกันที่พระลานหลวง  เพราะมีความโกรธแค้นที่พระองค์ทรงประทานช้างมงคลแก่พราหมณ์กาลิงครัฐไป  ได้ขอให้พระเจ้าสญชัยเนรเทศพระองค์เสียจากพระนคร  พระเจ้าข้า"

พระเวสสันดร  "ทานที่เราให้ไปนั้น  จะเป็นช้างก็ดี  หรือเครื่องเพชรนิลจินดาที่ประดับช้างก็ดี  หรือจะเป็นแก้วมณี  แก้วไพฑูรย์  และแก้วมุกดาก็ดี  แม้จะมีค่ามากมายสักเพียงใดก็ตาม  ก็เป็นเพียงทานภายนอกเท่านั้น  แต่ทานภายใน  เช่น  ลูกตา  ขา  แขน  ตลอดจนเลือดเนื้อและดวงหทัย  แม้ว่ายาจกมาขอเราก็ยินดีบริจาคให้ไม่หวั่นไหว  เอาเถอะ  แม้ว่าชาวนครสีพีนี้จะฆ่าเราก็ตาม  จะตัดเราเป็น  ๗  ท่านก็ตาม  จะทำให้เรางดการให้ทานเสียมิได้เลย"

นายนักการทูลแนะนำว่า  "ขอพระองค์จงเสด็จไปอารัญชรคีรี  ทางฝั่งแม่น้ำโกนติมารา  พระเจ้าแผ่นดินที่ถูกเนรเทศจะเสด็จไปทางนี้  พระเจ้าข้า"

พระเวสสันดร  "ดีแล้ว  เราจะไปตามทางของพระเจ้าแผ่นดินที่ถูกเนรเทศ  แต่ว่าขอให้ชาวนครจงให้โอกาสแก่เราอีกสักวันหนึ่งเถอะ  เราอยากจะให้ทานอีกสักวันหนึ่ง  ในวันพรุ่งนี้  มะรืนนี้  เราจึงจะไป"

นายนักการรับพระดำรัสแล้วก็ทูลลากลับไป  เพื่อแจ้งให้พระเจ้าสญชัยและชาวนครทราบทั่วกัน

เมื่อนายนักการหลีกไปแล้ว  พระเวสสันดรก็ตรัสเรียกประชุมเสนาผู้ใหญ่  แล้วตรัสว่า  "พรุ่งนี้เราจะให้ทานเป็นหมวด  หมวดละ  ๗๐๐  เช่น  ช้าง  ๗๐๐  ม้า  ๗๐๐  รถ  ๗๐๐  โคนม  ๗๐๐  เป็นต้น  ซึ่งมีชื่อเรียกว่า  "สัตสดกมหาทาน"  ขอให้ท่านจงจัดสิ่งของทั้งปวงไว้ให้ถูกต้องเรียบร้อยทุกอย่าง ๆ  แม้กระทั่งสุราซึ่งเป็นของไม่ควร  ก็ขอให้จัดไว้ด้วย"

ตรัสสั่งเสร็จแล้วก็ให้เลิกประชุม  แล้วเสด็จเข้าพบพระนางมัทรีเป็นการส่วนพระองค์

พระเวสสันดร  "ที่รัก   ทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทอง  ทั้งที่เป็นของที่พี่ให้และะที่พระราชบิดาของเธอให้มานั้น  เธอเก็บรักษาไว้ดีแล้วหรือ ?"

พระนางมัทรี  "หม่อมฉันเก็บไว้เรียบร้อยทั้งหมดแล้ว  เพคะ"

พระเวสสันดร  "ดีแล้วน้องรัก  แต่พี่เห็นว่า  การเก็บรักษาไว้เช่นนั้นยังหาได้ชื่อว่าเก็บไว้ดีแล้วโดยแท้จริงไม่"

พระนางมัทรี  "พระองค์จะทรงให้หม่อมฉันเก็บไว้ที่ไหน  เพคะ ?"

