๒. หิมพานต์ (ตอน ๑)
เมื่อพระนางผุสดีเทพธิดาได้รับพร ๑๐ ประการจากพระอินทร์แล้ว ก็จุติจากสวรรค์ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ถือปฏิสนธิในครรภ์ของอัครมเหสีของพระเจ้ามัทราช ได้ชื่อว่า "ผุสดี" พอมีพระชนม์ครบ ๑๖ ปีก็พอดีพระเจ้าสีวีมหาราชแห่งนครเชตุดร ทรงส่งทูตมาขอไปเป็นมเหสีของสญชัยกุมาร เมื่อสญชัยกุมารได้เป็นกษัตริย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากพระราชบิดา ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครมเหสี เป็นยอดนารีแห่งนครเชตุดร
เมื่อพระนางผุสดีได้เป็นเอกอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงเชตุดรแคว้นสีวีแล้ว ก็เป็นอันว่าพร ๑๐ ประการนั้น สำเร็จสมปปรารถนาแล้ว ๙ ประการ ยังอีกประการเดียว คือ ประการที่ ๔ ที่ขอให้มีพระโอรสมีน้ำใจดี รักการบริจาคทานยิ่งกว่าชีวิต พระอินทร์จึงได้อาราธนาพระมหาสัตว์ให้เสด็จจุติลงมาถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระนาง พอพระนางทรงแพ้พระครรภ์ ก็มีพระประสงค์ที่จะบริจาคทานเป็นกำลัง จึงขอให้สร้างโรงทานขนาดใหญ่ขึ้น ๖ แห่งด้วยกัน คือ ที่ประตูพระนครทั้ง ๔ ที่กลางพระนคร ๑ และที่ประตูพระราชวังอีก ๑ รวมเป็น ๖ แห่งด้วยกัน แล้วก็ทรงบริจาคทานแก่คนยากจนเสมอมา จนถึงกำหนดทศมาสจะคลอด ก็ทรงปรารถนาจะเสด็จทอดพระเนตรพระนคร พระราชาจึงให่้ตกแต่งพระนครครั้งใหญ่โดยทั่วไป
ขณะที่พระนางเสด็จทอดพระเนตนพระนครนั้น พอเสด็จถึงถนนเวสสวิถี (ถนนพ่อค้า) ก็ประสูติพระราชบุตรโดยกระทันหัน พระราชาทรงโสมนัสยิ่งนัก ตรัสสั่งให้ราชบุรุษถวายความอารักขาอย่างเต็มที่ พระญาติวงศ์ทั้งหลายจึงขนานพระนามพระราชบุตรนี้ว่า "เวสสันดร" (แปลว่า ระหว่างถนนพ่อค้า) ในวันเดียวกันกับที่พระเวสสันดรประสูตินั้น นางช้างเชือกหนึ่งเหาะมา นำเอาลูกช้างเผือกล้วนมาทิ้งไว้ในโรงช้าง ช้างเผือกล้วนนี้นับถือกันว่า เป็นมงคลหัตถี ประชาชนตั้งชื่อกันว่า "ช้างปัจจยนาเคนทร์" หมายความว่า เกิดมาเป็นปัจจัยส่งเสริมบารมีของพระเวสสันดรกุมาร พระราชบิดาให้พระราชทานพระนม ๖๔ คน ล้วนแต่มีถันไม่ย้อยยาน รสนมหวานปราศจากโทษใด ๆ ให้เลี้ยงดูพระกุมาร ต่อมา
