วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๑๓)


๑๑.  มหาราช

เมื่อตาเฒ่าชูชกพาสองกุมารเดินทางทุรกันดารมารวมระยะทางได้ประมาณ  ๖๐  โยชน์  เทพเจ้าทั้งหลายได้เฝ้าอภิบาลพระกุมารตลอดทาง  เวลาพระอาทิตย์ตก  ตาชูชกก็ผูกสองกุมารไว้ที่กอไม้  ส่วนตัวแกขึ้นไปผูกเปลนอนอยู่บนค่าคบไม้  เพราะเกรงภัยจากสัตว์ร้าย  แต่ทว่าทุกราตรีจะมีเทพบุตรองค์หนึ่งจำแลงเพศเป็นพระเวสสันดร  และเทพธิดาองค์หนึ่งจำแลงเพศเป็นพระนางมัทรี  มาแก้เชือกพระกุมารทั้งสองออก  แล้วก็บริกรรมบีบนวดให้สรงสนานชำระกาย  เสวยอาหารทิพย์เลิศรส  ประดับประดาด้วยเครื่องอลังการ  แล้วให้บรรทมเหนือทิพยอาสน์  จนรุ่งอรุโณทัยจึงกลับให้เป็นอย่างเดิมตามที่ชูชกผูกไว้  แล้วเทพยดาก็หายไป  พระกุมารทั้งสองจึงปราศจากภัยพิบัติทุกประการ  ครั้นสว่างตาชูชกก็ลงจากต้นไม้ถวายน้ำและไม้สีฟันแก่พระกุมารทั้งสอง  แล้วให้เสวยผลไม้ตามที่หาได้  คราวนั้นชูชกพาพระกุมารทั้งสองไปลุถึงทางสองแพร่ง  ทางหนึ่งไปกาลิงครัฐ  ทางหนึ่งไปเชตุดร  ชูชกจะไปกาลิงครัฐแต่เทววดาดลใจให้หลงผิดไปถนัด  ให้เลี้ยวลัดหลงทางไปเชตุดร  ล่วงเวลาได้ครึ่งเดือนก็ลุถึงชานพระนคร

ณ  คืนนั้น  พระเจ้าสญชัยแห่งกรุงเชตุดรทรงพระสุบินว่า  ขณะพระองค์ประทับอยู่หน้าพระที่นั่งมหาวินิจฉัย  ได้มีบุรุษดำนำดอกปทุมสองดอกมาน้อมเกล้าถวายวางลงตรงพระหัตถ์  พระองค์ทรงรับมาทัดไว้บนพระกรรณ  พลันเกสรก็ร่วงลงตรงพระอุระพอดี  ครั้นทรงตื่นพระบรรทมจึงตรัสให้โหราจารย์เข้าเฝ้าแล้วให้ทำนาย  โหราจารย์ทูลถวายว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  พระราชวงศ์ของพระองค์ซึ่งจากไปนานแล้วจะเข้ามาเฝ้า"  พระองค์ทรงพระปรีดาปราโมทย์  จึงรีบเสด็จออกประทับ  ณ  พระที่นั่งมหาวินิจฉัย  ซึ่งขณะนั้นเทพเจ้าก็ได้ดลบันดาลให้ชูชกพาสองพระกุมารมาปรากฏอยู่หน้าพระลานหลวงพอดี

ขณะนั้น  พระองค์ทอดพระเนตรเห็นสองพระกุมารเข้าจึงตรัสว่า  "เด็กทั้งสองนั้นมีหน้าตาแจ่มใสอย่างดี  คนหนึ่งคล้ายพ่อชาลี  คนหนึ่งคล้ายแม่กัณหา"  ตรัสแล้วทรงสั่งอำมาตย์ให้ไปนำเข้ามาเฝ้า

พระเจ้าสญชัย  "พ่อพราหมณ์  ท่านนำเด็กสองคนนี้มาจากไหน  ท่านมาจากไหนจึงมาถึงที่นี่ในวันนี้ ?"

ชูชก  "ข้าแต่พระเจ้าสญชัย  กุมารทั้งสองนี้มีผู้บริจาคให้  ข้าพระองค์นำมาได้  ๑๕  วันเข้าวันนี้  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าสญชัย  "ท่านมีน้ำคำดูดดื่มเพียงไร  จึงมีคนให้เด็กเป็นทาน  ซึ่งใครเลยจะเชื่อท่านได้ว่าท่านไม่ได้ลักพามา  จงชี้แจงให้เราฟัง"

ชูชก  "ใคร ๆ  ก็ย่อมรู้จักท่านผู้มีพระทัยดุจน้ำในสาคร  คือ พระเวสสันดร  ซึ่งเสด็จอยู่ในป่า  ได้พระราชทานแก่ข้าพระองค์มา  พระเจ้าข้า"

ทันใด  บรรดาอำมาตย์ทั้งหลายในที่ประชุมนั้น  จึงกล่าวตำหนิพระเวสสันดรว่า  "กระไรเลย  ช่างให้มาได้  ช้าง  ม้า  วัว  ควาย  ทรัพย์สินเงินทองซึ่งเป็นของควรให้ก็ให้ไปเถิด  ทำไมจึงให้พระโอรสมาเช่นนี้เล่า"

พระชาลีทรงสดับดังนั้น  จึงกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระอัยกา  ถ้าหากว่าของที่ควรให้ไม่มี  บุคคลจะให้อะไรเล่า ?"

พระเจ้าสญชัย  "หลานเอ๋ย  เรารู้น้ำใจของพระบิดาของเจ้า เราไม่ติเตียนเลย  แต่อยากจะรู้ว่าพระบิดาของเจ้า  เมื่อบริจาคเจ้านั้น  มีอาการเป็นอย่างไรบ้าง ?"