พระเวสสันดร  "น้องควรนำมาบริจาคเป็นทานให้เป็นประโยชน์แก่คนยากจนดีกว่า  การเก็บไว้เฉย ๆ  เช่นนั้น  เป็นการทำของที่มีประโยชน์ให้ไร้ประโยชน์  ไม่มีความหมายอะไรยิ่งกว่าก้อนหินกรวดที่ฝังอยู่ในดินเลย  เพราะว่าที่พึ่งอันแท้จริงของสัตว์ทั้งหลาย  คือ  การบริจาคทาน"

พระนางมัทรี  "ดีละเพคะ  หม่อมฉันจะทำทานด้วย"

พระเวสสันดร  "แม่มัทรีน้องรัก  ต่อไปนี้ขอให้เธอจงมีความเอ็นดูกรุณาบุตรทั้ง  ๒  ให้มาก  ตลอดถึงพระบิดามารดาของพี่ด้วย  ถ้าจะมีผู้ใดมาตกลงเป็นภัสดาของเธอ  ก็ขอให้เธอจงปฏิบัติผู้นั้นโดยเคารพ  หรือถ้าไม่มีใครมาตกลง  พี่ก็อนุญาตให้เธอแสวงหาภัสดาใหม่ได้  เพราะเธอกับพี่จะต้องแยกจากกันแล้ว  เธออย่าต้องลำบากเพราะการจากพี่เลย"

พระนางมัทรี  "ข้าแต่พระทูลกระหม่อมแก้ว  ไฉนพระองค์จึงตรัสเรื่องไม่สมควรเช่นนี้เล่า  เพคะ"

พระเวสสันดรจึงตรัสเล่าเรื่องชาวนครโกรธแค้นจนให้เนรเทศพระองค์ให้พระนางมัทรีทรงทราบ  "มะรืนนี้  พี่ก็จะต้องออกจากพระนครแล้ว  ชีวิตคนเดียวของพี่ในป่าหิมพานต์นั้นเป็นที่น่าสงสัยอยู่"

พระนางมัทรี  "ข้าแต่ขัตติยราช  หม่อมฉันจะขอตามเสด็จไปด้วย  ระหว่างการไปตายกับพระองค์กับการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากพระองค์  หม่อมฉันขอเลือกเอาการไปตายกับพระองค์  ชีวิตนี้ขาดพระองค์เสียแล้วก็หมดความหมาย  เพคะ"

พระเวสสันดร  "อย่าเลยที่รัก  ชาวนครประสงค์ให้เนรเทศพี่คนเดียว  ส่วนพระน้องนั้นไม่มีความผิดอันใด  ไม่ควรที่จะต้องพลอยไปได้รับความลำบากระหกระเหินกับพี่ด้วย  ข้อสำคัญก็คือพระน้องจะต้องดูแลบุตรทั้งสองที่น่ารักของเรา  เธอจะทอดทิ้งบุตรไปกับพี่ได้อย่างไรกัน"

พระนางมัทรี  "ภรรยาที่ดีจะต้องยินดีรับทุกข์รับสุขร่วมกับสามีเหมือนคนคนเดียวกัน  หม่อมฉันจะพาบุตรทั้งสองไปด้วย  ขอพระองค์อย่าทรงปริวิตกเลย"

พระนางมัทรีได้วาดภาพป่าหิมพานต์ให้พระเวสสันดรฟังอย่างน่ารื่นรมย์ว่า

"กุมารทั้งสองของเรากำลังน่ารัก  มีเสียงไพเราะ  นั่งเล่นเจรจาอยู่ตามพุ่มไม้ในป่าใกล้ ๆ  อาศรม  จะช่วยให้พระองค์ไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ"

"เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรกุมารทั้งสองของเรา  ทรงประดับดอกไม้ป่า  ฟ้อนรำรื่นเริงอยู่ในบริเวณอาศรม  ก็จะทำให้ลืมราชสมบัติเสียได้"

"ป่าหิมพานต์นั้น  มีฝูงช้างไพรท่องเที่ยวไปมา  ส่งเสียงร้องก้องโกญจนาท  เกลื่อนกล่นด้วยสัตว์ป่านานาชนิด  มีนางกินรีฟ้อนรำ  ขับเพลงประสานเสียงน้ำตกอยู่เสมอ  ประกอบด้วยเสียงนกเค้า  เสียงราชสีห์  เสือโคร่ง  แรด  กวาง  วัวลาน  ร้องประสานรับกันเป็นระยะ ๆ  มีพญานกยูงแวดล้อมด้วยนางนกยูงรูปงามขนสีสวยอยู่เป็นหมู่ ๆ  มีต้นไม้ต่าง ๆ  บ้างก็ออกดอกเบ่งบานสะพรั่ง  ต่างสีต่างสวยส่งกลิ่นตลบ  บ้างก็มีลูกห้อยระย้าเต็มต้น  สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่จะพาให้รื่นรมย์  ลืมราชสมบัติและความบรมสุขในพระนครเสียได้"

พระนางมัทรีได้พรรณนาป่าหิมพานต์ให้พระเวสสันดรฟัง  อย่างน่ารื่นรมย์  ราวกะว่าพระนางได้เคยทอดพระเนตรมาแล้ว  ฉะนั้น


.................................