ทรงโปรดให้สร้างเครื่องประดับสำหรับพระกุมาร มีราคาประมาณหนึ่งแสน แล้วพระราชทานให้พระกุมาร พอพระกุมารมีพระชนม์ได้ ๔-๕ พรรษา ก็เปลื้องเครื่องประดับนั้นประทานแก่พระนมเสียและไม่รับคืน พระนมทั้งหลายได้กราบทูลให้ทรงทราบ พระราชาตรัสว่า "ของที่บุตรเราให้แล้วก็แล้วไป" แล้วก็ทรงสั่งให้สร้างเครื่องประดับสำรับอื่นอีก พระกุมารก็ทรงเปลื้องถวายพระนมทั้งหลายอีก ทรงกระทำอยู่อย่างนี้ถึง ๙ ครั้งด้วยกัน พอพระชันษาได้ ๘ ขวบ ก็ทรงคุร่นคิดอยู่เสมอว่าการบริจาคทานภายนอกนี้ไม่ทำให้เราอิ่มใจเลย เราอยากจะบริจาคทานภายในบ้าง ถ้าใครจะมาขอแขนทั้งสองก็ดี นัยน์ตาทั้งสองก็ดี หรือเดือดเนื้อในร่างกายเราก็ดี เรายินดีจะบริจากให้ทันที หรือแม้ว่า ใครจะมาขอเราไปเป็นทาส เราก็พร้อมที่จะเสียสละยศศักดิ์เ็นทาสรับใช้ทันที
เมื่อพระกุมารเจริญวัยได้ ๑๖ พรรษา ก็ทรงเรียนศิลปศาสตร์จนครบทุกสาขา พระราชบิดามีพระราชประสงค์จะมอบราชสมบัติให้ จึงปรึกษาตกลงกันสู่ขอพระนางมัทรี ราชธิดาของพระเจ้าลุงแห่งราช
ตระกูลมัทราชมาเป็นพระมเหสี แล้วก็ทรงอภิเษกทั้งสองไว้ในสิริราชสมบัติสืบไป
จำเดิมแต่พระเวสสันดรทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติ พระองค์ได้ทรงบริจาคทานทุกวัน ต่อมาพระนางมัทรีประสูติพระราชโอรส พระญาติทั้งหลายทรงรับด้วยข่ายทองคำ จึงขนานพระนามว่า "ชาลีกุมาร" พอพระชาลีกุมารทรงดำเนินได้ ก็ประสูติราชธิดาอีกองค์หนึ่ง พระญาติทั้งหลายทรงรับด้วยหนังหมี จึงขนานพระนามว่า "กัณหาชินา" พระเวสสันดรเสด็จประทับเหนือคอช้างมงคล ทอดพระเนตรตรวจดูโรงทานทั้ง ๖ แห่ง เดือนละ ๖ ครั้ง เป็นประจำตลอดมา
คราวนั้น เกิดข้าวยากหมากแพงขึ้นในแคว้นกาลิงครัฐ ฝนแล้งข้าวกล้าเสียหาย เกิดทุพภิกขภัยขึ้นอย่างรุนแรง พวกมนุษย์อดอยากมากเข้า ก็เที่ยวปล้นสะดมทำโจรกรรมกันทั้วไป ชาวชนบทจึงร้องเรียนต่อเจ้าผู้ครองแคว้นให้ช่วยเหลือ เจ้าผู้ครองแคว้นจึงทรงรักษาอุโบสถ ๗ วัน เพื่อจะให้ฝนตก เมื่อไม่ตกก็รักษาต่ออีก ๗ วัน ก็ยังไม่ได้ผล หาได้มีฝนตกลงมาตามวิธีการนั้นไม่ ในที่สุดชาวนครจึงทูลแนะว่า พระเวสสันดรแห่งนครแคว้นเชตุดรนั้น ทรงยินดีในการให้ทานยิ่งนัก ท้าวเธอมีช้างมงคลเผือกล้วนอยู่เชือกหนึ่ง ถ้าช้างนี้ไปที่ใดถึงไหน ฝนก็จะตกลงในที่นั้น ๆ ขอให้ทรงส่งพราหมณ์ไปขอช้างนั้นมาเถิด เจ้าแคว้นกาลิงครัฐจึงจัดส่งพราหมณ์ ๘ คนไปตามคำแนะนำนั้น