พระชาลี  "พระบิดาทรงกรรแสง  แล้วเสด็จเข้าในบรรณศาลา  พระเจ้าข้า"

"อนิจจา"  พระเจ้าสญชัยตรัส  "หลานรักทั้งสองของปู่  ทำไมไม่ขึ้นมานั่งบนตักเหมือนแต่ก่อนเล่า ?"

"เวลานี้  กระหม่อมทั้งสองตกเป็นบ่าวของตาพราหมณ์นี้แล้ว  จึงทำเหมือนแต่ก่อนไม่ได้  ต้องเจียมตนอยู่อย่างนี้แหละ  พระเจ้าข้า ?

พระเจ้าสญชัย  "โธ่เอ๋ยหลานรัก  พ่อของเจ้าเขาตีราคาเจ้าไว้เท่าไร  จงบอกมาตามจริงเถิด ?"

พระชาลี  "กระหม่อฉันมีราคาเท่าทองหนึ่งพันแท่ง  น้องกัณหาตีราคาด้วย  ช้าง ม้า รถ ทาสชายหญิง  อย่างละร้อย  และทองร้อยแท่ง  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าสญชัย  "อำมาตย์  จงไปนำทรัพย์จำนวนนี้มามอบให้พราหมณ์รับเอาไปเถิด"

เมื่อทรงไถ่พระกุมารแล้ว  พระเจ้าสญชัยได้มอบปราสาทเจ็ดชั้นแก่ชุชกอีก  ชุชกก็ให้ทาสบริวารชายหญิงช่วยกันขนทรัพย์เข้าเก็บ  แล้วขึ้นสู่ปราสาทนั่งบนบัลลังก์ใหญ่  บริโภคอาหารอย่างดี  และนอนบนที่นอนใหญ่  ชื่นชมสมบัติของตน

ฝ่ายพระเจ้าสญชัย  จึงได้สรงสนานพระกุมารทั้งสอง  ประดับตกแต่งด้วยเครื่องทรง  ให้เสวยพระกระยาหาร  ครั้นเสร็จแล้ว  พระเจ้าปู่ทรงอุ้มพ่อชาลี  พระเจ้าย่าทรงอุ้มแม่กัณหา  ด้วยความชื่นชมโสมนัสยิ่งนัก  พลางก็ตรัสถามถึงความเป็นไปของพระเวสสันดรและพระนางมัทรี  ซึ่งพระกุมารก็กราบทูลบรรยายโดยละเอียด

พระชาลี  "ตามธรรมดาสามัญมนุษย์ทั่วไปย่อมรักใคร่ในบุตรเป็นที่สุด  แต่ไฉนพระเจ้าปู่และพระเจ้าย่าจึงไม่ทรงมีเยื่อใยในพระบิดาและพระมารดาของหม่อมฉันเอาเสียเลย  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าสญชัย  "จริงแล้วหลานรักเอ๋ย  เราได้ทำผิดไปแล้ว  เอาเถอะ  บัดนี้เรายินดียกโทษให้แก่พระบิดาของเจ้า  ทรัพย์สมบัติอันใดที่มีอยู่ในแว่นแคว้นแดนดินนี้  เรายินดียกให้แก่พระบิดาของเจ้าหมดสิ้น  ขอให้เขาเสด็จกลับมาเถิด"

พระชาลี  "พระบิดาไม่เสด็จมาหรอก  นอกจากว่าพระองค์จะเสด็จไปรับถึงที่  นั่นแหละจึงจะเสด็จมารับราชสมบัตินี้ได้"

พระเจ้าสญชัยได้ทรงสดับ  แล้วจึงมีพระราชโองการให้จัดกองทัพและป่าวประกาศทั่วไป  แล้วทรงให้ตัดหนทางจากกรุงเชตุดรถึงเขาวงกต  โดยให้มีความกว้าง  ๘  อุสภ  (โค ๘  ตัวเดินเรียงกันไปได้)  ให้ประดับประดาด้วยธงสีต่าง ๆ  กัน

ฝ่ายชูชกเพลินชมสมบัติจนลืมตัว  ได้บริโภคอาหารรสดีเกินประมาณ  จนไม่อาจให้อาหารย่อยได้  จึงทำกาลกิริยาตายในที่บริโภคนั้นเอง   พระเจ้าสญชัยจึงมีพระราชโองการให้ทำฌาปนกิจและให้ออกประกาศหาญาติผู้ตายให้มารับสมบัติ  แต่ไม่ปรากฏมี  จึงทรงให้รวบรวมเก็บเข้าพระคลังหลวงไว้ทั้งสิ้น  ครั้นถึงวันที่  ๗  จึงทรงให้ประชุมกองทัพจัดเป็นขบวน  ตั้งให้พระชาลีกุมารเป็นมัคคุเทศก์  แล้วเสด็จออกจากพระนครไป

ในขบวนทัพนี้  มีข้างมงคลหัตถีทรงเครื่องประดับอย่างดี  เป็นศรีสง่าอยู่ด้วย  ช้างนี้ก็คือช้างที่ทรงพระราชทานให้ชาวกาลิงครัฐไปนั่นเอง  เมื่อพราหมณ์ทั้ง  ๘  นำไปทำให้ฝนตกในแคว้นกาลิงครัฐดีแล้ว  พืชพันธุ์ธัญญาหารก็บริบูรณ์  จึงได้นำมาถวายคืน เพราะฉะนั้น  มงคลหัตถีนี้จึงบันลือเสียงดังกว่าช้างใด  เพราะดีใจที่จะได้พบพระเวสสันดรเจ้านายเก่าของตนนั่นเอง


.................................



จาก.....หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย.... โดย  แปลก  สนธิรักษ์


























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น