จาก...หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย...แปลก  สนธิรักษ์























วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๒)


๒.  หิมพานต์  (ตอน ๑)

เมื่อพระนางผุสดีเทพธิดาได้รับพร  ๑๐  ประการจากพระอินทร์แล้ว  ก็จุติจากสวรรค์ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์  ถือปฏิสนธิในครรภ์ของอัครมเหสีของพระเจ้ามัทราช  ได้ชื่อว่า  "ผุสดี"  พอมีพระชนม์ครบ  ๑๖  ปีก็พอดีพระเจ้าสีวีมหาราชแห่งนครเชตุดร  ทรงส่งทูตมาขอไปเป็นมเหสีของสญชัยกุมาร  เมื่อสญชัยกุมารได้เป็นกษัตริย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากพระราชบิดา  ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครมเหสี  เป็นยอดนารีแห่งนครเชตุดร

เมื่อพระนางผุสดีได้เป็นเอกอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงเชตุดรแคว้นสีวีแล้ว  ก็เป็นอันว่าพร  ๑๐  ประการนั้น  สำเร็จสมปปรารถนาแล้ว  ๙  ประการ  ยังอีกประการเดียว  คือ  ประการที่  ๔  ที่ขอให้มีพระโอรสมีน้ำใจดี  รักการบริจาคทานยิ่งกว่าชีวิต  พระอินทร์จึงได้อาราธนาพระมหาสัตว์ให้เสด็จจุติลงมาถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระนาง  พอพระนางทรงแพ้พระครรภ์  ก็มีพระประสงค์ที่จะบริจาคทานเป็นกำลัง  จึงขอให้สร้างโรงทานขนาดใหญ่ขึ้น  ๖  แห่งด้วยกัน  คือ  ที่ประตูพระนครทั้ง  ๔  ที่กลางพระนคร ๑  และที่ประตูพระราชวังอีก ๑  รวมเป็น  ๖  แห่งด้วยกัน  แล้วก็ทรงบริจาคทานแก่คนยากจนเสมอมา  จนถึงกำหนดทศมาสจะคลอด  ก็ทรงปรารถนาจะเสด็จทอดพระเนตรพระนคร   พระราชาจึงให่้ตกแต่งพระนครครั้งใหญ่โดยทั่วไป

ขณะที่พระนางเสด็จทอดพระเนตนพระนครนั้น  พอเสด็จถึงถนนเวสสวิถี  (ถนนพ่อค้า)  ก็ประสูติพระราชบุตรโดยกระทันหัน  พระราชาทรงโสมนัสยิ่งนัก  ตรัสสั่งให้ราชบุรุษถวายความอารักขาอย่างเต็มที่  พระญาติวงศ์ทั้งหลายจึงขนานพระนามพระราชบุตรนี้ว่า  "เวสสันดร"  (แปลว่า ระหว่างถนนพ่อค้า)  ในวันเดียวกันกับที่พระเวสสันดรประสูตินั้น  นางช้างเชือกหนึ่งเหาะมา  นำเอาลูกช้างเผือกล้วนมาทิ้งไว้ในโรงช้าง  ช้างเผือกล้วนนี้นับถือกันว่า  เป็นมงคลหัตถี  ประชาชนตั้งชื่อกันว่า  "ช้างปัจจยนาเคนทร์"  หมายความว่า  เกิดมาเป็นปัจจัยส่งเสริมบารมีของพระเวสสันดรกุมาร  พระราชบิดาให้พระราชทานพระนม  ๖๔  คน  ล้วนแต่มีถันไม่ย้อยยาน  รสนมหวานปราศจากโทษใด ๆ  ให้เลี้ยงดูพระกุมาร  ต่อมา
ทรงโปรดให้สร้างเครื่องประดับสำหรับพระกุมาร  มีราคาประมาณหนึ่งแสน  แล้วพระราชทานให้พระกุมาร  พอพระกุมารมีพระชนม์ได้  ๔-๕  พรรษา  ก็เปลื้องเครื่องประดับนั้นประทานแก่พระนมเสียและไม่รับคืน  พระนมทั้งหลายได้กราบทูลให้ทรงทราบ  พระราชาตรัสว่า  "ของที่บุตรเราให้แล้วก็แล้วไป"  แล้วก็ทรงสั่งให้สร้างเครื่องประดับสำรับอื่นอีก  พระกุมารก็ทรงเปลื้องถวายพระนมทั้งหลายอีก  ทรงกระทำอยู่อย่างนี้ถึง  ๙  ครั้งด้วยกัน  พอพระชันษาได้  ๘  ขวบ  ก็ทรงคุร่นคิดอยู่เสมอว่าการบริจาคทานภายนอกนี้ไม่ทำให้เราอิ่มใจเลย  เราอยากจะบริจาคทานภายในบ้าง  ถ้าใครจะมาขอแขนทั้งสองก็ดี  นัยน์ตาทั้งสองก็ดี  หรือเดือดเนื้อในร่างกายเราก็ดี  เรายินดีจะบริจากให้ทันที  หรือแม้ว่า  ใครจะมาขอเราไปเป็นทาส  เราก็พร้อมที่จะเสียสละยศศักดิ์เ็นทาสรับใช้ทันที