ทรงโปรดให้สร้างเครื่องประดับสำหรับพระกุมาร มีราคาประมาณหนึ่งแสน แล้วพระราชทานให้พระกุมาร พอพระกุมารมีพระชนม์ได้ ๔-๕ พรรษา ก็เปลื้องเครื่องประดับนั้นประทานแก่พระนมเสียและไม่รับคืน พระนมทั้งหลายได้กราบทูลให้ทรงทราบ พระราชาตรัสว่า "ของที่บุตรเราให้แล้วก็แล้วไป" แล้วก็ทรงสั่งให้สร้างเครื่องประดับสำรับอื่นอีก พระกุมารก็ทรงเปลื้องถวายพระนมทั้งหลายอีก ทรงกระทำอยู่อย่างนี้ถึง ๙ ครั้งด้วยกัน พอพระชันษาได้ ๘ ขวบ ก็ทรงคุร่นคิดอยู่เสมอว่าการบริจาคทานภายนอกนี้ไม่ทำให้เราอิ่มใจเลย เราอยากจะบริจาคทานภายในบ้าง ถ้าใครจะมาขอแขนทั้งสองก็ดี นัยน์ตาทั้งสองก็ดี หรือเดือดเนื้อในร่างกายเราก็ดี เรายินดีจะบริจากให้ทันที หรือแม้ว่า ใครจะมาขอเราไปเป็นทาส เราก็พร้อมที่จะเสียสละยศศักดิ์เ็นทาสรับใช้ทันที
เมื่อพระกุมารเจริญวัยได้ ๑๖ พรรษา ก็ทรงเรียนศิลปศาสตร์จนครบทุกสาขา พระราชบิดามีพระราชประสงค์จะมอบราชสมบัติให้ จึงปรึกษาตกลงกันสู่ขอพระนางมัทรี ราชธิดาของพระเจ้าลุงแห่งราช
ตระกูลมัทราชมาเป็นพระมเหสี แล้วก็ทรงอภิเษกทั้งสองไว้ในสิริราชสมบัติสืบไป
จำเดิมแต่พระเวสสันดรทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติ พระองค์ได้ทรงบริจาคทานทุกวัน ต่อมาพระนางมัทรีประสูติพระราชโอรส พระญาติทั้งหลายทรงรับด้วยข่ายทองคำ จึงขนานพระนามว่า "ชาลีกุมาร" พอพระชาลีกุมารทรงดำเนินได้ ก็ประสูติราชธิดาอีกองค์หนึ่ง พระญาติทั้งหลายทรงรับด้วยหนังหมี จึงขนานพระนามว่า "กัณหาชินา" พระเวสสันดรเสด็จประทับเหนือคอช้างมงคล ทอดพระเนตรตรวจดูโรงทานทั้ง ๖ แห่ง เดือนละ ๖ ครั้ง เป็นประจำตลอดมา
คราวนั้น เกิดข้าวยากหมากแพงขึ้นในแคว้นกาลิงครัฐ ฝนแล้งข้าวกล้าเสียหาย เกิดทุพภิกขภัยขึ้นอย่างรุนแรง พวกมนุษย์อดอยากมากเข้า ก็เที่ยวปล้นสะดมทำโจรกรรมกันทั้วไป ชาวชนบทจึงร้องเรียนต่อเจ้าผู้ครองแคว้นให้ช่วยเหลือ เจ้าผู้ครองแคว้นจึงทรงรักษาอุโบสถ ๗ วัน เพื่อจะให้ฝนตก เมื่อไม่ตกก็รักษาต่ออีก ๗ วัน ก็ยังไม่ได้ผล หาได้มีฝนตกลงมาตามวิธีการนั้นไม่ ในที่สุดชาวนครจึงทูลแนะว่า พระเวสสันดรแห่งนครแคว้นเชตุดรนั้น ทรงยินดีในการให้ทานยิ่งนัก ท้าวเธอมีช้างมงคลเผือกล้วนอยู่เชือกหนึ่ง ถ้าช้างนี้ไปที่ใดถึงไหน ฝนก็จะตกลงในที่นั้น ๆ ขอให้ทรงส่งพราหมณ์ไปขอช้างนั้นมาเถิด เจ้าแคว้นกาลิงครัฐจึงจัดส่งพราหมณ์ ๘ คนไปตามคำแนะนำนั้น
.................................
จาก หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย แปลก สนธิรักษ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น