เมื่อพระกุมารเจริญวัยได้  ๑๖  พรรษา  ก็ทรงเรียนศิลปศาสตร์จนครบทุกสาขา  พระราชบิดามีพระราชประสงค์จะมอบราชสมบัติให้  จึงปรึกษาตกลงกันสู่ขอพระนางมัทรี  ราชธิดาของพระเจ้าลุงแห่งราช
ตระกูลมัทราชมาเป็นพระมเหสี  แล้วก็ทรงอภิเษกทั้งสองไว้ในสิริราชสมบัติสืบไป

จำเดิมแต่พระเวสสันดรทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติ  พระองค์ได้ทรงบริจาคทานทุกวัน  ต่อมาพระนางมัทรีประสูติพระราชโอรส  พระญาติทั้งหลายทรงรับด้วยข่ายทองคำ  จึงขนานพระนามว่า  "ชาลีกุมาร"  พอพระชาลีกุมารทรงดำเนินได้  ก็ประสูติราชธิดาอีกองค์หนึ่ง  พระญาติทั้งหลายทรงรับด้วยหนังหมี  จึงขนานพระนามว่า  "กัณหาชินา"  พระเวสสันดรเสด็จประทับเหนือคอช้างมงคล  ทอดพระเนตรตรวจดูโรงทานทั้ง  ๖  แห่ง  เดือนละ  ๖  ครั้ง  เป็นประจำตลอดมา

คราวนั้น  เกิดข้าวยากหมากแพงขึ้นในแคว้นกาลิงครัฐ  ฝนแล้งข้าวกล้าเสียหาย  เกิดทุพภิกขภัยขึ้นอย่างรุนแรง  พวกมนุษย์อดอยากมากเข้า  ก็เที่ยวปล้นสะดมทำโจรกรรมกันทั้วไป  ชาวชนบทจึงร้องเรียนต่อเจ้าผู้ครองแคว้นให้ช่วยเหลือ  เจ้าผู้ครองแคว้นจึงทรงรักษาอุโบสถ  ๗  วัน  เพื่อจะให้ฝนตก  เมื่อไม่ตกก็รักษาต่ออีก  ๗  วัน  ก็ยังไม่ได้ผล  หาได้มีฝนตกลงมาตามวิธีการนั้นไม่  ในที่สุดชาวนครจึงทูลแนะว่า  พระเวสสันดรแห่งนครแคว้นเชตุดรนั้น  ทรงยินดีในการให้ทานยิ่งนัก  ท้าวเธอมีช้างมงคลเผือกล้วนอยู่เชือกหนึ่ง  ถ้าช้างนี้ไปที่ใดถึงไหน  ฝนก็จะตกลงในที่นั้น ๆ  ขอให้ทรงส่งพราหมณ์ไปขอช้างนั้นมาเถิด  เจ้าแคว้นกาลิงครัฐจึงจัดส่งพราหมณ์  ๘  คนไปตามคำแนะนำนั้น


.................................


จาก   หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย   แปลก  สนธิรักษ์


วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๑)


เวสสันดรแบ่งออกเป็น  ๑๓  ตอน  จะได้เล่าเรื่องเป็นตอน ๆ ไป


ตอนที่ ๑  ทศพร

พระเจ้าสีวีมหาราช  กษัตริย์เมืองเชตุดร  มีพระราชโอรสทรงนามว่า  "สญชัย"  เมื่อสญชัยราชกุมารทรงเจริญวัย  พระราชบิดาได้ให้อภิเษกสมรสกับราชธิดาของกษัตริย์มัทราช  พระนามว่า  "ผุสดี"  แล้วยกราชสมบัติให้ครอบครอง  เป็นพระเจ้าสญชัยมีพระนางผุสดีเป็นเอกอัครมเหสีครองกรุงเชตุดรสืบต่อมา

พระนางผุสดีนั้น  มีเหตุการณ์ในอดีตชาติว่า  ในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน  ที่ชื่อว่า  พระวิปัสสี  พระนางได้ทรงถวายสักการบูชาแล้วอธิษฐานขอพรไว้สิบประการด้วยกัน  ซึ่งปรากฏว่าเป็นจริงสมดังอธิษฐาน  มีเรื่องเล่าไว้โดยพิสดารว่า

ในสมัยพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น  พระเจ้าพันธุมราชผู้ครองนครพันธุมดี  มีราชธิดาอยู่  ๒  พระองค์ด้วยกัน  บังเอิญมีกษัตริย์อีกนครหนึ่งทรงส่งของขวัญไปถวายพระเจ้าพันธุมราช  ๒  สิ่งด้วยกัน  คือ

๑.  พวงมาลาทำด้วยทองล้วน  (ราคา  ๑  แสน)

๒.  แก่นจันทน์หอม  (ราคามาก)

พระเจ้าพันธุมราชจึงพระราชทานแก่นจันทน์ให้แก่ราชธิดาองค์ใหญ่  พระราชทานพวงมาลาแก่ราชธิดาองค์น้อย  ราชธิดาทั้งสองจึงนำไปถวายแก่พระพุทธเจ้าวิปัสสี  เพื่อหวังผลบุญในชาติหน้าต่อไป 

วิธีถวายนั้น  พระราชธิดาองค์ใหญ่ได้ทรงบดแก่นจันทน์อันหอมนั้นให้ละเอียด  แล้วบรรจุลงผอบ  แล้วนำไปถวาย  ส่วนผงที่ยังเหลือก็นไปโปรยปรายไว้รอบ ๆ  บริเวณคันธกุฎี  เพื่อให้มีกลิ่นหอมอบอวลเป็นที่ซึ่งชื่นใจแก่คนทั่วไป  แล้วทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า  "ถ้าแม้นเกิดไปในชาติหน้า  ขอให้ได้เป็นมารดาของพระพุทธเจ้าสักองค์หนึ่งด้วยเถิด"

ฝ่ายราชธิดาองค์น้อย  เมื่อถวายพวงมาลาทองก็ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า  "ถ้าแม้นเกิดไปในชาติหน้า  ขอให้พวงมาลาทองนี้จงปรากกมีประจำทรวงหม่อมฉัน  จนกว่าจะบรรลุพระอรหันตสมจริงทุกประการ

พระราชธิดาองค์ใหญ่  ต่อมาได้ไปบังเกิดในสวรรค์  มีสรีระหอมเหมือนกลิ่นจันทน์และได้เป็นอัครมเหสีของท้าวสักกะ  เสวยความสุขอยู่ช้านาน  เมื่อตอนสุดท้ายจวนจะหมดบุญ  ท้าวสักกะจึงตรัสเตือนว่า  "น้องนางจะได้จุติไปบังเกิดในมนุษย์แล้ว  หากประสงค์จะได้พรอันใดบ้าง  ก็ให้ขอมา  จะประทานพรให้ตามใจปรารถนาทุกประการ"

พระนาง  "หม่อมฉันได้ทำบาปอันใดไว้หรือ  จึงจะได้จุติจากแดนสวรรค์นี้  ไปเกิดในมนุษย์โลก ?"

พระอินทร์  "เธอมิได้ทำบาปอันใดดอกที่รัก  แต่บุญของเธอหมดเพียงเท่านี้เอง"

พระนาง  "ถ้ากระนั้น  หม่อมฉันขอพระราชทานพรดังต่อไปนี้

            ๑.  ขอให้มีนัยน์ตาดำเป็นประกาย  เหมือนลูกตาเนื้อทราย

            ๒.  ขอให้มีขนคิ้วดำสนิท

            ๓.  ขอให้มีชื่อว่า  "ผุสดี"

            ๔.  ขอให้มีโอรสมีน้ำใจดี  รักการบริจาคทานยิ่งกว่าชีวิต

            ๕.  เมื่อเวลาตั้งครรภ์  ขออย่าให้อุทรนูนเหมือนสตรีทั่วไป

            ๖.  ขออย่าให้ถันทั้งสองหย่อนยาน

            ๗.  ขออย่าให้มีผมหงอกแม้เพียงเส้นเดียว

            ๘.  ขออย่าให้ร่างกายแปดเปื้อนธุลีละอองใด ๆ

            ๙.  ขอให้มีอำนาจช่วยปลดเปลื้องคนโทษถึงประหารให้พ้นโทษได้

           ๑๐.  ขอให้ได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าแผ่นดินในแคว้นสีวี"

พระอินทร์ได้สดับแล้วก็ทรงอนุญาติและทรงอวยพรให้สำเร็จสมปรารถนาทุกประการ


...........................


จากหนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย  แปลก  สนธิรักษ์